Subdural hematoma at left parieto-occipital area with laceration wound at occiput 2 cm. with Rheumatic heart disease with Atrial fibrillation with Cardiomegary

ผู้ป่วย

Subdural hematoma

ความหมาย

คือเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองดูรา

สาเหตุ

โดยทั่วไปเกิดจาก countre-coup injury คือ ศีรษะ ถูกกระทบด้านหนึ่ง แต่สมองเคลื่อนไปกระทบกับกะโหลกอีกด้านหนึ่ง เกิดสมองช้ำ และมีการฉีกขาดของหลอดเลือดบริเวณผิวสมอง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ซึ่งมักสัมพันธ์กับอุบัติเหตุทางรถยนต์ การตกจากที่สูง และการถูกทําร้ายร่างกาย

ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชน มีแผลเปิดบริเวณหนังศีรษะ ศีรษะบวมโน

อาการ

ระยะเฉียบพลัน (Acute subdural hematoma) คือ อาการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักรุนแรง และทำให้เสียชีวิตได้ มักเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุรุนแรงที่ศีรษะ โดยอาการที่พบได้ คือ ปวดศีรษะรุนแรง แขนขาอ่อนแรง อาเจียน หมดสติ โคม่า

ระยะเรื้อรัง (Chronic subdural hematoma)
ผู้ป่วยมักไม่ทราบระยะเวลาเกิดอาการทีชัดเจน อาการต่างๆจะค่อยเป็นค่อยไป หรือผู้ป่วย/ครอบครัวไม่รู้เลยว่ามีอาการผิด ปกติเกิดขึ้น

ระยะรองเฉียบพลัน (subacute SDH) อาการเกิดขึ้นในช่วง3 วันแรกจนถึง 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการปวดศรีษะ มีระดับความรู้สึกตัวลดลง หรืออาการแขนขาอ่อนแรง

ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุถูกรถยน์ชน ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ศีรษะบวมโน มีแผลเปิด

ปัจจัยเสี่ยง

เพศชาย ผู้สูงอาย ติดสุราและมีประวัติได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง สมองขาดเลือด มีประวัติการใช้ยาละลายลิ่มเลือดทําให้ระดับอัตราระยะเวลาการแข็งตัวของเลือดบางส่วน (partial thromboplastin time : PTT ratio) > 2 หรืออัตราระยะ เวลาการแข็งตัวของเลือดปกติ (internaion normalized ration : INR) > 4 โรคเลือดออกผิดปกติชนิดhemophilia

ผู้ป่วยรายนี้ เพศหญิง อายุ 46 ปี มีโรคประจำตัวเป็น ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และเป็นโรคจิตเภท

พยาธิสภาพ

เป็นภาวะที่มีเลือดออกภายในกระโหลกศีรษะในชั้นที่อยู่ระหว่าง dura mater
กับ arachnoid layer ซึ่งในสภาวะปกติชั้นนี้มีลักษณะเป็น potential spaceโดยสาเหตุมักเกิดจากการฉีกขาดของ bridging vein ที่อยู่ใน subdural space หรืออาจเกิดจากการแตกของ cerebral contusion หรือ intracerebral hemorrhage ทะลุชั้น pia and arachnoid mater เข้าสู่ชั้น subdural space ก็ได้จากสาเหตุตามที่อธิบายมา การบาดเจ็บลักษณะนี้จึงมีผลต่อการบาดเจ็บของ brain parenchyma ร่วมด้วย

การบาดเจ็บที่มี subdural hematoma แบ่งออกเป็น 3 ระยะได้แก่ Acute phase ,
Subacute phase และ Chronic phase ซึ่งเมื่อทำ CT brain ในแต่ละระยะจะพบลักษณะเลือดที่ต่างกัน

การวินิจฉัย

การซักประวัติ

การบาดเจ็บเกิดขึ้นอย่างไร เกิดเหตุที่ไหน เกิดขึ้นเมื่อไร หลังจากบาดเจ็บมีอาการอย่างไร หมดสติทันทีหรือไม่หลังจากเกิดเหตุ หลังจากนั้นมีความรู้สึกตัวดีหรือแย่ลง โรคประจำตัว ประวัติการรักษา ประวัติการใช้สิ่งเสพติด ประวัติทางสุขภาพจิต

การรักษา

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล

การตรวจร่างกาย

Investigation

Pt : ถูกรถยนต์ชนขณะกำลังเดินข้ามถนน หลังจากโดนชนไม่สลบ จําเหตุการณ์ได้ มีแผลเปิดบริเวณหนังศีรษะ ศีรษะบวมโน มีโรคประจำตัวคือโรคความดันโลหิตสูง โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย รักษาที่ศูนย์ไตเทียม ฟอกไตทุกวันจันทร์ พฤหัส และเสาร์ ปฏิเสธการใช้สิ่งเสพติด และป่วยเป็นโรคจิตเภท

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจทางรังสี

Rheumatic heart disease

ความหมาย

โรคหัวใจพิการเกิดจากไข้รูมาติก

สาเหตุ

โรคนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนของคออักเสบหรือทอนซิลอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื้อว่า บีตาฮีโมไลติก สเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (beta-hemolytic Streptococcus group A)

อาการ

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจรูห์มาติคในระยะเริ่มต้นจะมีอาการไข้ ต่อมทอนซิลอักเสบ ต่อมาจะมีอาการปวดตามข้อ มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวผิดไปจากปกติ และจะเกิดการอักเสบที่เยื่อบุหัวใจ ทำให้หัวใจตีบหรือรั่วเป็นเหตุให้หัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันช่องระหว่างลิ้นหัวใจก็จะแคบลงด้วย ทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ หัวใจจึงต้องทำงานหนักและขยายโตขึ้น เพื่อสูบฉีดโลหิตให้ได้มาก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย นอกจากนั้นจะทำให้มีเลือดคั่งในที่ต่าง ๆ เช่น ภายในปอดและนอกปอด เป็นต้น ซึ่งถ้าหากมีเลือดคั่งภายในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อย หอบ อ่อนเพลียง่าย บริเวณเล็บและริมฝีปากเขียวคล้ำ หากหัวใจวายทางด้านขวาจะทำให้มีเลือดคั่งนอกปอด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการบวมที่ลำตัว ขาและเท้า

พยาธิสภาพ

โรคหัวใจรูห์มาติด (Rheumatic heart disease) เกิดจากการติดเชื้อและทําให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหัวใจ (endocarditis) บริเวณ ลิ้น ไมตรัล เอออร์ติด ไตรคัสปิดและพูล โมนารีย์ ตามลําดับ โดยระยะแรกจะมีการบวมของลิ้นหัวใจ มี ตุ่มเนื้อเล็ก ๆ คล้ายหูดชสีชมพูอ่อน เรียงรายอยู่ในแนวปิดของหัวใจและที่เอ็นยึดลิ้นหัวใจ (chordae tendinese) ซึ่งกั้นระหว่างห้องบนและห้องล่าง อาจทําให้แผ่น (leaflet) ของลิ้นหัวใจติดกัน ถ้ามีการ อักเสบเกิดขึ้นบ่อย ๆจะมีเนื้อพังผืดเกิดขึ้นและกลายเป็นแผลเป็น ลิ้นหัวใจและเอ็นยึดหนาขึ้น เคลื่อนไหวลําบาก มีหินปูนจับเป็นผลให้รูเปิดของลิ้นหัวใจแคบ ขัดขวางการไหลของโลหิต หรือ อาจทําให้ลิ้นหัวใจรั่ว (insufficiency ciency or regurgitation) คือ ลิ้นหัวใจไม่สามารถปิดกั้นการ ไหลย้อนกลับของโลหิตได้ หรืออาจเกิดทั้งสองอย่างร่วมกันคือ การมีลิ้นหัวใจที่ตีบและรั่วเกิดขึ้น พร้อมกัน ความผิดปกติมักเกิดที่ลิ้น mitral และ aortic มากกว่าลิ้นอื่น ๆ เพราะความดันที่เกิดขึ้น ขณะลิ้นหัวใจทั้งสองปีตมากกว่าลิ้นอื่น จึงเกิดอันตรายได้มากกว่า ความดันที่เกิดขณะลิ้นหัวใจปิด คือ mitral 100 mmHg, Aortic เท่ากับ 70 mmHg, tricuspic 25 mmHg, pulmonary 10 mmHg.) ปกติรูเปิดลิ้น mitral จะมีพื้นที่ประมาณ 4-6 ตารางเซนติเมตร เมื่อมีอาการตีบแคบลง (Imitral stenosis) น้อยกว่า 2.5 ตารางเซนติเมตร จะทําให้โลหิตที่ไหลเข้าหัวใจห้องล่างข้ายไหลไม่สะดวก ความดันในหัวใจห้องบนซ้ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จึงไม่มีอาการให้เห็น แต่อาจมีอาการทางระบบหายใจ ขณะออกกําลังกาย เครียด หรือตั้งครรภ์ และถ้าอาการตีบแคบมีมากขึ้น คือรูเปิดแคบลงเหลือ 1.5 ตารางเซนติเมตร จะทําให้ปริมาณโลหิตที่หัวใจส่งออกต่อนาทีลดลงและมีอาการแสดงในขณะที่มี กิจกรรมนพียงปานกลาง ถ้ารูปิดแคบน้อยกว่า 1 ตารางเซนติเมตร ความดันในห้องบนซ้ายจะ เพิ่มขึ้นมาก อาจสูงถึง 20 -30 mmHg, ขณะพักหรือทํากิจกรรมเล็กน้อย แต่ความดันปกติของหลอด โลหิตฝอยภายในปอดมีเพียง 30 mmHg จึงทําให้ความดันในหลอดโลหิตฝอยของปอดสูงเกินความ กันน้ําผ่านเยื่อบุถุงลมเข้าไปยังปอด และถ้าน้ําที่รั่วออกไปไม่สามารถขจัดได้ไอยระบบน้ําเหลือง ก็ จะทําให้เกิดภาวะปอดบวมน้ํา (pulmonary edema) ได้ การที่ความดันในหัวใจห้องบนซ้ายเพิ่มขึ้น ปริมาตรห้องหัวใจจะขยายขึ้นและผนังบางลง การชดเชยโดยการทํางานของกล้ามเนื้อหัวใจเสียไป จังหวะของหัวใจเปลี่ยน เกิดจังหวะที่ผิดปกติหรือมีการเต้นรัวของหัวใจห้องบน (Atrial fibrillation) ซึ่งพบร่วมกับการตีบของลิ้นไมตรัล ได้ร้อยละ 40-50 และทําให้หัวใจห้องบนซ้ายไม่บีบตัว ปริมาตรของโลหิตเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวาลดลง ปริมาตร โลหิตที่หัวใจส่งออกต่อนาที่ลดลง (ปกติ ในการบีบตัวแต่ละครั้งของหัวใจจะฉีดโลหิตออกมา 70 ซีซี ในหนึ่งนาที่จะออกมาประมาณ 4,900 ซีซี หรือ 5 ลิตร ต่อการเต้นของหัวใจ 70 ครั้ง/นาที) เมื่อโลหิดผ่านลิ้นไมตรัลซึ่งตีบได้ยากทําให้ โลหิตจับตัวเป็นก้อน (thrombosis) ที่ผนังหัวใจห้องบนโดยเฉพาะที่ส่วนท้ายของห้องบนซ้าย (left atrial appendage) เมื่อก้อนโลหิตใตขึ้นก็จะอุดตันที่รูเปิดหรือหยุดเข้าไปในกระแสโลหิต (emboli) ไปอุดตันอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง อวัยวะในช่องท้อง ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลําบาก เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่น อาจมีอาการหอบ นอนราบไม่ได้

วินิจฉัย

การตรวจทางระบบประสาท

Glasgow coma scale (GCS)

กำลังของกล้ามเนื้อแขน ขา (Motor power)มี 6 ระดับ

การลืมตา ( E= Eye Opening)

ลืมตาเมื่อเรียก 3 คะแนน

ลืมตาเมื่อเจ็บ 2 คะแนน

ไม่ลืมตาเลยเมื่อกระตุ้น 1 คะแนน

ลืมตาได้เอง 4 คะแนน

การตอบสนองต่อการเรียกหรือการพูด (V= Verbal)

พูดคุยได้ ไม่สับสน 5 คะแนน

พูดคุยได้ แต่สับสน 4 คะแนน

พูดเป็นคำ ๆ 3 คะแนน

ส่งเสียงไม่เป็นคำพูด 2 คะแนน

ไม่ออกเสียงเลย 1 คะแนน

การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด (M= Movement)

ชักแขนขาหนีเมื่อเจ็บ 4 คะแนน

เกร็ง แขนงอเข้า ขาเหยียด เมื่อเจ็บ 3 คะแนน

ทราบตำแหน่งที่เจ็บ 5 คะแนน

เกร็ง แขนเหยียด ขาเหยียด เมื่อเจ็บ 2 คะแนน

เคลื่อนไหวได้ตามคำสั่ง 6 คะแนน

ยกแขน หรือขาได้ แต่ต้านแรงไม่ได้ Grade 3

ยกแขน หรือขาได้ แต่ต้านแรงได้เล็กน้อย Grade 4

ยกแขน หรือขาได้ ต้านแรงได้ กำลังปกติ Grade 5

ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย Grade 0

กระดิกนิ้วได้ Grade 1

ไม่เคลื่อนไหวเลย 1 คะแนน

ขนาตรูม่านตาและปฏิกิริยาต่อแสงไฟฉาย

No reaction to light หรืออาจใช้ F= Fixed

Reaction to light slowly

Reaction to light normal

Close กรณี ถ้าหนังตาปิด

การคลำ

การดู

คลำบริเวณศีรษะว่ามีกระโหลกยุบ กระดูกยุบหรือไม่

สังเกตศีรษะบริเวณที่บาดเจ็บ บาดแผล ลักษณะ

เสี่ยงต่อภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (Increase intracranial pressure) เนื่องจากมีพยาธิสภาพที่สมอง

แนวทางการรักษาแบ่งเป็น 2 ชนิด

FBS, Coagulogram PT, Inr, BUN, Cr, Electrolytes

CT-brain

MRI

เพื่อหาขนาด รูปร่าง และการบาดเจ็บเสียหายของภาวะเลือดออกของอวัยวะภายในเยื่อหุ้มสมอง

การตรวจร่างกายโดยเครื่องตรวจที่ใช้คลื่นสนามแม่เหล็กความเข้มสูงและคลื่นความถี่ในย่านความถี่วิทยุ ในการสร้างภาพเหมือนจริงของอวัยวะภายในต่างๆของร่างกาย

Acute phase มีลักษณะเลือดแบบ Clotted blood

Subacute phase มีลักษณะเลือดแบบ Clotted and fluid blood

Chronic phase ลักษณะเลือดแบบ Fluid blood

1587123323246

1587144541486

Pt : BUN 37 mg/dl

Pt : Cr 7.9 mg/dl

Pt : Na 141 mEq/L, K 3.6 mEq/L, Cl 100 mEq/L, CO2 26 mEq/L

Pt : pupil 3 mm RTLBE

Pt : motor power grade5

Pt : Eye Opening 3-4

Pt : Eye Opening 3-4

Pt : Verbal 5

Pt : Movement 6

  1. ชนิดที่ไม่ต้องได้รับการผ่าตัด
  1. ลักษณะของผู้ป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัด

การรักษาแบบประคับประคอง

แบ่งออกเป็น 3 ชนิด

  1. Burr hole เป็นการผ่าตัดโดย เจาะกะโหลกศีรษะด้วยสว่านชนิดพิเศษเพื่อระบายเลือดหรือของเสียจากใต้ชั้น dura หรือเพื่อที่จะทํา ventriculostomy, craniotomyหรือ craniectomy ต่อไป
  1. Craniotomy เป็นการทําผ่าตัดโดยใช้สว่านพิเศษเอา bone flap ออกเพื่อเปิด duraเอาก้อนเลือดออก
    เสร็จแล้วเย็บ bone flap และ skin flap ไว้เหมือนเดิม
  1. Craniectomy เป็นการทําผ่าตัดโดยใช้สว่านพิเศษเอา bone flap ออกเพื่อเปิด duraเอาก้อนเลือดออกเมื่อเสร็จแล้วเย็บ skin flap ไว้โดยตัดกะโหลกศีรษะบางส่วนออกไม่เย็บปิด

ยา

ให้ยาควบคุมอาการชัก

ยาขับปัสสาวะ

ให้ยาเพื่อควบคุมความดันเลือด

ยาสเตียรอยด์

sedative และ muscle relaxant

Pt : มีแผลเปิดที่ศีรษะบริเวณท้ายทอย ขนาด 2 เซนติเมตร

Pt : มีศีรษะบวม โน

cariomegaly

Atrial fibrillation

Pt : ได้รับยา Depakin 1 amp vein q 8 hr

Mitral stenosis (MS) : มักจะคลำได้ right ventricular heave เสียง S1 ดัง และเสียง P2 ดังด้วย apical diastolic rumble มักจะได้ยินด้วยเสมอ บางรายจะได้ยิน opening snap ซึ่งเกิดตามหลัง S2 ได้ยินบริเวณระหว่าง apex และ left sternal border เสียง rumbling diastolic murmur มักจะมีเสียงต่ำ ผู้ป่วยเหล่านี้มักมีอาการเหนื่อยง่ายและผอมลง

Aortic regurgitation (AR) : ในรายที่ไม่รุนแรงจะได้ยิน diastolic murmur อย่างเดียว ในรายเป็นมากจะคลำได้ bounding peripheral pulse, pulse pressure กว้าง อาจเห็น suprasternal notch pulsation ร่วมด้วย เด็กที่เป็น AR รุนแรงปานกลางมักคลำได้ left ventricular heave และได้ยิน diastolic blowing murmur ตามหลัง S2 ฟังได้ชัดที่ left sternal border โดยให้ผู้ป่วยนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า บางรายอาจจะ ได้ยิน ejection systolic murmur ที่ aortic area ด้วย เกิดจากrelative aortic stenosis.

Mitral regurgitation (MR) : mild mitral regurgitation พบบ่อยในการเป็นไข้รูห์มาติคครั้งแรก ในรายที่เป็นไม่รุนแรง ขนาดหัวใจปรกติอาจจะได้ยินแต่เพียง apical pansystolic murmur แต่ในรายที่เป็นมาก อาจจะคลำได้ว่า หัวใจโต มี left ventricular heave หรือ apical thrill และ pansystolic murmur ที่คั่งมากบริเวณ apex จะได้ยินชัดเจนเริ่มจากเสียง S1 และมักจะดังไปที่รักแร้ และสะบักข้างซ้าย S3 มักจะได้ยินในเด็กที่มี MR อย่างรุนแรงซึ่งมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วม ด้ว

ประเมินอาการและการแสดง ได้แก่ หอบ เหนื่อย ไม่มีแรง บวม น้ำหนักลดผอมลง

การักษา

ดูแลให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเช้ือbeta-hemolytic streptococcus group A

Pt : ได้รับยา Cefazolin 1 gm vein q 6 hr

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล

มีภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน เนื่องจากปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจใน 1 นาที่ลดลง และประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอดลดลง

ความทนต่อการออกแรงลดลงเนื่องจากมีภาวะการสูบฉีดโลหิตออกจากหัวใจลดลงเนื่องจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ความหมาย

ภาวะเลือดออกใต้เยือหุ้มสมองบริเวณกลีบสมองซีกซ้ายร่วมกับมีแผลเปดทีท้ายทอย2เซน ติเมตรร่วมกับโรคหัวใจรูมาติคร่วมกับภาวะหัวใจเต้นผิดปกติร่วมกับหัวใจโต

วินิจฉัย

การซักประวัติ

ผู้ปวยเพศหญิง อายุ 46 ปี ศาสนาพุทธ สถานภาพโสด

CC : มาด้วยอาการศีรษะบวมโน มีแผลเปิดบริเวณหนังศีรษะ 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล

PI : 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล ขณะผู้ป่วยเดินข้ามถนน เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชน ขณะโดนชนผู้ป่วยไม่สลบ จำเหตุการณ์ได้ ผู้ป่วยมีแผลเปิดบริเวณหนังศีรษะ ศีรษะบวมโน ญาติจึงนาส่งโรงพยาบาล

PH :

HT

Schizophrenia

ESRD ฟอกไตทุกวันจันทร์ พฤหัส เสาร์ ที่ศูนย์ไตเทียม

การตรวจร่างกาย

สภาพ

หญิงวัยกลางคน อ่อนเพลีย ผิวคลา ผิวแห้ง มีแผลบริเวณศีรษะมีเลือดเก่าๆเปอนผม

E3-4V5M6 pupil 3 mm RTLBE motor power grade5 มีบวมกดบุ๋มบริเวณหน้าแข้งเล็กน้อย

Investigation

BUN

Cr

CBC

Electrolytes

WBC 5.2 10^3/uL

RBC 3.32 10ู^6/uL Low

HGB 10.7 g/dL Low

Hct 31.1 % Low

MCV 93.7 fL

MCH 32.2 pg High

MCHC 34.4 g/dL

PLT 216 10^3/uL

RDW 13.6 %

MPV 9.7 fL

Neu 76.5 % High

Lymp 12.9 % Low

Mono 7.7 %

Eosi 2.1 %

Baso 0.8 %

Ca 9.6 mg/dl

Phosphorus 3.3 mg/dl

BUN 37 mg/dl High

Uric acid

Uric acid 5.1 mg/dl

Albumin

Albumin 4.8 g/dl

Na 141 mEq/L

K 3.6 mEq/L

Cl 100 mEq/L

CO2 26 mEq/L

Cr 7.9 mg/dl High

CT-brain

SDH at Lt parietoocipital area

SDH at Lt parietoocipital area

การรักษา

Dressing wound OD

ยา

Record V/S

NSS 1000 ml vein 40 ml/hr

NPO

Losec 40 mg vein OD

Depakin 1 amp vein q 8 hr

Cefazolin 1 gm vein q 6 hr

Pt : อ่อนเพลีย มีบวมกดบุ๋มบริเวณหน้าแข้งเล็กน้อย

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

พยาธิสภาพ

ภาวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ

วินิจฉัย

การักษา

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล

  1. ปัญหาการทำงานของต่อมไทรอยด์ เช่น ไฮเปอร์ไทรอยด์หรือไทรอยด์เป็นพิษ และไฮโปไทรอยด์หรือไทรอยด์ต่ำ
  1. โรคเบาหวาน
  1. ความดันโลหิตสูง
  1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  1. ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ลิ้นหัวใจรั่ว ผนังหัวใจหนาผิดปกติ หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย แผลเป็นที่เนื้อเยื่อหัวใจจากหัวใจวายในอดีต รวมถึงการผ่าตัดหัวใจ
  1. Electrolyte Imbalance
  1. การสูบบุหรี่ การใช้สารเสพติด และการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน

ความผิดปกติที่มีจุดกำเนิดไฟฟ้าที่ไม่ใช่ SA node ในหัวใจห้องบนหลายตำแหน่งที่ช่วยกันเป็นจุดทำเนิดไฟฟ้าแทน SA node ซึ่งมีผลกระตุ้นหัวใจห้องบนให้เต้นตัวยอัตราที่เร็วมาก ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผนังหัวใจห้องบนเคลื่อนไหวแบบสั่นพลิ้ว อันมีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่เกิดขึ้นไม่สามารถผ่านไปยังหัวใจห้องล่างได้หมด ทำให้หัวใจห้องล่างตอบสนองต่อหัวใจห้องบนได้ไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังทำให้มีอัตราการเต้นของหัวใจไม่คงที่ ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายถึงแก่ชีวิต

กลไกการเกิด Atrial Fibrillation มี 3 รูปแบบ

  1. มีวงจรไฟฟ้าหมุนวนหลายตำแหน่ง (multiple reentrant circuits) จากพยาธิสภาพต่างๆ ที่ทำให้พังผืดเพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าของเซลล์ หัวใจ (structural and electrical remodeling) ซึ่งนำไปสู่การนำไฟฟ้าที่ผิดปกติ เกิดเป็นวงจรหมุนวนขึ้น แต่ไม่สามารถ depolarize หัวใจห้องบนได้ทั้งหมด จึงไม่เกิดการบีบตัวของหัวใจห้องบน (loss of atrial kick) แต่จะเป็นการสั่นพลิ้วของหัวใจห้องบน
  1. ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีกลไกการเกิดทั้ง สองแบบร่วมกัน
  1. มีจุดกำเนิดไฟฟ้าผิดปกติ (focal activation) ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายใน หัวใจ เช่น ความดันในห้องหัวใจที่เพิ่มขึ้น หรือปัจจัยจาก
    ภายนอก เช่น thyroid hormone, catecholamine เป็นต้น พบว่า ตำแหน่งของจุดกำเนิดไฟฟ้าที่ผิด ปกติมักอยู่ที่ pulmonary veins
  1. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจผ่านทรวงอก (transthoracic echocardiography) การตรวจดังกล่าวจะช่วยในการค้นหาความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ขนาดของห้องหัวใจ การทำงานของหัวใจห้องล่าง และความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ
  1. การเอ็กซเรย์ปอด (chest X-ray) เพื่อประเมินขนาดของหัวใจและความผิดปกติของปอด
  1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) การวินิจฉัย AF จำเป็นต้องอาศัย ECG เป็นหลัก
  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจที่สำคัญ ได้แก่ Complete Blood Count (CBC) และ Thyroid Function Test (TFT) ความผิดปกติของการตรวจนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิด AF เช่น การติดเชื้อ และภาวะ Hyperthyroidism เป็นต้น
  1. การซักประวัติ ผู้ป่วยอาจมีอาการที่แตกต่างกัน เช่น ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เป็นต้น การซักประวัติควรถามถึงความถี่ ระยะเวลาที่เป็น และสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการ นอกจากนี้ประเด็นที่ควรซักประวัติเพิ่มเติม คือ โรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น เพราะโรคประจำตัวดังกล่าวเป็นปัจจัยเสี่ยงของ AF ได้

จากการตรวจ ECG 12 Leads จะพบว่า

  1. ความถี่ของ P wave (Atrial rate) อยู่ในช่วง 350-600 ครั้ง/นาที
  1. ส่วนใหญ่ RR interval จะไม่สม่ำเสมอ
  1. P wave หายไป มี Fibrillation (F) wave ลักษณะเป็นเส้นหยักไปมา ไม่สม่ำเสมอ เห็นชัดใน Lead II, III, aVF และ V2 แต่รูปร่างของ QRS complex ปกติ
  1. การควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ (rate control) ผู้ป่วยที่เป็น AF แต่ไม่ปรากฏอาการ และไม่พบอาการของภาวะหัวใจวาย กำหนดชีพจรขณะพักให้น้อยกว่า 110 ครั้ง/นาที กลุ่มยาที่ใช้ส่วนใหญ่คือ Beta-Blocker เช่น Propranolol และ Calcium Channel Blocker เช่น Verapamil และ Diltiazem และยาอื่นๆ เช่น Digoxin และ Cordarone
  1. การควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ (rhythm control) การเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าจาก AF เป็น Normal Sinus Rhythm (NSR) จะช่วยลดอาการแสดงของ AF ได้ การควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ประกอบด้วยการใช้ยากลุ่ม Antiarrhythmics เช่น Cordarone การช็อคไฟฟ้า (synchronized cardioversion) การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) การจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (radiofrequency Ablation)
  1. การดูแลเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง (stroke prevention) โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะแทรกซ้อนของ AF ที่อันตราย ซึ่งแพทย์มักจะป้องกันด้วยการให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) เช่น Warfarin เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันอวัยวะต่างๆ

ความทนต่อการออกแรงลดลงเนื่องจากมีภาวะการสูบฉีดโลหิตออกจากหัวใจลดลงเนื่องจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

อ่อนเพลีย ใจสั่น หายใจ ลำบาก ความดันโลหิตต่ำ และหมดสติ และส่วนน้อยผู้ป่วยจะมาด้วยอาการของระบบไหลเวียนโลหิตที่รุนแรง เช่น ภาวะหัวใจวาย (heart failure) และโรคหลอดเลือดสมอง (Embolic Stroke

Pt : อ่อนเพลีย มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง

Pt : CBC

WBC 5.2 10^3/uL

RBC 3.32 10ู^6/uL

HGB 10.7 g/dL

Hct 31.1 %

MCV 93.7 fL

MCH 32.2 pg

MCHC 34.4 g/dL

PLT 216 10^3/uL

MPV 9.7 fL

RDW 13.6 %

Neu 76.5 %

Lymp 12.9 %

Mono 7.7 %

Eosi 2.1 %

Baso 0.8 %

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

พยาธิสภาพ

การวินิจฉัย

การรักษา

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล

เป็นภาวะที่หัวใจมีขนาดใหญ่กว่าปกติ

หัวใจโตจากกล้ามเนื้อที่หนาตัวกว่าปกติ เช่น ความดันโลหิตสูง หรือลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวไม่ดี ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ (Thyroid Disorders) ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis)

หายใจเหนื่อยหอบ รู้สึกอ่อนเพลีย น้ำหนักเพิ่ม ขาบวม ใจสั่น หรือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ

ขนาดหัวใจที่โตกว่าปกตินั้นอาจแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ หัวใจโตจากกล้ามเนื้อที่หนาตัวกว่าปกติ เช่น ความดันโลหิตสูง หรือลิ้นหัวใจตีบ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นได้ อีกประการหนึ่ง คือ ขนาดของหัวใจโตขึ้น เพราะกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวไม่ดี มีเลือดคั่งค้างในห้องหัวใจมาก ทำให้ขนาดของหัวใจโตขึ้น

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) การตรวจโดยติดขั้วไฟฟ้าเข้ากับผิวหนังเพื่อบันทึกการทำงานของคลื่นไฟฟ้าในหัวใจ

เอคโคคาร์ดิโอแกรม (Echocardiogram) การวินิจฉัยด้วยคลื่นความถี่สูง ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่นำมาวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายภาวะหัวใจโต แพทย์จะสามารถตรวจดูขนาด ความหนาของกล้ามเนื้อหัวใจ รวมถึงตรวจการทำงานว่าผิดปกติหรือไม่ โดยไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดหรือมีผลข้างเคียงใด ๆ ตามมา

การตรวจเอกซเรย์บริเวณหน้าอก ถ่ายภาพหัวใจเพื่อดูว่าหัวใจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ

ซักประวัติและสอบถามอาการของผู้ป่วย เพื่อดูว่ามีอาการหายใจเหนื่อยหอบหรืออาการของภาวะหัวใจล้มเหลวที่บ่งบอกถึงภาวะหัวใจโตหรือไม่

การใช้กระบวนการทางการแพทย์หรือการผ่าตัด

การใช้ยารักษา

การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม

ควบคุมน้ำหนัก

งดสูบบุุหรี่

ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินปกติ

หมั่นออกกำลังกายอย่างพอดีโดยปรึกษาแพทย์ถึงกิจกรรมที่เหมาะสม

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็ม อาหารหวาน หรืออาหารที่มีไขมันสูง และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนทั้งหลาย

พักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 8 ชั่วโมง

ยาเบต้า บล็อกเกอร์

ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ยาต้านการเต้นหัวใจผิดจังหวะ

ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ

CABG-Coronary Artery Bypass Grafting

ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ทำให้หัวใจเต้นปกติ

ผ่าตัดลิ้นหัวใจ

ใช้เครื่องช่วยการไหลเวียนของเลือดในหัวใจห้องล่างซ้าย

เสี่ยงต่อแบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากหลอดลมหรือปอดถูกกดทับจากกล้ามนื้อหัวใจโต

Pt : เป็นโรคความดันโลหิตสูง

Pt : มีอาการอ่อนเพลีย

V/S : T = 36.5 องศาเซลเซียส, P = 80/min, RR = 20/min, BP = 130/70 mmHg, SpO2 = 90%