Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหาร - Coggle Diagram
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหาร
ทฤษฎีการบริหารแบบนีโอคลาสสิกหรือดั้งเดิม (Classical Theory)
เน้นการบริหารที่ตัวงานบริหารอย่างมีระเบียบแบบแผน
1.ทฤษฎีการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)
ใช้วิธีตั้งปัญหาและหาแนวทางเพื่อไปสู่จุดหมายที่ต้องการ
เฟรดเดอริควินสโลว์เทเลอร์ (Frederick winslowtaylor) เป็นบิดาแห่งการบริหารงานเชิงวิทยาศาสตร์เสนอหลักที่สำคัญไว้
1 กำหนดวิธีการทำงานทดแทนการทำแบบลองผิดลองถูก
2 มีการวางแผนแทนที่จะให้คนงานเลือกวิธีการเอง
3 คัดเลือกคนงานที่มีความสามารถและฝึกอบรมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆร่วมกัน
4 ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างผู้บริหารและคนงาน " การกำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด"
เฮนรี่ แก๊นต์ (Henry L Gantt)
นำเอาเทคนิคการจัดตารางสำหรับการควบคุมการปฏิบัติงานมาใช้ลักษณะของตารางเส้นตรงที่กำหนดเวลาในอนาคตไว้ในแนวนอนและงานที่ปฏิบัติไว้ในแนวตั้ง
แฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ (Frank Bunker Gillbreth)
ได้สรุปว่าการทำงานด้วยการแบ่งงานออกตามความชำนาญเฉพาะด้านและแบ่งงานเป็นส่วนๆ จะทำได้ดียิ่งขึ้น ทำงานต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งจะทำให้เกิดงานแบบ Routine
ลิเลียน กิลเบรธ (LilianGillbreth)
ศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยาซึ่งเป็นศาสตร์ที่จะช่วยส่งเสริมงานด้าน Motion study ให้ดียิ่งขึ้น
2.ทฤษฎีการจัดการเชิงบริหาร (administrative management)
ใช้วิธีบริหารตัวองค์การให้มีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการให้ผู้้บริหารเป็นผู้ประสานกระบวนการต่างๆ ภายในองค์การเข้าด้วยกัน
เฮ็นรี่ ฟาโยล (Henry Fayol)
ผู้บริหารจะประสบผลสําเร็จได้ หากเข้าใจหน้าที่พื้นฐานและหลักการ บริหารดีพอ
1) การวางแผน (planning) ผู้บริหารจะต้องคาดการณ์ล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์ที่จะกระทบต่อองค์การ
2) การจัดองค์การ (organizing) ผู้บริหารจะต้องกําหนดอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม
3) การบังคับบัญชาและสั่งการ (commanding) ผู้บริหารจะต้องมีหน้าที่สั่งการ โดยจะต้องมีความเข้าใจคน
4) การประสานงาน (coordinating) ผู้บริหารทําหน้าที่ประสานหรือเชื่อมโยงงานต่างๆ ให้เข้ากันได้
5) การควบคุม (controlling) หน้าที่ในการติดตามผล ดูแล กํากับให้การดําเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้
หลักการบริหาร
หลักความมั่งคงในการทํางาน
หลักความเสมอภาค
หลักความเป็นระเบียบแบบแผน
หลักการมีสายบังคับบัญชา
หลักการรวมศูนย์อํานาจ
หลักความยุติธรรมต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
หลักผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นรองผลประโยชน์ขององค์การเป็นหลัก
หลักความเป็นเอกภาพในทิศทาง
หลักความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา
หลักการเกี่ยวกับมีระเบียบวินัย
หลักการเกี่ยวกับอํานาจหน้าที่ในการบังคับบัญชาควบคู่กับความรับผิดชอบ
หลักการแบ่งงานกันทํา
หลักความริเริ่มสร้างสรรค์
หลักความสามัคคีหรือความเป็นน้ำใจเดียวกัน
ลูเทอร์ กูลิคและลินดอลล์เออร์วิค (Luther Gulick and LyndallUrwick)
ได้เพิ่มกระบวนการ บริหารที่ Fayol ให้ไว้ 5 ประการ เป็น 7 ประการ
มารีนเนอร์ กระบวนการบริหารการ พยาบาลไว้ 5 ขั้นตอนคือ การวางแผน การจัดองค์การ การจัดบุคลากรการอํานวยการและการควบคุม
อาน และอัคคาเบย์ การบริหารการพยาบาลไว้ 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การจัดองค์การ การอํานวยการ และการควบคุม
3.ทฤษฎีระบบราชการ (bureaucracy)
แมกซ์ วีเบอร์ (Max Weber)
เน้นการมีเหตุผลเป็นสําคัญ
มีการแบ่งงานกันทํา
มีการจัดระบบตําแหน่งหน้าที่ตามสายบังคับบัญชาระดับสูงมายังระดับต่ํำ่
มีการกําหนดระเบียบข้อบังคับ กฎเกณฑ์ต่างๆ
บุคลากรต่างทําหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ
การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ
มีความก้าวหน้าในตําแหน่งหน้าที่
มีอํานาจหน้าที่
ทฤษฎีการบริหารยุคนีโอคลาสิก(NEO–Classical Theory)
เน้นลักษณะและผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนในองค์การ โดยใช้พฤติกรรมศาสตร์
1.เอลตัน เมโย (Elton Mayo)
ผู้วางรากฐานทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ วิธีจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถทำได้โดยต้องทุ่มเทความสนใจปัญหาและความต้องการของมนุษย์ในการทำงาน ผู้บริหารทุกคนจึงต้องสนใจความรู้สึกของผู้ทำงานด้วยงานจึงจะสำเร็จ
2.แมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor)
สร้างทฤษฎีเอ็กซ์และวาย (X and Y theory) ที่ชี้ให้เห็นว่าคนเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง โดยทฤษฎีเอ็กซ์ถือว่าคนทุกคนเกียจคร้าน เป็นคนไม่ดี ต้องใช้วิธีบังคับข่มขู่และควบคุมให้ทำงานตลอดเวลา "ได้งานแต่ไม่ได้ใจคน" ทฤษฎีวายมองว่าทุกคนเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องใช้วิธีบังคับข่มขู่และควบคุมให้ทำงาน "ได้ใจคนแต่ไม่ได้งาน" ผู้บริหารการพยาบาลต้องใช้ดุลยพินิจพิจารณาการบริหารให้เหมาะสมกับผู้ตามแต่ละสถานการณ์จะเกิดผลดีที่สุด
3.วิลเลี่ยม กูซี่ (William G. Quchi)
ให้แนวคิดว่าการบริหารจะได้ผลดีกว่าถ้าให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของบุคคลากรในการตัดสินใจบริหาร นั่นคือ ให้ความสำคัญกับกลุ่มไม่ใช่บุคคล
แนวคิดของทฤษฎีแซดเชื่อว่า ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่ม่งแสวงหาความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกัน ผู้ปฏิบัติงานจะขาดความคุ้นเคยกัน ผู้ปฏิบัติงานต่างมีจิตสำนึกที่ดี ผู้ปฏิบัติงานสามารถไว้วางใจได้ ผู้บริหารการพยาบาลที่มีความเชื่อในทฤษฎีนี้ มีแนวโน้มจะยินยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมคิดพิจารณาและตัดสินใจในการบริหาร เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นร่วมกันแก้ปัญหา เป็นที่หวังว่าความร่วมมือในการปฏิบัติงานจะอยู่ในระดับสูงขึ้น ได้ทั้งงานและได้ทั้งใจคนไปพร้อมกัน
4.เชสเตอร์ บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard. 1938)
เป็นนักคิดคนสําคัญของทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์” (Behavioral Science) มีแนวคิดเกี่ยวกับองค์การไว้ว่า องค์การเป็นระบบของการร่วมแรงร่วมใจ เพื่อจะทํากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สําเร็จด้วยความร่วมแรงร่วมใจทําให้เกิดวัตถุประสงค์อันเดียวกันในระหว่างองค์การและสมาชิกเป็นการจูงใจทางจิตใจมากกว่าการจูงใจทางด้านวัตถุ
6.เฟรเดริค เฮิร์ซเบิร์ก (Frederick Herzberg) ให้ความสําคัญกับความต้องการของมนุษย์ แบ่งปัจจัยออกเป็น 2 ปัจจัยได้แก่ 1.ปัจจัยจูงใจ คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนทํางานอย่างมีความสุข ถือว่าเป็น “ปัจจัยภายใน” (Intrinsic) และ 2.ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factors) คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความพอใจในการทํางาน ถือว่าเป็น “ปัจจัยภายนอก” (Extrinsic) ปัจจุบันผู้บริหารนํามาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจและขวัญกําลังใจให้แก่ ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา
5.อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) ปี ค.ศ. 1985 เป็นนักจิตวิทยาที่ค้นเรื่องลําดับขั้นของความต้องการของมนุษย์ มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาและไม่สิ้นสุดเป็นไปตามลําดับขั้นจากต่ำ ไปหาสูง
ความต้องการทางด้านร่างกาย: อาหาร น้ำ ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย
ความต้องการทางด้านความปลอดภัย: ปราศจากอุบัติเหตุ มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน และฐานะการเงิน
ความต้องการทางด้านสังคม: เป็นที่รัก และเป็นที่ยอมรับ เป็นสมาชิกของกลุ่ม มีครอบครัว
ความต้องการทางด้านการยกย่อง: ยกย่อง และเห็นคุณค่า มอบความรับผิดชอบ
ความต้องการทางด้านความสมหวังในชีวิต: อำนาจ วาสนา ความสมหวัง
ทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ (Modern theory)
การบริหารงานจะประสบผลสําเร็จ ถ้าคนในหน่วยงานร่วมมือร่วมใจ สามัคคีกัน มุ่งไปสู่วัตถุประสงค์เดียวกันเรียกว่า การทํางานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม ซึ่งงานต้องมีการทำอย่างอย่างเป็นระบบ
1.ทฤษฎีระบบ (System theory)
แนวคิดเรื่องระบบทั่วไป Bertalanffy บิดาแห่งทฤษฎีระบบทั่วไป (General systems Theory) องค์ประกอบของทฤษฎีระบบ (System theory
ปัจจัยนําเข้า (Inputs)
กระบวนการแปรสภาพ(Transformation Process)
ผลผลิต (Outputs)
ข้อมูลย้อนกลับ(Feed Back)
สิ่งแวดล้อม
ระบบปิด (Closed system)
เป็นระบบที่มีความสมบูรณ์ภายในตัวเองไม่พยายามผูกพันกับระบบอื่นใดและแยกคนจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคม ซึ่งเป็นจริงได้ยาก (ปิดกั้นตัวเองไว้ ไม่เปิดรับใครเข้ามา)
ระบบเปิด(Open system)
เป็นระบบที่อาศัยการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคล องค์การหรือหน่วยงานอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่สมดุล (เธอก็ได้ ฉันก็ได้)
2.ทฤษฎีบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory)
มุ่งเน้นที่จะให้ยอมรับกันว่าในทางปฏิบัติไม่มีวิธีการบริหารใดที่ดีที่สุด (no one best way) ที่จะใช้ได้ในทุกการบริหาร ขึ้นอยู่กับความจําเป็นของสถานการณ์ในขณะนั้น วิธีการบริหารจะไม่ตายตัว ใช้เทคนิค หลายๆ อย่างมารวมกัน แต่จะเริ่มด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์และจบด้วยการคิดหาทางเลือก เพื่อแก้ปัญหาการประเมินทางเลือกและให้ข้อเสนอแนะทางเลือกที่ดีที่สุด
ฟิดเลอร์พัฒนารูปแบบจําลอง “ความเป็นผู้นําตามสถานการณ์”เป็นรูปแบบจําลองภาวะผู้นํา ฟิดเลอร์เสนอว่าตัวแปรผันสถานการณ์ที่สําคัญที่มีผลต่อแบบของผู้นํา ได้แก่ อํานาจหน้าที่ตามตําแหน่ง การยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชา ฟิดเลอร์เชื่อว่ารูปแบบภาวะผู้นําไม่เปลี่ยน ดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนสถานการณ์ให้เข้ากับรูปแบบภาวะผู้นํา
วรูม และ เยตัน (Victor Vroom, Phillip Yetton and Jago) ทฤษฎีความเป็นผู้นําเชิงสถานการณ์ Leader Participation Model เน้นการเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของผู้นํา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ตามมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์
โรเบิร์ต เฮาส์ (Robert House) แนวความคิดผู้นำเชิงสถานการณ์ ทฤษฎีเส้นทาง -เป้าหมาย (Path-goal Theory) ภาวะผู้นำเกี่ยวข้องกับการจูงใจ ผู้นำขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผู้นำสามารถให้ความสำคัญทั้งคนและงานได้ในเวลาเดียวกัน โดยใช้อิทธิพลของแรงจูงใจ กล่าวคือ ใช้แรงจูงใจเป็นแรงผลักสู่เป้าหมายทั้งส่วนบุคคลและขององค์การ
เฮร์เซย์และแบลนชาร์ด ( Hersey and Blanchard ) ทฤษฎี “วงจรชีวิต” เสนอทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์ (Situational Leadership Theory: SLT)
R1 ไม่มีความสามารถ ไม่มีความเต็มใจทำ ความพร้อมต่ำ
R2 ไม่มีความสามารถ เต็มใจทำ ความพร้อมปานกลาง
R3 มีความสามารถ ไม่มีความเต็มใจทำ ความพร้อมปานกลาง
R4 มีความสามารถ และเต็มใจทำ ความพร้อมสูง
รูปแบบผู้นำต้องเหมาะสมกับความพร้อมของผู้ตามได้พัฒนาแนวความคิด โดยเปลี่ยนระดับความพร้อมของผู้ตามเป็นความสามารถและความผูกพัน
S1 คือ การออกคำสั่ง (Direction)
S2 คือ การสอนงาน (Coaching)
S3 คือ การสนับสนุน (Supporting)
S4 คือ การมอบหมายงาน (Delegating)
แบ่งพฤติกรรมพื้นฐานของผูนำ มี 4 แบบ
งานสูง – สัมพันธ์ต่ำ (S1) (Telling) สั่งการ
งานสูง – สัมพันธ์สูง (S2) (Selling) ขายความคิด
งานต่ำ – สัมพันธ์สูง (S3) (Participating) แบบมีส่วนร่วม
งานต่ำ – สัมพันธต่ำ (S4) (Delegating) มอบอํานาจ
แบ่งผู้นำตามลักษณะความพร้อมด้านวุฒิภาวะของผู้ตามมี 2 ประการ คือความสามารถและความเต็มใจ
ทฤษฎีการบริหารเชิงปริมาณ (quantitative theory) เป็นทฤษฎีการบริหารจัดการ ที่นำเทคนิคคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสถิติช่วยในการแก้ปัญหา
การบริหารศาสตร์ (management Science) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจให้แก่ผู้บริหาร สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น จะนำมาใช้สำรวจลักษณะงานและปริมาณเวลาความต้องการในการปฏิบัติงานของพยาบาล (nursing Care time)
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (management information System: MIS) เน้นการออกแบบและการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อการบริหาร (Cornputer based information System: CBISs)
การจัดการปฏิบัติการ (operations management) เป็นทฤษฎีสมัยใหม่ที่พัฒนามาจากทฤษฎีการจัดการเน้นการใช้แนวทางเชิงปริมาณเข้าช่วยในการตัดสินใจ กระบวนการผลิตและการให้บริการองค์การให้มีประสิทธิภาพ
ทฤษฎี 7’S ซึ่งเป็นแนวคิดแบบจําลองของแมคคินซีย์ (Mc Kinsey) เป็นกลยุทธ์การบริหารที่ช่วยให้เกิด ความสําเร็จในองค์การสูง ให้เห็นถึงความสําคัญของคนที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการสร้างวัฒนธรรมองค์การ
Hard Ss เป็นอุปกรณ์แห่งความสําเร็จ
โครงสร้าง (structure) หมายถึง การจัดระเบียบองค์ประกอบขององค์การที่เหมาะสม ได้แก่ มีการแบ่งงาน มีการกระจายอํานาจ
กลยุทธ์ (strategy) หมายถึง แผนกําหนดวิธีการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ, กําหนดวัตถุประสงค์, วิธีดําเนินการที่นําไปสู่การปฏิบัติได้ทุกหน่วยงาน
ระบบ (system) หมายถึง วิธีการดําเนินงานขององค์การระเบียบวิธีปฏิบัติงาน ได้แก่ ระบบการวางแผน ระบบรายงาน การประเมินผล ระบบที่ดีเป็นระบบที่เน้นการปฏิบัติ
Soft Ss เป็นส่วนเนื้อหาแห่งความสําเร็จ
แบบการบริหาร (style) หมายถึง พฤติกรรมของผู้บริหารในองค์การที่รู้งานและทํางานอย่างจริงจัง
บุคลากร (staff) หมายถึง บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ
ทักษะ (skills) หมายถึง ความเข้มงวดและผ่อนปรนอย่าง เหมาะสมและต่อเนื่องของผู้บริหาร
ค่านิยมร่วม (shared values) หรือเป้าหมายสูงสุด หมายถึง มีความเชื่อมั่นในศักยภาพขององค์การและตนเองร่วมกัน
การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ (T.Q.M.=total quality management) เป็นแนวคิดการบริหารที่ยึดคุณภาพเป็นหัวใจของทุกเรื่อง
การรื้อปรับระบบ (reengineering) หมายถึง การสร้างกระบวนการทํางานขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลง เน้นความสําคัญของผู้รับบริการเป็นหลัก (focus on customer) การบริการต้องมีคุณภาพ ค่าใช้จ่ายถูก รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน
องค์การสมัยใหม่ (Modern Organization)
องค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization ) จะเป็นการเรียนรู้ได้รวดเร็วก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งจะพยายามที่จะประสานผลการดำเนินงานของบุคคลเขากับการดำเนินงานด้านการเงิน Peter M. Senge
บุคลากรที่มีความรอบรู้ (personal mastery)
รูปแบบความคิด (mental models)
วิสัยทัศน์ร่วม (shared vision)
การเรียนรู้เป็นทีม (team learning)
ความคิดเป็นระบบ (system thinking)
องค์การสมรรถนะสูง (High Performance Organisation) เป็นองค์การแห่งนวัตกรรม พนักงานและผู้บริหารทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี มีความผูกพันกัน สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธภาพ Gartner Group
การตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและแสวงหาแนวทางในการบรรลุเป้าหมายนั้น (Setting ambitious targets and achieving them)
การมีค่านิยมร่วมกันของบุคลากรทั่วทั้งองค์การ (Shared values)
การมุ่งเน้นที่ยุทธศาสตร์และการทำให้ทั่วทั้งองค์การดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน (Strategic focus and alignment)
องค์การยุคหลังสมัยใหม่ (Post Modern Organization) Peter Bogason กล่าวว่า แนวคิดในยุคหลังสมัยใหม่ (postmodern) จะใช้แนวคิดการสร้างเหตุผล (reasoning) และการแตกกระจาย (fragmentation) ที่มีคุณลักษณะของความเป็นปัจเจกบุคคลนิยม (individualism) ความร่วมมือระหว่างประเทศ (internationalization) การแบ่งแยกขององค์การ (organizational segregation) และการกระจายอำนาจ (decentralization)
ทฤษฎีไร้ระเบียบ หรือที่มีชื่อเรียกว่า Chaos theory เป็นทฤษฎีทางฟิสิกส์แขนงหนึ่งที่ศึกษาปรากฏการณ์ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทั่วไปที่ไม่สามารถอธิบายได้ ต้องใช้ Chaos theory ในการอธิบาย หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 เกิด “ลัทธิไร้ระเบียบ” โดยนักลัทธินี้เชิ่อว่า “สรรพสิ่งบนโลกมีเกิด มีดับ ที่เริ่มจากความระเบียบ แล้วก้าวไปสู่ความไร้ระเบียบในที่สุด หมุนเวียนอยู่เช่นนี้ สังคมก็เช่นกัน สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ลัทธิฉวยโอกาสอนาธิปไตย ที่มีรูปแบบคล้ายก้าวหน้า แต่เนื้อหาถอยหลังโดยสิ้นเชิง
การจัดองค์การแบบแชมรอค (Shamrock Organization) เป็นองค์การในอนาคตอีกรูปแบบหนึ่งที่เสนอโดย ชาร์สแฮนดี (Charles Handy)
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (professional core)
กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายนอก (outsourcing vendors)
กลุ่มพนักงาน การจัดองค์การแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิดการลดขนาดองค์การ (downsizing)
5s Model
SMALL: จิ๋วเเต่เเจ๋ว องค์การสมัยใหม่จะมีขนาดเล็กลงเเต่มีคุณภาพมากขึ้น
SMART: ฉลาดทรงภูมิปัญญา องค์การสมัยใหม่มุ่งสู่ความเฉลียวฉลาด มีความเเปลกใหม่ มีนวัตกรรมใหม่
SMILE: ยิ้มเเย้ม เปี่ยมน้ำใจ องค์การที่มีความสุข
SMOOTH: ความร่วมมือไร้ความขัดเเย้ง องค์การไม่มีความขัดเเย้งเเละมีการผนึกความร่วมมือ
SIMPLIFY: ทําเรื่องยากให้ง่ายเเละรวดเร็ว องค์การต้องปรับปรุงให้ง่ายขึ้น
องค์การเสมือนจริง (Virtual Organization) หัวใจหลักของ Virtual Office คือ หลักจิตวิทยา ที่เชื่อมโยงบุคลากรห่างไกลให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสู่องค์การเสมือนจริงจะเป็นผลสําเร็จ ต้องได้รับความร่วมมือจากมนุษย์ด้วยกัน (Collaborated)
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหาร ได้แก่ คน (man) ก่อให้เกิดผลสําเร็จทั้งปริมาณและคุณภาพ ของงานเครื่องจักร (machine) ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าเงินทุน (money) หล่อเลี้ยงให้กิจกรรมของ องค์กรดําเนินไปโดยไม่ติดขัดและวัสดุสิ่งของ (material) จัดหามาเพื่อดําเนินการผลิต