Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่3 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (หลักการทั่วไปในการให้วัคซีน…
บทที่3 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
แบ่งได้2ชนิด
1.การสร้างภูมิคุ้มกันโรคทางตรง Actiive immunization
ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นสามารถป้องกันโรคได้เป็นปีๆหรือบางชนิดอาจอยู่ได้ตลอดไป
เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง
ภูมิคุ้มกันขึ้นมาเองโดยการให้ antigen
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแบบ active แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 2 วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิต (inactivated หรือ killed vaccine)
เป็นวัคซีนที่ทำมาจากแบคทีเรียหรือไวรัสทั้งตัวที่ทำให้ตายแล้ว
เช่น
โรคไอกรน/Pertussis
วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ/JE ชนิดไม่มีชีวิต
กลุ่มที่ 3 วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต (live attenuated vaccine)
เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงแล้ว ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนสำหรับไวรัส
ส่วนวัคซีนสำหรับแบคทีเรียที่ใช้
แพร่หลาย
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน(OPV)
วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด
คางทูมและหัดเยอรมัน(MMR)
วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG)
วัคซีนป้องกันโรคสุกใส (varicellar vaccine)
วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ/JEชนิดมีชีวิต
วัคซีน Rota virus
กลุ่มที่ 1 ท๊อกซอยด์ (toxoid)
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทางอ้อมหรือด้วยการรับเอา Passive immunization
เป็นการให้สารที่มีภูมิคุ้มกันโรคอยู่แล้ว (Antibody) เข้าไปในร่างกายโดยตรงและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคในทันที
วิธีการให้วัคซีน
มีอยู่ 4 แบบคือ
การฉีดเข้าในหนัง (intradermal หรือ intracutaneous route)
การฉีดเข้าใต้หนัง (subcutaneous route)
มักจะใช้กับวัคซีนที่ไม่ต้องการให้ดูดซึมเร็วเกินไป
การกิน (oral route)
ใช้ในกรณีที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
เฉพาะที่
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular route)
ใช้เมื่อต้องการให้การดูดซึมดี การฉีด
เข้ากล้ามเนื้อจะให้ได้ผลดี
ควรฉีดบริเวณต้นแขน (deltoid) เพราะการดูดซึมดีที่สุด
หลักการทั่วไปในการให้วัคซีน
7.ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ควรให้วัคซีนเหมือนเด็กที่เกิดครบกำหนด
แต่ถ้าเด็กยังอยู่ใน nursery ไม่ควรให้OPV
เด็กที่เคยได้วัคซีนดีทีพีแล้วมีไข้สูง (เกิน 40.5 องศาเซลเซียส) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังฉีด
ควรให้เฉพาะวัคซีนรวมป้องกันเฉพาะโรคคอตีบ และบาดทะยัก
( DT ) เท่านั้น
เด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติเช่นผู้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน(steroid) ยารักษาโรคมะเร็ง
การให้วัคซีนห่างเกินกว่ากำหนดไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดน้อยลง
เด็กที่ได้วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน แล้วเกิดอาการชักภายใน 3 วัน หรือมี
อาการทางสมอง (encephalopathy) ภายใน 7 วัน
ไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell
(DTwP) ในครั้งต่อไป
เด็กที่มีโรคทางระบบประสาท ซึ่งยังควบคุมไม่ได้
ไม่ควรให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell แต่ถ้าเป็น
โรคชักที่ควบคุมได้แล้ว
hydrocephalus ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขแล้วหรือเป็นเด็กที่เจริญเติบโตช้า
สามารถให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนได้
เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคชัก สามารถให้วัคซีนได้
ถ้าให้วัคซีนป้องกันโรคหัดอาจต้องพิจารณาให้ยาลดไข้ตั้งแต่วันที่ 5 หลั'งฉีดยาแล้วและให้ต่อไปอีกประมาณ 5-7 วัน
วัคซีนหลายชนิดอาจให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้
เด็กที่ได้ยากดภูมิคุ้มกันสามารถให้ท๊อกซอยด์ และวัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตได้ถึงแม้ว่า
13 การฉดีวัคซีนที่มี adjuvant ควรให้เข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น
การให้เข้าใต้ผิวหนังหรือในหนัง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่
อักเสบเป็นก้อนหรือทำให้เนื้อตายบริเวณที่ฉีดได้
ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น หวัด ไอ หรือไข้ต่ำ ๆ สามารถให้วัคซีนได้
ควรเลื่อนกำหนดการฉีดวัคซีนออกไปจนกว่าไข้จะหายแล้ว
ผู้ที่ได้รับอิมมูโนโกลบุลิน พลาสม่า หรือเลือดมาไม่ถึง 3 เดือน ไม่ควรให้วัคซีนไวรัสที่มีชีวิต
เด็กที่เคยแพ้ไข่ คือมีอาการปากบวม ลมพิษขึ้น
ไม่ควรให้วัคซีนรวม MMR ชนิดที่มาจากเซลล์เพาะเชื้อจากไข่ เพราะมีโอกาสแพ้ได้
14.ตำแหน่งของการฉีดวัคซีนควรฉีดในตำแหน่งที่ทำให้เกิดอันตรายน้อยที่สุดต่อหลอดเลือด
เส้นประสาท และเนื้อเยื่อ
นิยมให้ที่กล้ามเนื้อบริเวณกึ่งกลาง
ต้นขาด้านหน้าค่อนไปด้านนอก
ส่วนผู้ใหญ่หรือเด็กโต นิยมให้บริเวณต้นแขนส่วนบน (deltoid)
เด็กที่ติดเชื้อ HIV หรือเชื้อโรคเอดส์
ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตามสามารถให้วัคซีนทุกชนิดได้เหมือนเด็กปกติ
วัคซีนบีซีจี ซึ่งให้เฉพาะเด็กที่ติดเชื้อเอ็ชไอวีแต่ยังไม่มีอาการของโรคเอดส์
เด็กที่ได้รับยา กลุ่ม Steroid
แต่ถ้าไม่เกิน 2 สัปดาห์สามารถให้
วัคซีนเชื้อมีชีวิตได้เลยหลังจากหยุดยา
17.ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตอรอยด์ชนิดทาหรือฉีดเฉพาะที่
และผู้ป่วยที่ได้ยาสเตอรอยด์ขนาดต่ำสามารถ
ให้วัคซีนได้
แต่ถ้าได้ยาสเตอรอยด์ขนาดสูง (> 2 มก./กก./วัน) ไม่ควรให้วัคซีนเชื้อเป็นจนกว่าจะหยุดยา
17.ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ควรได้รับวัคซีนตามอายุหลังคลอด เช่นเดียวกับเด็กปกติ
ยกเว้นการให้
วัคซีนตับอักเสบบี
ตารางการให้วัคซีน เด็กปกติทั่วไป
6 เดือน - OPV3 DTwP-HB3-Hib3 Rota 3(ส่วนใหญ่ Rota จะให้ไม่เกิน 8 เดือน)
9-12เดือน -MMR1 LAJE1(เชื้อเป็ น)
4 เดือน -IPV1 OPV2 DTwP-HB-Hib2 Rota2
18 เดือน -OPV4 DTwP 4
2 เดือน -OPV1 DTwP-HB-Hib1 Rota1 .....Rota virus เป็ นเชื้อเป็ น
4 ปี- OPV5 DTwP5
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 HPV1 HPV2 วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV เข็ม 1 กับเข็ม 2
ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
1 เดือน -HB2
2-2 1⁄2 ปี - LAJE2(เชื้อเป็น) MMR2
แรกเกิด - BCG HB1 ถ้ามารดา HBsAg HBeAg positive ต้องเพิ่ม HBIG
วัคซีนป้องกันวัณโรค (Bacille Calmette Guerin : BCG)
วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนแบคทีเรียเชื้อมีชีวิต การฉีดต้องฉีดเข้าในผิวหนังครั้งละ 0.1 cc. ในชั้นผิวหนังที่ไหล่ซ้าย
ปฏิกิริยาหลังฉีด
หลังฉีดจะเกิดตุ่มสีขาวซีด ขนาด 7-8 มิลิเมตร ต่อมาจะเป็นรอยแดง ๆ
ถ้าโตขึ้นกลายเป็นฝีขนาด
เล็ก มีหนองสีครีมขาว
แต่ให้รักษาความสะอาดโดยเช็ด
ด้วยน้ำต้มสุก ห้ามแคะ แกะ เกา
ข้อห้ามในการให้วัคซีน BCG
ผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลติดเชื้อที่ผิวหนัง
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
ผู้ป่วยที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Diptheria Tetanus Pertussive Vaccine : DTP)
วัคซีนที่ให้จะเป็น 2 แบบคือ DTwP และ DTaP ทั้ง 2 ชนิด เป็นวัคซีนรวม
จะให้ในช่วง
อายุ 2 เดือน, 4 เดือน และ 6 เดือน
ฉีดกระตุ้น (Booster immunization) อีก 2 เข็มคือ 11⁄2 ปี และ4-
6 ปี โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ปฏิกิริยาภายหลังฉีด
ปฏิกิริยาที่พบส่วนใหญ่จะมีไข้ แต่ บางคนอาจจะไม่มี
เด็กจะหงุดหงิดเจ็บระบมบริเวณที่ฉีด
งอแงอาการจะเกิดขึ้นภายหลังฉีดประมาณ 3-4 ชั่วโมงและจะหายไปในเวลา 2 วัน
หลังฉีดอาจมีปฏิกิริยาเฉพาะที่เกิดขึ้นได้
ปวด,บวม,แดง,ร้อนในตำแหน่งที่ฉีด
ข้อควรระวังในการให้วัคซีนชนิดนี้
ไม่ควรฉีดในเด็กที่มีประวัติชัก หรือโรคระบบประสาท
ไม่ฉีดให้กับเด็กระยะที่มีโปลิโอระบาด
ไม่ควรฉีดในเด็กป่วยหรือกำลังมีไข้
ห้ามให้ DTP ในเด็กอายุเกิน 6 ปีเพราะเด็กอาจมีอาการทางสมองจากวัคซีนไอกรนได้ให้ใช้ dT แทน
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (Poliomyelitis Vaccine)
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อไวรัสมีชีวิต ที่ทำให้มีฤทธิ์น้อยลง
มีทั้งชนิดกิน (Oral Poliomyclitis Vaccine :OPV)
ชนิดฉีด Inactivated Polio Vaccine ( IPV )
ระยะเวลาในการให้ จะให้ครั้งแรกเมื่ออายุ 2,4, 6 เดือน ตาม
ลำดับ กระตุ้น 11⁄2 ปี และ 4-6 ปี
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวัคซีน
โปลิโอชนิดกินเป็นเชื้อมีชีวิต
ในระหว่างที่ให้วัคซีน ไม่ต้องงดนมแม่
สามารถให้พร้อมกันกับวัคซีนอื่นได้
ไม่มีข้อห้ามจากองค์การอนามัยโลกส าหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม
วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม (Mump Measles Rubellar Vaccine)
เป็นวัคซีนเชื้อมีชีวิตให้ในเด็กครั้งแรกอายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6
การฉีด MMR สามารถให้ได้พร้อมกันกับวัคซีนอีสุกอีใส
ปฏิกิริยาที่พบหลังฉีด
คือ
ไข้ มีผื่นออกจางๆ หลังฉีดไปได้ 5-12 วัน
ในรายที่มีประวัติแพ้ไข่แบบ Anaphylaxis ต้องงดให้ vaccine ชนิดนี้ เพราะเป็นวัคซีนที่เตรียมจากการเลี้ยงเชื้อไวรัสในไข่ไก่
วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ เจอี(Japanese Encephalitis)
เป็นวัคซีนเชื้อเป็น (Live JE.vaccine) ฉีด 2 ครั้ง พร้อม MMR
ครั้งที่ 1 เมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน
ครั้งที่ 2 ตอนเด็กอายุ 2-2 1⁄2 ปี
วัคซีนโรต้า(Rota virus)
เป็นวัคซีนป้องกันการติดเชื้อทางเดินอาหารที่รุนแรงในเด็ก
โดยวัคซีนที่ให้ในปัจจุบันเป็นวัคซีนเชื้อเป็น ชนิดหยดทางปาก
โดยจะให้ทั้งหมด 3 ครั้ง
และครั้งที่ 2 และ3 เด็กต้องอายุไม่เกิน 32 สัปดาห์ ทั้งนี้เนื่องจากเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-12 เดือน
เป็นช่วงอายุที่มีโอกาสเกิดลำไส้กลืนกัน (intussusception) และการให้วัคซีนชนิดนี้ ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เกิดลำไส้กลืนกัน (intussusception) ได้มากขึ้น
ในช่วงอายุ 2 ,4, 6 เดือน มีข้อกำหนดว่า ครั้งแรกต้อง
ให้ในเด็กอายุไม่เกิน 15 สัปดาห์
วัคซีน HIB Haemophilus influenza type B
เป็นเชื้อแบคทีเรีย
ที่ติดต่อกันได้ง่าย
เกิดโรคหลายชนิดในเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี
โดยจะพบเชื้อที่บริเวณลำคอ
ปอดบวม กล่องสียงอักเสบ
ผิวหนังอักเสบ ข้ออักเสบ
ที่สำคัญคือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เมื่อเด็กรอดชีวิตหรือหายจากโรค
ผลข้างเคียงของวัคซีน
จะมีอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน
มีไข้สูง
มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง เด็กจะหงุดหงิดร้องกวนงอแง
วัคซีน HPV
เป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เมื่อฉีดในวัยที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์มาก่อน ฉีดได้ในช่วงอายุ 9-26 ปี แต่จะเน้นในช่วงอายุ 11-12 ปี
วัคซีนตัวนี้ยังสามารถป้องกันมะเร็งช่องคลอด และหูดอวัยวะเพศ ได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย
จะฉีดให้ในเด็กผู้หญิง ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 จ านวน 2 เข็ม HPV1 HPV2 โดยเข็ม 1 กับเข็ม 2 ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
การให้คำแนะนำในการให้ภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนเผื่อเลือก
วัคซีนทางเลือก (optional vaccine) เป็นวัคซีนที่ไม่อยู่ในตารางวัคซีนปกติของกระทรวงสาธารณสุข
วัคซีนอีสุกอีใส varicella vaccine
เป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อไวรัสมีชีวิตที่ชื่อว่า Varicella Zoster
Virus: VZV
โดยแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้จำนวน
2 เข็ม ตามเกณฑ์ที่กำหนด
วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนเชื้อเป็นจึงต้องระวังการให้ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำในผู้ใหญ่และเด็กอายุเกิน 12 ปี
ต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ เมื่อฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มพบว่าร้อยละ 99 ของผู้รับจะเกิดภูมิต้านทานต่อโรค
โดยเข็มแรกเมื่ออายุ 12-18 เดือน
ฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
วัคซีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นเดียวกับยารักษาโรค
อาการหลังฉีดเข็ม2 ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจพบได้มี
มีอาการปวด บวมแดง คัน หรือช้าบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ต่่ำ หรือเกิดผื่นขึ้น เล็กน้อยบางรายอาจมีผื่นขึ้นในช่วง 1 เดือนหลังจากการฉีดวัคซีน
เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและไม่เคยฉีดวัคซีนนี้มาก่อน ควรได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็ม เช่นเดียวกันซึ่งจะฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
การบริหารและการจัดเก็บวัคซีน
ทั่วไปจะเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาห้ามเก็บวัคซีนที่ฝาประตูตู้เย็น
ต้องใส่วัคซีนไว้ในกล่องพลาสติก เพื่อป้องกันการสูญเสียความเย็น
OPV เก็บในช่องแช่แข็ง (Freezer)
ส่วนวัคซีน MMR/MR, BCG และ JE ผงแห้ง เก็บอุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส
ห้าม เก็บในถาดรองใต้ช่องแช่แข็ง เพื่อป้องกัน กล่องวัคซีนเปียกน้ำหรือฉลากหลุดลอก
นางสาว ณัฐธกานต์ ศรีสวัสดิ์ รุ่น 36/1 เลขที่37 รหัสนักศึกษา612001038