Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้คลอดในระยะที่ 1 จ้า, นางสาวอริสรา ทาแล เลขที่ 157 ชั้นปีที่ 2…
การพยาบาลผู้คลอดในระยะที่ 1 จ้า
การประเมินสภาวะผู้คลอดในระยะแรกรับ
1.การซักประวัติ
ก.ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดครั้งก่อน
เคยคลอดปกติหรือผิดปกติ เช่น การตกเลือด
เคยมีประวัติแท้ง หรือขูดมดลูกหรือไม่ ถ้าเคยควรระวังเรื่องรกแน่นกว่าปกติ (Adherent placenta)
เคยมีประวัติล้วงรกหรือไม่
เคยมีประวัติผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้องหรือไม่ถ้าเคยควรระวังเกี่ยวกับมดลูกแตก
ประวัติหลังคลอดในอดีต มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ หรือไม่ เช่น มีไข้ ตกเลือดหลังคลอด
ข.ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ได้แก่ โรคปอด โรคไต โรคตับ เบาหวาน กามโรค โรคเลือด และการผ่าตัดต่าง ๆ เกี่ยวกับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
ค.ประวัติการตั้งครรภ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจมีผลต่อการคลอด
1.ตั้งครรภ์ครั้งนี้ครรภ์ที่เท่าไร อายุครรภ์เท่าไรโดยถามประวัติประจำเดือนครั้งสุดท้าย
2.อายุเท่าไร เกิน 35 ปีหรือไม่ ถ้าเกินอาจมี การคลอดล่าช้าจาก rigid cervix และ rigid perineum
3.ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เช่น PIH (Pregnancy Induced Hypertention) ภาวะโลหิตจาง (Anemia) เป็นเบาหวาน (Diabetes)
4.อาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เช่น ประวัติมีเลือดออกทางช่องคลอด
ง.ประวัติการเจ็บครรภ์ หรืออาการนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้ทราบว่าเข้าสู่ระยะคลอดหรือไม่
1.เริ่มเจ็บครรภ์จริงเมื่อไร เพื่อหาการเข้าสู่ระยะคลอด
2.มีสิ่งใดออกมาให้เห็นทางช่องคลอด เช่น มูก หรือมูกปนเลือด ต้องพิจารณาแยกออกจากการมีเลือดออกทางช่องคลอด ถ้าเป็น Mucous bloody show ต้องไม่เกิน 50 ซีซีซึ่งมารดาจะอยู่ในช่วงเจ็บถี่แล้ว
3.ถุงน้ำทูนหัวยัง (membrane intact) อยู่หรือแตกแล้ว (ruptured) หรือยัง ถ้าถุงน้ำทูนหัวรั่วไหลออกมา (leakage of amniotic fluid)
2.การตรวจร่างกาย
1.การตรวจร่างกายทั่วไป
ลักษณะที่แสดงออกทั่วไป (Appearance)
EX.อาการซีด แสดงว่ามารดามีภาวะโลหิตจาง (Anemia) ถ้ามีหอบอาจจะแสดงว่ามารดาอาจมีภาวะโรคทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจ
ความดันโลหิต (Blood pressure)
อาการบวม (Edema)
2.การตรวจร่างกายเฉพาะที่
1.การตรวจหน้าท้อง หรือ การตรวจครรภ์
2.การตรวจอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและตรวจทางช่องคลอด หรือบางแห่งตรวจทางทวารหนัก การตรวจทางหน้าท้อง หรือการตรวจครรภ์ (Abdominal examination)
วิธีการตรวจครรภ์
การดู (Inspection)
ดูขนาดหน้าท้องว่าใหญ่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าใหญ่มากอาจมีน้ำคร่ำมาก (Polyhydramnios) เด็กใหญ่หรือครรภ์แฝด (Twin)
ลักษณะทั่วไปของท้อง มีท้องหย่อนหรือไม่ (Pendulus abdomen) หรือมีกล้ามเนื้อหน้าท้องแยกออกจากกัน (Diastasis recti) ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหย่อนกำลัง ทำให้แรงเบ่งไม่มีในระยะคลอด
สีของผิวหนังหน้าท้อง และดูว่ามีรอยผ่าตัดหรือไม่
ลักษณะของมดลูกโตตามขวางหรือตามยาว เพื่อจะได้ทราบว่าเด็กอยู่ใน lie ใด
การคลำ
เพื่อเป็นการตรวจสภาพลักษณะของทารกในครรภ์
การคลำนั้นนิยมทำคือ วิธีของ Leopold Handgrip
ตรวจเพื่อให้ทราบสิ่งต่อไปนี้
1.อายุครรภ์ หรือระยะเวลาของการตั้งครรภ์ (period of gestation)
2.แนวลำตัวเด็ก (presentation)
3.ส่วนนำของเด็ก (presentation)
4.ท่าของเด็ก (position)
5.การลงในอุ้งเชิงกรานของศีรษะเด็ก (engagement)
6.สภาพของเด็กในครรภ์ (condition)
การฟัง
1.จะฟังเสียงหัวใจเด็กได้เมื่อตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป
2.ตรวจดูว่าทารกยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
3.วินิจฉัยการตั้งครรภ์แฝด
4.วินิจฉัยส่วนนำและท่าของเด็กในครรภ์
การตรวจอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและการตรวจทางช่องคลอด
การบวมของ vulva มีหรือไม่ ถ้าบวมในมารดาเป็น Severe pre-eclampsia (ความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์)
มีมูกเลือด (show) หรือเลือด(bleeding) หรือไม่
มี Skin lesion หรือ condyloma accuminata (หูดหงอนไก่) หรือไม่ ถ้ามีรายงานแพทย์เพื่อตรวจให้แน่นอนและทำการป้องกันการติดเชื้อ
การมีเส้นเลือดขอดหรือไม่ ถ้ามีต้องระวังการฉีกขาดของเส้นเลือดในระหว่างการทำคลอด
มี vulva gaping หรือไม่ ถ้ามีอาจเป็นอาการอย่างหนึ่งที่เข้าสู่ระยะที่สองของการคลอด มี vaginal discharge หรือไม่
ลักษณะน้ำหล่อเด็กที่ไหลออกมาเป็นอย่างไร
น้ำหล่อเด็กมีสีเหลืองทอง แสดงว่าเด็กในครรภ์อาจเป็น RH incompatibility น้ำหล่อเด็กมีกลิ่นเหม็นแสดงว่ามีการติดเชื้อ
ถ้าพบว่าน้ำหล่อเด็กมีสีเขียว และเด็กเป็นท่าศีรษะแสดงว่าเด็กในครรภ์มีภาวะ distress
การตรวจภายในช่องคลอด (vaginal examination)
วัตถุประสงค์ของการตรวจ
1.เพื่อทราบว่ามารดาเข้าสู่ระยะการคลอดหรือไม่
2.เพื่อทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
3.เพื่อทราบส่วนนำและระดับของส่วนนำ
4.เพื่อให้ทราบถึงความผิดปกติต่าง ๆ ของช่องทางคลอด
ข้อบ่งชี้
1.เมื่อมารดาเจ็บครรภ์ตลอดวันแรกรับใหม่ในรายที่ไม่มีข้อห้าม
2.เมื่อถุงน้ำทูนหัวแตกทันที
3.เมื่อมดลูกมีการหดรัดตัวรุนแรงและถี่มาก
4.เมื่อมารดารู้สึกอยากเบ่งหรือเริ่มเบ่ง
5.เมื่อต้องการทราบการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
6.เมื่อต้องการทราบความก้าวหน้าของการคลอด
7.เมื่อต้องการวางแผนและเตรียมการช่วยเหลือ
ข้อห้าม
1.ในรายที่มีประวัติเลือดออกทางช่องคลอด เพราะจะกระตุ้นให้เลือดออกมาขึ้น
2.ผู้ป่วยโรคพิษแห่งครรภ์ซึ่งต้องการให้พักผ่อนมาก ๆ
3.ในรายที่มีน้ำเดินมาจากบ้าน แพทย์จะทำ speculum examination และทำ swab
culture ดูก่อน หลังจากนั้นจึงจะตรวจทางช่องคลอดได้ ในรายที่ถุงน้ำแตกแล้วจะไม่ทำการตรวจบ่าย ๆ เพราะจะทำให้เกิด infection ได้ง่าย
4.ในรายที่ต้องการรักษาถุงน้ำไว้
สิ่งที่ต้องตรวจ
1.ตรวจสภาพช่องคลอด
2.ตรวจสภาพปากมดลูก
2.2 การถ่างขยายของปากมดลูก
2.1 ความหนาของปากมดลูก
3.ตรวจสภาพของถุงน้ำทูน
4.ตรวจหาส่วนนำ
4.2คลำหาส่วนสำคัญของเด็กได้แก่ รอยต่อแสกกลาง ขม่อมหลัง ขม่อมหน้า
4.3 ตรวจหาระดับของส่วนนำ
4.1ดูว่าส่วนไหนของเด็กที่ลงมาในช่องเชิงกราน
5.ขนาดของ molding
6.การตรวจสภาพของช่องเชิงกราน
7.สิ่งผิดปกติต่าง ๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจปัสสาวะ โดยหา น้ำตาลและโปรตีนในปัสสาวะการเตรียมความสะอาด ผู้คลอดเพื่อการคลอด
การเตรียมความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
การสอนอุจจาระเพื่อเตรียมคลอด
ข้อห้ามในการสวนอุจจาระ
1) ครรภ์แรกปากมดลูกเปิดมากกว่า 7 เซนติเมตรและครรภ์หลังเปิดมากกว่า 5 เซนติเมตร เพราะอาจทำให้เกิดการคลอดในระหว่างเบ่งถ่ายอุจจาระได้
2) มีน้ำเดินหรือถุงน้ำคร่ำแตก อาจทำให้เกิดการคลอดเฉียบพลัน
3) มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด (Preterm labour)
4) มีเลือดออกทางช่องคลอด
5) มีโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูงรุนแรง การเบ่งถ่ายอุจจาระจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้
ในปัจจุบันมีความเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติทุกรายเพราะจากหลักฐานเชิงประจักษ์พบว่า ผู้คลอดที่ได้รับการอุจจาระและไม่ได้สวนอุจจาระก่อนคลอดนั้น การติดเชื้อในมารดาและทารกไม่มีความแตกต่างกัน รวมทั้งการสวนอุจจาระไม่ได้ทำให้ระยะเวลาการคลอดสั้นลงแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม สถานบริการสุขภาพบางแห่งยังมีการสวนอุจจาระผู้คลอดแรกรับใหม่อยู่ อาจพิจารณาสวนอุจจาระเป็นบางราย เช่น ผู้คลอดที่อาการท้องผูก หรือถ่ายอุจจาระไม่ออก เป็นต้น
การประเมินสภาวะด้านจิต-สังคม (Paychosocial assessment)
1.อายุ ศาสนา อาชีพ รายได้ บทบาทสังคม
2.ประวัติการสมรส และความสัมพันธ์ของครอบครัวและการช่วยเหลือค้ำจุน
3.ความต้องการมีบุตร การเตรียมตัวพร้อมเพื่อการคลอด ความคาดหวังในการตั้งครรภ์
4.ความเชื่อพื้นฐาน ที่มีผลต่อสุขภาพ
5.ระดับความวิตกกังวล
6.ความอ่อนเพลีย
การพยาบาลมารดาในระยะที่ 1 ของการคลอด
หลักการพยาบาลด้านจิต-สังคม คือการให้การสนับสนุนค้ำจุนแก่มารดา
1.มีความเมตตา เป็นมิตร รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีท่าทางใจดี
2.ให้ความนับถือในความเป็นบุคคลแก่มารดาและญาติ
3.เมื่อจะทำการตรวจหรือปฏิบัติการพยาบาลใด ๆ ต้องบอกให้มารดาทราบ และปฏิบัติด้วยความสุภาพและนุ่นนวล
4.อธิบายให้มารดาและญาติได้เข้าใจถึงกระบวนการคลอดโดยสังเขป
5.จัดบรรยากาศให้สงบเงียบ เป็นสัดส่วนให้มารดาได้ผ่อนคลาย
6.อยู่เป็นเพื่อนมารดาอย่างใกล้ชิด
7.ให้คำชมเชย แก่ผู้คลอดเพื่อให้เกิดความมั่นใจ
8.ประเมินความต้องการของมารดาและตอบสนองโดยเร็ว
ด้านร่างกาย
สภาวะโดยทั่วไปของมารดา โดยการสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด วัด Vital sings ทุก 4 ชั่วโมง หากพบความผิดปกติต้องรายงานแพทย์เพื่อช่วยเหลือ
ท่านอน เกี่ยวกับท่านอนในระยะต้น ๆ ของการคลอด
ให้มารดานอนในท่าตะแคงซ้าย ไม่ควรให้นอนหงาย เพราะจะทำให้กดเส้นเลือด Inferior venacava ทำให้เกิด Supine hypotensive syndrome ได้ ในรายที่ได้รับยา Analgesic drug เพื่อลดความเจ็บปวด ให้มารดานอนพักบนเตียง
ดูแลความสุขสบายทั่ว ๆ ไป จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สะอาด ในรายที่ถุงน้ำแตกควรใส่ผ้าอนามัยเพื่อสังเกตลักษณะน้ำคร่ำและป้องกันติดเชื้อ
อาหารในระยะคลอด ในระยะ latent phase อาจให้รับประทานอาหารได้ ในกรณีที่ไม่มีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด แต่เมื่อเข้าสู่ระยะ active phase ควรงดน้ำ และอาหารทางปาก
การดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อไม่ใช้ขัดขวางการเคลื่อนต่ำของส่วนนำ
การให้ผู้คลอดปฏิบัติวธีการผ่อนคลายความเจ็บป่วย
การเผชิญกับความปวดในระยะตั้งครรภ์
สาเหตุของความเจ็บปวดในระยะคลอด
ในระยะที่ 1 ของการคอด
1 การหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังมดลูกลดลงเซลกล้ามเนื้อมดลูกขาดออกซิเจน ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเช่นเดียวกับภาวะหัวใจขาดเลือด
1.2 การเปิดขยายของปากมดลูกและการเปลี่ยนแปลงของมดลูกส่วนล่าง ทำให้เกิดการยืดและตึง ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเช่นเดียวกับการยืดขยายของลำไส้เนื่องจากแก๊ส
1.3 แรงกดและดึงลงบนมดลูก ปากมดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ เอ็นยึดต่าง ๆ กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ลำไส้ตรง และเยื่อบุช่องท้อง
ในระยะที่ 2 ของการคลอด
เซลกล้ามเนื้อมดลูกขาดออกซิเจนเนื่องจากมดลูกหดรัดตัว การยืดขยายของช่องคลอดและฝีเย็บ และแรงกดจากการเคลื่อนต่ำของส่วนนำ
ในระยะที่ 3 ของการคลอด
เป็นความเจ็บปวดระยะสั้น เกิดจากมดลูกหดรัดตัว และปากมดลูกเปิดขยายเพื่อขับเอารกออกมา
ด้านจิตใจของความเจ็บปวดในระยะคลอด
1.ความกลัวเกี่ยวกับตนเอง ได้แก่ กลัวความเจ็บปวดจะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด
เมื่อได้รับการตรวจร่างกาย การตรวจภายในช่องคลอด และได้รับการฉีดยา กลัวความยาวนานของการคลอด ความกลัวที่มักจะเกิดขึ้น คือ กลัวเสียชีวิตเพราะผู้คลอดนึกถึงเรื่องที่ผู้หญิงเสียชีวิตในระยะคลอด
ความกลัวเกี่ยวกับทารก ผู้คลอดจะกลัวทารกเสียชีวิต ความกลัวนี้จะเกิดขึ้นเมื่อขาด
ความเชื่อมั่นในตัวแพทย์และพยาบาล หรือมีสัญญาณอันตราย
ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ เป็นความกลัวความกลัวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะการคลอด
เป็นสิ่งที่ไม่รู้ ไม่สามารถทำนายได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร ไม่ว่าผู้คลอดคนนั้นจะเป็นครรภ์แรกหรือครรภ์หลัง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดในระยะคลอด
อายุ จากการศึกษาในผู้คลอดครรภ์แรกพบว่า ผู้คลอดที่มีอายุมากจะมีความเจ็บปวดรุนแรงและยาวนานกว่า
ผู้คลอดอายุน้อย เพราะผู้คลอดที่มีอายุมาก มักจะมีความแข็งของปากมดลูกและฝีเย็บ ทำให้ยืดขยายได้ยาก
ผู้คลอดจึงรู้สึกเจ็บปวดมาก
อาชีพและระดับสติปัญญา พบว่า ความทนต่อความเจ็บปวดในระยะคลอดของผู้คลอดแต่ละคน จะแตกต่างกันตามอาชีพและระดับสติปัญญา
จำนวนครั้งของการคลอด พบว่า ผู้คลอดครรภ์หลังจะมีความเจ็บปวดในระยะที่ 1 ของการคลอดต่ำกว่าผู้คลอดครรภ์แรก
ท่าของทารก ท่าปกติของทารกคือเอาศีรษะเป็นส่วนนำ โดยท้ายทอย อยู่ด้านหน้าของกระดูกเชิงกราน ทารกที่อยู่ในท่าที่ผิดปกติ จะทำให้ผู้คลอดเจ็บปวดมาก และระยะเวลาการคลอดยาวนาน
ความแรงและระยะเวลาในการหดรัดตัวของมดลูก พบว่า ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับความแรงและความยาวนานของการหดรัดตัวของมดลูก
สภาพร่างกายมารดา : อ่อนเพลีย อดนอน ทุพโภชนาการ
การปวดประจำเดือน
ความคาดหวังต่อความเจ็บปวด
เชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ ประเพณี
การปรับตัวของร่างกายและจิตใจ
สภาพจิตใจ : ความกลัว วิตกกังวล เจ็บปวดเพิ่มขึ้น
ประสบการณ์การเตรียมตัวเพื่อการคลอด
ความสัมพันธ์ระหว่างสามี – ภรรยา
การปฏิบัติทางสูติศาสตร์ : ยาเร่งคลอด เจาะถุงน้ำ ตัดฝีเย็บ การใช้หัตถการช่วยคลอด
Pain Pathways ในระยะที่ 1 ของการคลอด
มดลูกหดรัดตัว & แรงกดบนมดลูก => เกิดการยืดขยายของมดลูกส่วนล่าง =>
dilatation & effacement => ใยประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดถูกกระตุ้น
Pain Pathways ในระยะที่ 2 ของการคลอด
การยืดขยายของช่องทางคลอด ฝีเย็บ กล้ามเนื้อในช่องเชิงกราน เอ็นที่ยึดติดอวัยวะในอุ้งเชิงกราน กระเพาะปัสสาวะ ทวารหนัก => ใยประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดถูกกระตุ้น
การประเมินการเผชิญความเจ็บปวดในระยะคลอด
ประเมินจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
1.1 การตอบสนองของระบบ sympathetic เป็นการตอบสนองต่อความเจ็บปวดระดับปานกลาง
กล้ามเนื้อหดเกร็ง ม่านตาขยาย
หายใจเร็ว ความดันโลหิตเพิ่ม
1.2 การตอบสนองของระบบ parasympathetic เป็นการตอบสนองต่อความเจ็บปวดระดับรุนแรง
หน้าตาบิดเบี้ยว ร้องไห้ พักไม่ได้ บิดตัวไปมา
ชีพจรช้าลง ความดันโลหิตลด ปฏิเสธการเคลื่อนไหว
ประเมินโดยใช้แบบประเมินด้วยตนเอง
เช่น แบบสอบถามความเจ็บปวดของแมคกิลล์ (Mcgill pain questionair) มาตราวัดความเจ็บปวดอย่างง่าย มาตรสีวัดความเจ็บปวด เป็นต้น
ประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกขณะเผชิญความเจ็บปวด
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเผชิญความเจ็บปวดในระยะคลอด
วิธีจิตป้องกัน (psychoprophylaxis method) เป็นการสอนหญิงมีครรภ์ให้เข้าใจถึงกระบวนการทางด้านสรีรวิทยาและจิตวิทยาทั้งในระยะตั้งครรภ์และระยะคลอด
วิธีของ Dick-Read เป็นสูติแพทย์ชาวอังกฤษ เชื่อว่าเมื่อบุคคล มีความกลัวกล้ามเนื้อจะตึงตัวและเจ็บปวดมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า Fear-tension – pain syndrome
วิธีการของ Bradley เป็นสูติแพทย์ชาวอเมริกา เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมการคลอดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจึงให้คลอดที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด คือ เงียบ สงบ ร่างกายสุขสบายผ่อนคลาย ปิดตาเหมือนกำลังหลับ ควบคุมการหายใจ เน้นให้สามีมีส่วนร่วม ซึ่งเรียกว่า Husband-coached childbirth
เทคนิคการผ่อนคลาย (relaxation techniques) มีผลดี คือ ลดความตึงเครียด ทำให้การรับรู้ต่อความเจ็บปวดลดลง และความทนต่อความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตไปยังมดลูกดีขึ้น
เทคนิคการหายใจ (breathing techniques) เป็นเทคนิคที่จะช่วยเพิ่มจำนวนออกซิเจน ส่งเสริมให้เกิดการผ่อนคลาย ทำให้ความเจ็บปวด และความเครียดลดลง
การจัดท่าที่เหมาะสม (positioning) มีประโยชน์ดังนี้ ท่ายืน และท่าเดินจะทำให้ความเจ็บปวดจากการหดรัดตัวของมดลูกลดลง ทายืน หรือท่านั่งเอาลำตัวส่วนหน้าพิง และท่าคลานจะทำให้ความไม่สุขสบายจากการปวดหลังลดลง ท่าตอนตะแคงจะทำให้สุขสบาย การไหลเวียนของโลหิตไปยังรกดีขึ้น ท่าของผู้คลอดควรเปลี่ยนทุก 30-60 นาที เพื่อเพิ่มความสุขสบาย และลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ
การบำบัดด้วยแรงดันน้ำ (jet hydrotherapy) หมายถึง การอาบน้ำจากฝักบัว โดยให้อุณหภูมิของน้ำอยู่ในระหว่าง 35.6 –36.7 C ผู้คลอดจะต้องมีศัญญาณชีพปกติและอยู่ในระยะปากมดลูกเปิดเร็ว เพราะถ้าอยู่ในระยะปากมดลูกเปิดช้า จะทำให้การหดรัดตัวของมดลูกลดลง ทารกต้องอยู่ในภาวะปกติ ถุงน้ำคร่ำยังอยู่ หากถุงน้ำคร่ำแตก น้ำคร่ำต้องใส วิธีนี้จะช่วยลดความไม่สุขสบาย เกิดการผ่อนคลาย
การใช้ความร้อนและความเย็น (hot and cold) คือ การใช้ความร้อนของน้ำ โดยให้ผู้คลอดแช่ในอ่างน้ำอ่อน หากถุงน้ำคร่ำแตกให้อาบน้ำอุ่นจากฝักบัวแทน จะช่วยลดความตึงเครียด และความเจ็บปวด
การเบี่ยงเบนความสนใจ (distraction) เช่น การเพ่งจุดสนใจ การลูบและกดบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ การสัมผัส การเดินและการพูด การดูโทรทัศน์ การอ่านหนังสือ การฟังดนตรี เป็นต้น
การเตรียมตัวเพื่อการคลอดกับพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวด
การให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการคลอด
การปฏิบัติเพื่อเผชิญกับความเจ็บปวดในระยะเจ็บครรภ์
การหายใจ และการลูบหน้าท้อง
การลูบหน้าท้อง
1.นั่งหรือนอนในท่าผ่อนคลาย
2.ทำมือทั้งสองข้างให้อยู่ในลักษณะเป็นอุ้งมือเหมือนกับเวลาพนมมือ
3.วางมือทั้งสองข้างเหนือหัวเหน่าแล้วลูบขึ้นไปทางยอดมดลูก โดยให้สัมพันธ์กับการหายใจเข้า จากยอดมดลูกลูบมือทั้งสองข้างผ่านลงมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ โดยให้สัมพันธ์กับการหายใจออก
การหายใจ
ก. การควบคุมการหายใจระยะปากมดลูกเปิดช้า
ต่อมาให้หายใจแบบ ช้า ๆ ลึก ๆ โดยการหายใจเข้าทางจมูก ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้านับจังหวะ 1-2-3-4 แล้วจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้า ๆ เปิดปากเล็กน้อยนับจังหวะ 1-2-3-4 ทำเช่นนี้ประมาณ 6-9 ครั้งต่อนาที
เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัว ให้เริ่มต้นด้วยการหายใจล้างปอด 1 ครั้ง โดยการหายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ ช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ เปิดปากเล็กน้อย
ข. การควบคุมการหายใจระยะปากมดลูกเปิดมากขึ้น
เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัว ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
แล้วต่อด้วยการหายใจเข้า หายใจออก ช้า ๆ ลึก ๆ ก่อน เมื่อสัญญาณมดลูกหดรัดตัวเต็มที่จึงเปลี่ยนการหายใจเป็นแบบ ตื้น ๆ เร็ว ๆ เบา ๆ ไปเรื่อยซึ่งเป็นการหายใจแบบสั้น ๆ เบา ๆ เหมือนกับหายใจที่คอ เมื่อรู้สึกว่ามดลูกเริ่มคลายตัวให้หายใจแบบช้า ๆ ลึก ๆ
เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
ค. การควบคุมการหายใจระยะปากมดลูกเปิดเกือบหมด
เมื่อมดลูกหดตัว ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
ต่อมาให้หายใจแบบตื้น เบา เร็ว 3 – 4 ครั้ง ติดต่อกันแล้วจึงเป่าลมออก 1 ครั้ง โดยห่อปาก เปาลอออกทางปากยาว ๆ เหมือนเป่าเทียน ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดระยะที่มดลูกหดรัดตัว
3.เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
ง. การควบคุมการหายใจระยะปากมดลูกเปิดหมดหรือระยะเบ่งคลอด
เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัว ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
ต่อมาสูดลมหายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ หรืออาจใช้การนับจังหวะ 1-2-3-4 หายใจเข้าแล้วกลั้นลมหายใจนิ่งประมาณ 6 – 8 วินาที ซึ่งระยะที่มดลูกหดรัดตัว 1 ครั้ง สามารถเบ่งซ้ำได้ประมาณ 3 – 4 ครั้ง
เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
การจัดการความเจ็บปวดโดยใช้ยา
การใช้ยาระงับปวดชนิดทั้งระบบ (systemic analgesia)
1.1 ยาระงับปวดชนิดเสพติด (narcotics / opioid)
1.2 ยาสงบประสาท และ ยานอนหลับ (sedatives and tranquilizers)
1.3 ยากล่อมประสาท (Tranquilizer anestics)
การพยาบาลผู้คลอดที่ได้รับยาระงับปวดชนิดทั้งระบบ
1.ประเมินความเจ็บปวด
2.แนะนำการบรรเทาปวดโดยไม่ใช้ยาก่อน แต่หากปวดมากพักไม่ได้ รายงานแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาแก้ปวด
3.ก่อนให้ยาประเมิน V/S , FHR , Uterine contraction
4.ก่อนให้ยาอธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจเกี่ยวกับฤทธิ์ข้างเคียงของยา
5.หลังให้ยาประเมินอาการเจ็บปวด และฤทธิ์ข้างเคียงของยา
6.เตรียม Narcotic antagonist และเครื่องมือสำหรับช่วยหายใจทารกไว้ให้พร้อม
การใช้ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ (regional anesthesia)
Pudendal nerve block
• เป็นการฉีดยาระงับความรู้สึกให้ออกฤทธิ์ที่ pudendal nerve
• ระงับปวดบริเวณช่องคลอดส่วนล่าง ปากช่องคลอด
• ไม่มีผลต่อแรงเบ่งและการหดรัดตัวของมดลูก
• มักทำในระยะที่ 2 ของการคลอด
• ทำในรายที่ต้องช่วยคลอดโดยสูติศาสตร์หัตถการ
ภาวะแทรกซ้อน
hematoma บริเวณที่ฉีดยา
บริเวณฉีดยาเกิดการอักเสบติดเชื้อ
เกิด systemic toxicity
การพยาบาลก่อนและหลังทำ pudendal nerve block
อธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการรักษา
จัดท่านอนหงายขึ้นขาหยั่ง และสวนปัสสาวะก่อนทำ
บันทึก V/S , FHR, Uterine contraction
ภายหลังทำประเมินความเจ็บปวด และภาวะแทรกซ้อน
การให้ยาระงับความรู้สึกทางเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอก (epidural block)
ภาวะแทรกซ้อนของการทำ epidural block
ความดันโลหิตต่ำ (ป้องกันโดยให้ isotonic solution ประมาณ 500 cc ก่อนทำ)
คลื่นไส้ อาเจียน หนาวสั่น ปัสสาวะไม่ออก
ปวดหลัง
เกิดการอักเสบติดเชื้อบริเวณที่ทำ
เกิด systemic toxicity
การพยาบาลก่อนการทำ epidural block
เตรียมผู้คลอด อุปกรณ์ในการทำ epidural block และ อุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพไว้ให้พร้อม
อธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ วิธีการทำ และประโยชน์ของการทำ
Record V/S เพื่อเป็น baseline
ประเมิน FHR และ Uterine contraction
ดูแลให้ได้รับสารน้ำตามแผนการรักษา
การพยาบาลหลังทำ epidural block
จัดให้ผู้คลอดนอนหงายราบนานประมาณ 15 นาที
สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนหลังทำ
Record V/S ทุก 5-15 นาที
ถ้า BPต่ำ หรือ RR ลดลง จัดให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้าย ให้ IV fluid ให้เร็วขึ้น ดูแลให้ได้รับ O2 4 L/min และรายงานแพทย์
ประเมิน Uterine contraction , FHR
ประเมินกระเพาะปัสสาวะ และกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะ
เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการช่วยคลอดโดยสูติศาสตร์หัตถการ
กรณีเกิด total epidural block (จะมีอาการ BP ต่ำ, pulse ช้า , หายใจช้า ต่อมาหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น)
8.1 clear air way เพื่อป้องกันการสำลัก
8.2 กรณีที่ต้องใส่ endotracheal tube ดูแลให้ได้รับ O2 100 %
8.3 จัดให้ผู้คลอดนอนท่าศีรษะต่ำ และดันมดลูกไปทางซ้าย
8.4 ดูแลให้ได้รับ IV fluid ตามแผนการรักษาเพื่อแก้ไขภาวะ BP ต่ำ
8.5 record V/S ทุก 5-10 นาที
8.6 ดูแลให้ได้รับยาเพิ่มความดันโลหิตและยาแก้ไขภาวะหัวใจเต้นช้า
8.7 เตรียมอุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพไว้ให้พร้อม
หลักการประเมินสภาวะของทารกในครรภ์
การเต้นของหัวใจทารก การฟังเสียงหัวใจทารกจะช่วยวินิจฉัยภาวะขาดออกซิเจน ปกติอัตราการเต้นของหัวใจทารกอยู่ในช่วงประมาณ 110 – 160 ครั้งต่อนาที ควรฟังเสียงหัวใจทารกให้เต็ม 1 นาที และควรฟังภายหลังมดลูกคลายตัวประมาณ 20 – 30 วินาที เพราะในระหว่างมดลูกหดรัดตัวอัตราการเต้นของหัวใจทารกอาจลดเหลือประมาณ 70 -110 ครั้งต่อนาที เมื่อมดลูกคลายตัวแล้วประมาณ 20 – 30 วินาที อัตราการเต้นของหัวใจทารกกลับสู่ภาวะปกติ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจัดว่าเป็น physiological bradycardia เนื่องจากทารกถูกกดดันลงมาในช่องเชิงกราน ทำให้หัวใจทารกเต้นช้าลงและมีภาวะขาดออกซิเจนเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้น แต่ทารกสามารถปรับตัวได้
1.1 ในผู้คลอดที่มีภาวะเสี่ยงต่ำ ในระยะ latent ควรฟังทุก 1 ชั่วโมง และในระยะ active ควรฟังทุก 30 นาที ในผู้คลอดที่มีภาวะเสี่ยงสูงในระยะ latent ควรฟังทุก 30 นาที และในระยะ active ควรฟังทุก 15 นาที ถ้ามีข้อบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์มีโอกาสได้รับอันตรายควรฟังบ่อยขึ้น
1.2 ในผู้คลอดที่ถุงน้ำคร่ำแตก ควรฟังเสียงหัวใจทารกทันที หลังจากนั้นฟังทุก 5 – 10 นาที โดยเฉพาะในรายที่มีภาวะขี้เทาในน้ำคร่ำและรายที่ส่วนนำยังอยู่สูงซึ่งอาจมีการพลัดต่ำของสายสะดือทำให้เสียงหัวใจทารกผิดปกติได้
ลักษณะน้ำคร่ำ โดยปกติเมื่ออายุครรภ์ไม่ครบกำหนดน้ำคร่ำมีลักษณะใส สีเหลืองจางๆ คล้ายสีฟางข้าว เมื่อใกล้ครบกำหนดคลอด น้ำคร่ำจะขุ่นคล้ายน้ำมะพร้าวเนื่องจากมีไขของทารกปนออกมาด้วย ถ้าถุงน้ำคร่ำแตกแล้วมีขี้เทาปน จะสังเกตเห็นน้ำคร่ำมีสีเขียว หรือสีเหลืองน้ำตาลและข้น ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะทารกขาดอากาศหายใจ (fetal distress) จึงทำให้กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักของทารกคลายตัวขับขี้เทาปนออกมาในน้ำคร่ำซึ่งเป็นภาวะผิดปกติ พบเฉพาะในกรณีที่ทารกมีศีรษะเป็นส่วนนำเท่านั้นส่วนทารกที่มีก้นเป็นส่วนนำและตรวจพบขี้เทาปนไม่ถือว่าผิดปกติ เนื่องจากแรงขับจากการหดรัดตัวของมดลูกกดลงบริเวณท้องทารกทำให้ขี้เทาถูกขับออกมาได้ง่าย
การดิ้นของทารกในครรภ์ ในภาวะปกติทารกในครรภ์มีการเคลื่อนไหวอย่างน้อย 10 ครั้งในช่วงระยะเวลา 12 ชั่วโมง ผู้คลอดรู้สึกถึงความแตกต่างในจำนวนครั้งและความแรงของการดิ้นของทารกในครรภ์ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานการณ์
การที่เลือดไปเลี้ยงมดลูกและรกลดลง ทำให้ทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
อาจส่งผลให้ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง ในผู้คลอดที่มีภาวะเสี่ยงสูง อาการนำที่แสดงถึงภาวะผิดปกติของทารกในครรภ์
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงจนกระทั่งหยุดดิ้น โดยจะยังคงฟังเสียงหัวใจอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ซึ่งจัดว่าเป็นข้อบ่งชี้ที่ต้องช่วยเหลือให้มีการคลอดอย่างรีบด่วน
การวิเคราะห์เลือดของทารกในครรภ์ (fetal blood analysis) คือ การวิเคราะห์เลือดจากหนังศีรษะทารกในครรภ์ เพื่อค้นหาภาวะขาดออกซิเจนของทารก (fetal hypoxia และ acidosis) โดยปกติเลือดของทารกในครรภ์จะมีค่า pH อยู่ระหว่าง 7.25 – 7.45
ถ้า pH ของเลือดต่ำกว่า 7.20 ถือว่าทารกมีภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis)
หนังศีรษะทารกจะบวมมาก หรือหลอดเลือดหนังศีรษะทารกหดตัวมาก เป็นต้น
การบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจทารกโดยใช้เครื่องอิเล็คโทรนิกส์ (continuous electronic fetal heart rate monitoring)
บันทึกผลเกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจทารกและลักษณะการหดรัดตัวของมดลูกบนกระดาษ อาจใช้วิธีบันทึกแบบภายนอก (external monitoring)
การประเมิน การส่งเสริมความก้าวหน้าของการคลอด
การติดตามความก้าวหน้าของการคลอด
-การตรวจทางช่องคลอดและการตรวจทางทวารหนัก
ใช้กราฟของ Friedman ซึ่งเป็นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดขยายของปากมดลูกกับระยะเวลาการคลอด ในระยะที่ 1 ของการคลอดแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ
ระยะ Latent phase เป็นระยะที่ปากมดลูกเปิดช้า cervix dilate 2.5 ซม. ใช้เวลาประมาณ 8 ซม. ในครรภ์แรก และ 5 ซม.ในครรภ์หลัง
ระยะ Active phase เป็นระยะที่ปากมดลูกเปิดเร็วมากที่สุดคือเปิดตั้งแต่ 2.5-10 ซม.
Acceleration phase เป็นระยะที่ปากมดลูกเปิด 2.5.4 ซม. ใช้เวลา 2 ชม.ในครรภ์แรกและ 1 ชม.ในครรภ์หลัง
Phase of maximum เป็นระยะที่ปากมดลูกเปิด 4-9 ซม. ใช้เวลา 2 ชม.ในครรภ์แรกและ 1 ชม. ในครรภ์หลัง
Deceleration phase เป็นระยะที่ปากมดลูกเปิด 9-10 ซม. ใช้เวลา 1 ชม.ในครรภ์แรกและ 30 นาทีในครรภ์หลัง
การติดตามความก้าวหน้าโดยการตรวจทางช่องคลอดนั้น จำเป็นต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้คือ
1.Cervix dilate เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือไม่โดยยึดตามหลักเกณฑ์ของ Friedman
2.Effacement ความบางของปากมดลูก
3.Station การเคลื่อนต่ำของส่วนนำ นี้ใช้ระดับของ Ischial spine เป็นหลักถ้าส่วนนำอยู่ในระดับของ ischial spine พอดีถือว่ามี station O ถ้าส่วนนำอยู่สูงกว่า ischial spine จะมีค่าเป็นลบ ถ้าส่วนนำอยู่ต่ำกว่าจะมีค่าเป็นบวกโดยเทียบค่าเป็น ซม. เช่น +1,+2,+3 เป็นต้น
Membrane การแตกของถุงน้ำ ถ้าถุงน้ำแตกในช่วงระยะคลอดจะช่วยให้การถ่างขยายของมดลูกเป็นไปได้ด้วยดี เนื่องจากส่วนนำของทารกมาช่วยถ่างขยายปากมดลูกและช่วยกระตุ้นการหลั่ง Prostaglandin ช่วยให้ปากมดลูกมีความบางและถ่างขยายได้ง่ายขึ้น
การหมุนของศีรษะทารก เมื่อการคลอดก้าวหน้าดี ส่วนนำของทารกจะเคลื่อนต่ำลงมาและมีการหมุนของศีรษะภายในช่องเชิงกราน เพื่อปรับให้ศีรษะลอดช่องออกมาได้ โดยจะพิจารณาเส้นรอยต่อแสกกลางของศีรษะ (sagital suture) เป็นสิ่งบอก
-การตรวจทางหน้าท้อง
การติดตามความก้าวหน้าโดยการตรวจทางหน้าท้องสิ่งที่ต้องประเมินได้แก่
1.สังเกตการหดรัดตัวของมดลูก โดยคลำส่วนมดลูกบริเวณยอดมดลูก
Severity หรือ Intensity คือค่าความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งแบ่งระดับความรุนแรงไว้ดังนี้คือ
+1 หรือ mild contraction มดลูกหดรัดตัวอ่อน คือในขณะที่มดลูกกหดรัดตัวยังสามารถคลำส่วนของทารกได้ชัดเจน
+2 หรือ Moderate contraction มดลูกหดรัดตัวแข็งมากขึ้นเป็นปกติ ในขณะที่มดลูกหดรัดตัวไม่สามารถคลำส่วนของทารกได้
+3 หรือ strong contraction มดลูกหดรัดตัวแข็งมาก มักพบในปลายระยะที่หนึ่งของการคลอดเข้าสู่ระยะที่สองของการคลอด
+4 หรือ tetanic contraction มดลูกหดรัดตัวแข็งผิดปกติ เช่น ในระยะที่มีการคลอดติดขัด หรือการหดรัดตัวเป็นแบบ Spasm
การสังเกตการเคลื่อนต่ำของส่วนนำ
โดยบันทึกผลการตรวจต่างๆ
เส้นกราฟของ Friendman (Friendman’s curve) เป็นกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดของปากมดลูกกับระยะเวลาในการคลอด
เส้นกราฟขององค์การอนามัยโลก (WHO partogram) จะบันทึกความก้าวหน้าของการคลอดแสดงแนวโน้มความก้าวหน้าของการคลอดที่ผิดปกติและช่วยในการตัดสินใจส่งต่อผู้คลอดได้ หรือ ดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันทีทันใด
อาการแสดงที่เข้าสู่ระยะที่สองของการคลอด
อาการที่น่าจะเข้าสู่ระยะที่สองของการคลอด (probable sign) เช่น อยากเบ่ง อยากถ่ายอุจจาระและปัสสาวะขณะที่มดลูกหดรัดตัว มีเลือดสดออกทางช่องคลอดเลกน้อย ถุงน้ำคร่ำแตก ฝีเย็บตุง และมองเห็นส่วนนำของทารกทางช่องคลอด เป็นต้น
อาการแสดงที่แน่นอน (positive sign) ทราบจากการตรวจทางช่องคลอด จะคลำไม่พบขอบของปากมดลูก คือ ปากมดลูกเปิดหมด 10 เซนติเมตร (full dilatation)
นางสาวอริสรา ทาแล เลขที่ 157 ชั้นปีที่ 2 รุ่นที่ 29 รหัส 612401160