Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 4
หญิงไทยอายุ 25 ปี ตรวจเลือดก่อนคลอดพบมี anti HIV positive…
กรณีศึกษาที่ 4
หญิงไทยอายุ 25 ปี ตรวจเลือดก่อนคลอดพบมี anti HIV positive ครรภ์นี้เป็นครรภ์ที่ 2 คลอดทารกชายครบกำหนด แข็งแรง ไม่มีอาการเจ็บป่วย
ประวัติมารดา
- ไม่ฝากครรภ์ เป็นบุตรของสามีคนที่ 2
- บุตรคนแรกเกิดกับสามีคนแรก อายุ 3 ปี สุขภาพแข็งแรง ป้าเป็นผู้เลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด
- มารดาทำอาหารขาย ก่อนที่จะแต่งงานกับสามีคนที่ 2 เคยมีเพศสัมพันธ์กับนักศึกษานาน 8-9 เดือน แล้วจึงเลิกกัน เพราะผู้ชายมีผู้หญิงอื่น มารดาเข้าใจว่าติดเชื้อจากผู้ชายคนนี้
- สามีคนปัจจุบันเป็นพนักงานบริษัท รายได้ 8,000 - 9,000 บาท ต่อเดือน ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวหญิงบริการ เคยบริจาคเลือด ครั้งสุดท้ายก่อนมารดาตั้งครรภ์
หลังคลอด
ผลเลือดของเด็กมี anti HIV positive มารดาไม่ต้องการให้บิดาเด็กทราบเรื่องเกี่ยวกับผลเลือดของตนเองและลูก เพราะกลัวว่าสามีจะรังเกียจและต้องเลิกกัน
ประวัติทารก
- แพทย์ให้มารดาเลี้ยงนมผสมแก่ทารก บิดาซึ่งมาเยี่ยมต้องการให้บุตรกินนมมารดา มารดาบ่ายเบี่ยงและแจ้งว่าหมอไม่ให้เลี้ยงนมแม่ บิดาสงสัยจึงมาถามแพทย์และพยาบาลถึงสาเหตุการไม่ยินยอมให้ทารกกินนมมารดา
- ก่อนจำหน่ายเด็กกลับบ้านแพทย์แนะนำให้พาเด็กมาตรวจหลังคลอดเป็นระยะๆ
1) สรุปสาเหตุของการเกิดโรค อาการและอาการแสดง การตรวจวินิจฉัยและการแปลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษา
อาการและอาการแสดง
3. ระยะติดเชื้อมีอาการ (sumptomatic HIV infection)
เชื้อ HIV เริ่มทำลายภูมิคุ้มกันจะตรวจพบ anti HIV antibody และมีอาการแสดง ได้แก่ เป็นเชื้อราบริเวณปากมีไข้เป็นๆหายๆถ่ายเหลวเรื้อรังน้ำหนักลดมากกว่าร้อยละ 10 และต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 2 ที่โดยไม่ทราบสาเหตุ (ไม่รวมต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ)
2. ระยะเลือดบากเอดส์โดยไม่มีอาการ (usumptomatic HIV infection)
สามารถพบ anti-HIV antibody ในเลือดระยะนี้อาจใช้เวลาหลายปีที่ไม่แสดงอาการแต่ระดับ anti p24, anti-gp 160 และ CD4 ยังสูงอยู่
1. ระยะแรกที่ได้รับเชื้อ (LCute HIV infection)
อาจมีอาการแบบไข้หวัดหรือ infectious mononucleosis คือมีไข้มีผื่นแดงที่หน้าคอและลำตัวต่อมน้ำเหลืองโตบางรายมี Useptic meningitis ประมาณ 2-6 สัปดาห์จะสามารถตรวจพบ untibody ของ HIV แต่ระยะนี้ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการรักษา
4. ระยะเอดส์เต็มขั้น (fullblown AIDS) หรือโรคเอดส์ระยะที่มีการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เชื้อราในปอด หรือหลอดอาหาร วัณโรค ปอดอักเสบหรือมะเร็งเช่น Kaposis Sarcoma หรือมะเร็งปากมดลูกพบว่าระดับ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตรอัตราการตายสูงส่วนมากจะเสียชีวิตภายใน 2 ปี
-
สาเหตุของการเกิดโรค
Acquired immunodeficiency Syndrome (AIDS) คือ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันหรือกลไกต่อต้านเชื้อโรคของร่างกายถูกทำลาย โดยเกิดจากเชื้อ Human immunodeficiency virus (HIV) ซึ่งเป็นกลุ่ม retrovirus ชนิด RNA แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ HIV-1 และ HIV-2 ที่พบได้โดยทั่วไปคือชนิด HIV-1 การติดเชื้อ HIV พบมากในกลุ่มมารดาวัยรุ่นพบได้ประมาณร้อยละ 0. 1-0. 2 ของสตรีมีตั้งครรภ์ สามารถติดต่อได้ทาง สารคัดหลังการมีเพศสัมพันธ์ การให้เลือกการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมทั้งเพื่อมารดาสู่ทารก โดยเฉพาะในช่วงใกล้คลอดและในขณะคลอด
การรักษา
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับคำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับการตรวจเลือดทั้งในหญิงตั้งครรภ์และสามีโดยความสมัครใจ
- ติดตามภาวะความรุนแรงของโรศโดยตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่นตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดแดงปัสสาวะไตเตอร์หัดเยอรมันซิฟิลิสไวรัสตับอักเสบบีตรวจภาพถ่ายรังสีทรวงอกตรวจระดับ CD4
- หญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจหาเชื้อ HIV
3. 2 การตรวจเพื่อยืนยันโดยหาแอนตี้บอดีย์ด้วยวิธี western blot
โดยดูว่าในซีรัมของสตรีมีครรภ์มีแอนตี้บอดี้ยต่อเชื้อเอดส์หรือไม่ผลลบแสดงว่าไม่มีแอนตี้บอดีย์
3. 3 การตรวจหาเชื้อด้วยวิธีอื่น
เช่น immunofluorescence, radioimmunoprecipitation และตรวจหาแอนติเจนของ HIV ด้วยวิธี PCR (polymerase chian reaction) การตรวจหา virus DNA เป็นต้น
3. 1 การตรวจเพื่อคัดกรองหาแอนตี้บอดีย์ด้วยวิธีต่างๆ
เช่น ELISA โดยควรตรวจติดต่อกันอย่างน้อย 2 ครั้งถ้าพบผลบวกทั้ง 2 ครั้งจะวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อวิธีนี้มีความไวร้อยละ 99. 5
- ในระยะคลอดดูแลป้องกันการแพร่กระจายเชื่อโดยยึดหลัก universal precaution พิจารณาวิธีคลอดที่เกิดการบาดเจ็บหรือเกิดบาดแผลน้อยที่สุดหลีกเลี่ยงการใช้หัตถการหรือการทำให้เกิดบาดแผลในทารกเช่นการช่วยคลอดด้วยคิมหรือเครื่องดูดสุญญากาศการเจาะถุงน้ำเร็วเกินไปแต่ถ้ามีการแตกของถุงนาคราควรให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อลดระยะเวลาของการคลอดภายหลังถุงน้าคราแตกหลีกเลี่ยงการทำ internal fetal monitoring หรือ scalp blood sampling การผ่าตัดคลอดทารกทางหน้าท้องอาจช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารกได้
- สตรีที่ติดเชื้อ HIV ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์
- ทารกที่มารดามีการติดเชื้อควรได้รับการวินิจฉัยแรกคลอด ได้แก่ การตรวจ viral DNA ด้วยวิธี PCR ส่วนการตรวจหาแอนติบอดีย์ ตรวจเมื่อทารกอายุหลัง 15-18 เดือนเนื่องจากแอนตี้บอดีย์ที่-ผ่านรกมาจากมารดาจะค่อยๆหายไปใน 15-18 เดือนหลังคลอด
13.แนะนำเรื่องการรับประทานอาหารออกกาลังกายหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้เพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง
- ป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนโดยเฉพาะในรายที่มี CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ไมโครลิตร
- 1 ถ้า Tuberculin skin test ได้ผลบวกควรให้ยา INH รับประทานร่วมกับ pyridoxine วันละครั้งนาน 2 เดือน
- 3 รายที่มีอาการแสดงของโรคควรให้ยา zidovudine (AZT) แต่ในปัจจุบันพบว่าการใช้ยาร่วมกันระหว่างกลุ่ม nucleoside analogue เช่น AZT ร่วมกับ protease inhibitors เช่น Saquinavir จะมีประสิทธิภาพในการกดระดับ HIV-RNA ได้ดีกว่าการใช้ยารักษาเพียงกลุ่มเดียว
- 2 ป้องกันการติดเชื้อ pneumocystis carini โดยให้ยา trimeroprim และ Sulfarmethoxazole 480 mg 2 เม็ด 3 สัปดาห์
- 4 รายที่มีภาวะแทรกซ้อนให้การรักษาตามอาการเช่นรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสรักษามะเร็ง
- งดเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดา
- แนะนำให้มารตามารับการตรวจติดตามภาวะของโรคและเฝ้าระวังอาการและอาการแสดงแสดงโดยมาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกทุกปีถ้าผล CD4 ต่ำกว่าไมโครลิตรตรวจพบเชื้อ HPV ภายหลังการรักษาการอักเสบของปากมดลูกหรือผลการตรวจรมะเร็งปากมดลูกในครั้งก่อนไม่พบ EndocarVIC C21 เช็คมะเร็งปากมดลูก 6 เดือน
- ในระยะหลังคลอดให้การดูแลเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดปกติเน้นย้ำเรื่องการแพร่กระจายเชื่อโดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- แนะนำเรื่องการคุมกำเนิดและการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
- หญิงตั้งครรภ์ที่ผลการตรวจหาเชื้อ HIV เป็นลบควร เน้นย้ำถึงการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ติดเชื้อ ส่วนในรายที่มีผลเลือดเป็นบวกต้องให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว เพื่อไม่ให้รับเชื่อเพิ่ม หรือไม่ให้แพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ติดตามภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์ เช่น ตรวจด้วยคลื่นเสียงความสูง (ultrasound) เพื่อประเมินภาวะเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เน้นให้มาตรวจครรภ์ตามนัด
-
-