Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

หญิงตั้งครรภ์ HN 620007462 (6P (Passenger…

- - - - Active phase ระยะที่ 1
        
        D=45-60 วินาที, I=2-3นาที Intensity=Moderate-Strong
        
        D=45-55 วินาที, I=2 นาที 30 วินาที -3นาที 45 วินาที Intensity=Moderate-Strong:check:
      - Transitional phase ระยะที่ 1
        
        D=60-90 วินาที, I=2 นาที Intensity=Strong
        
        D=60 วินาที, I=2 นาที Intensity=Strong:check:
      - Latent phas ระยะที่ 1
        
        D=20-30 วินาที, I=5-10 นาที Intensity=Mild-Moderate
        
        D=40 วินาที, I=4 นาที Intensity=Moderate-Strong:check:
      - ระยะที่ 2
        
        fully 11.30 น. ทารกคลอด 12.30 น. ใช้เวลาคลอด 53 นาที
        D=60 วินาที, I=2 นาที Intensity=Strong
      - ระยะที่ 3,4
        
        มีการหดรัดตัวของมดลูกเป็นก้อนแข็ง มองเห็นเป็นลักษณะเป็นลอนหรือก้อนบนท้อง อยู่ระดับสะดือเฉียงไปทางด้านขวา
        ปกติใช้เวลา 5-15 นาที ไม่เกิน 30 นาที
        
        สำหรับผู้คลอดรายนี้พบแข็ง เป็นลอนหรือก้อนบนท้อง อยู่ระดับสะดือเฉียงไปทางด้านขวาเล็กน้อย
    - - ระยะที่ 1 ทฤษฎี จากการที่ส่วนนำของทารกเคลื่อนต่ำลงไปกดบริเวณพื้นเชิงกราน(Pelic foor) และ ทวารหนัก(ectum)ทำให้แม่เกิดความรู้สึกอยากถ่ายอุจจระและอยากเบ่งในระยะแรก
        
        ข้อมูลผู้คลอด สำหรับผู้คลอดรายนี้อยากเบ่งตอนปลาย Active Phase จากการตรวจภายในขณะที่ปากมดลูกเปิด 8 cm Eff 80% MR +1 ผู้คลอดสามารถควบคุมการเบ่งได้
        
        PV จาก station 0 >>> +1/HE สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - ระยะที่ 3 ทฤษฎี เมื่อรกมีการลอกตัวทำให้รกเคลื่อนต่ำลงไปกดทวารหนัก(rectum)ทำให้แม่เกิดความรู้สึกอยากเบ่ง
        
        สำหรับผู้คลอดรายนี้ไม่มีแรงแบ่งในระยะนี้
      - ระยะที่ 2 ทฤษฎี รู้สึกอยากเบ่งถ่ายอุจจาระ การเบ่งที่ถูกวิธี คือ สูดหายใจเข้าให้เต็มที่ กลั้นหายใจ ปิดปาก ก้มหน้า คางชิดอก แล้วทำการเบ่งเหมือนเบ่งถ่ายอุจจาระ ในการหดรัดตัว 1 รอบ สามารถเบ่งได้ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 8-10 วินาที หรือนับในใจ 1-10
        
        ข้อมูลผู้คลอด สำหรับผู้คลอดรายนี้ในการหดรัดตัว 1 รอบ เบ่งได้ 3 ครั้ง ใช้เวลาเบ่งสั้นประมาณ 5-6 วินาที และมีการเบ่งที่ไม่ถูกต้อง คือ ขณะเบ่งมีการขมิบก้นและยกก้น ซึ่งไม่สัมพันธ์กับทฤษฎี :red_cross:
      - ระยะที่ 4 อาจมีความรู้สึกอยากเบ่งหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีความรู้สึกอยากเบ่งอาจเกิดจาก Bladder full หรือว่ามีอุจจาระมาอุดกั้น rectum ก็ได้
        
        สำหรับผู้คลอดรายนี้ ไม่มีความรู้สึกอยากเบ่งและไม่มี Bladder full
  - - - ส่วนสูง
        
        ทฤษฎี ผู้คลอดสูง < 145 cm มีความเสี่ยงต่อภาวะม่สัมพันธ์กันระหว่างศีรษะทารกกับเชิงกรานผู้คลอดเกิดการคลอดติดขัดได้
        
        ข้อมูลผู้คลอด ผู้คลอดส่วนสูง 147 cm สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - ท่าเดิน
        
        ทฤษฎีการมีท่าเดินที่ผิดปกติควรคำนึงถึงความผิดปกติ ของกระดูกเชิงกรานอาจทำให้เกิดการคลอดยากหรือติดขัดได้
        
        ข้อมูลผู้คลอด ผู้คลอดมีท่าเดินปกติ ไม่มีการเดินกระโผกกระเผก สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - อายุ
        
        ทฤษฎี : ผู้คลอดที่อายุ < 18 ปี การเจริญเติบโตของเชิงกรานยังไม่เต็มที่ เสี่ยงเกิดการไม่ได้สัดส่วนกันของส่วนนำและเชิงกราน
        
        ข้อมูลผู้คลอดผู้คลอดมีอายุ 21 ปี สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - 1.1 Pelvic inlet แนว A-P diameter
        -Diagonal conjugate diameter (ระยะที่1,2) ระยะทางจากขอบล่างด้านนอกของ pubic symphysis ไปยัง promontory of sacrum ค่าปกติ 12.5-13 cm
        
        -Diagonal conjugate diameter (ระยะที่1,2) ระยะทางจากขอบล่างด้านนอกของ pubic symphysis ไปยัง promontory of sacrum ค่าปกติ 12.5-13 cm
        
        ผู้คลอดมีความยาว 13 cm สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
        
        -Obstetrical conjugate diameter (ระยะ1,2) ระยะห่างที่สั้นที่สุดระหว่าง pubic symphysis และ promontory of sacrum โดยหักออกจากค่า diagonal conjugate diameter 1.5-2 cm ค่าปกติ 10.5-11.5 cm
        
        ผู้คลอดมีความยาว 11-11.2cm สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
        
        -True conjugate diameter (ระยะ1,2) ระยะทางจากขอบบนด้านนอกของ pubic symphysis ไปยัง promontory of sacrum ค่าปกติ 11.5 cm
        
        ผู้คลอดมีความยาว 11.5 cm สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - 1.2 Midpelvis (ระยะ1,2) วัดจาก Interspinous diameter ระยะห่างระหว่าง ischial spine ทั้ง 2 ข้าง ค่าปกติ ≥ 10 cm
        
        ผู้คลอดมี Interspinous diameter ยาว 10 cm สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - 1.3 Pelvic outlet (ระยะ1,2) วัดมุม Subpubic arch ≥ 85 องศา
        
        ผู้คลอดมี Subpubic arch 85 องศา สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
    - - ระยะที่ 2,3 อาจจะมีการขยายช่องทางคลอดโดยการตัดฝีเย็บ โดยมีการตัดฝีเย็บจาก Fourchette ทำมุม 45 องศา และในระยะที่ 3 ไม่มีการฉีกขาดเพิ่มเติม
        
        ผู้คลอดมีการตัดฝีเย็บแบบ Left Medio-lateral จาก Fourchette ทางด้านซ้ายของผู้คลอดทำมุม 45 องศา ระดับการฉีกขาดของฝีเย็บ Second degree tear มีการฉีกขาดชั้นผิวหนังของฝีเย็บ เยื่อบุช่องคลอด ร่วมกับการฉีกขาดของกล้ามเนื้อฝีเย็บ และกล้ามเนื้อช่องคลอด โดยไม่มีความเสียหายต่อกล้ามเนื้อหูรูดทวาร สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - ระยะที่ 4มีการเย็บแบบ Continuous lock
        
        ผู้คลอดมีการเย็บฝีเย็บแบบ Continuous lock ประเมินฝีเย็บ REEDA Score = 1 คะแนน มี การบวมของแผลเล็กน้อยสัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
      - ระยะที่ 1
        
        Transitional phase
        
        ครรภ์แรก 3 ชั่วโมง(1 cm/hr)
        
        สำหรับผู้คลอดรายนี้เป็นครรภ์แรกใช้เวลา 1 ชั่วโมง (เวลา10.30น.-11.30น.) คิดเป็น 2 cm/hr สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
        
        Latent phase
        
        ครรภ์แรก 8 ชั่วโมง(0.3 cm/hr)
        
        สำหรับผู้คลอดรายนี้เป็นครรภ์แรกใช้เวลา 2.5 ชั่วโมง (เวลา05.00น.-07.30น.) คิดเป็น 1.2cm/hr สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
        
        Active phase
        
        ครรภ์แรก 4-6 ชั่วโมง(1.2cm/hr)
        
        สำหรับผู้คลอดรายนี้เป็นครรภ์แรกใช้เวลา 3 ชั่วโมง (เวลา07.30น.-10.30น.) คิดเป็น 1.67cm/hr สัมพันธ์กับทฤษฎี :check:
        
        -อายุมากกว่า 35 ปี จะทำให้ความยืดหยุ่นของอุ้งเชิงกรานลดน้อยลง
        -BMI มากกว่า 26 kg/m2 ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน
        -แผลฝีเย็บ จากครรภ์ก่อนอาจทำให้เกิดพังผืดบริเวณแผลฝีเย็บ ทำให้ความยืดหยุ่นและการขยายบริเวณอุ้งเชิงกรานลดน้อยลง
  - - - ลักษณะน้ำคร่ำที่ปกติ ต้องมีปริมาณเหมาะสม สีใสเหมือนน้ำมะพร้าว ไม่มีกลิ่น ไม่มีขี้เทาปน ถ้ามีสีเขียวขุ่น มีขี้เทาปน ทารกอาจมีภาวะ fetal distress ส่วนใหญ่ถุงน้ำคร่ำจะแตกเองในระยะปลาย Active Phase
        
        ระยะที่1 ปริมาณ ไม่พบ fluid trill HF 34 cmระยะเวลาการแตกของน้ำคร่ำ แพทย์ทำการเจาะถุงน้ำคร่ำ เวลา 8.30 น. ลักษณะเป็น Thin meconium cx 5cm eff 80% Station 0 AMR ปริมาณน้ำคร่ำไม่มากเกินไป
        
        ระยะ 2-4 ไม่มีแล้ว
    - - ขนาดของศีรษะทารก โดยปกติส่วนนำของทารกคือ ศีรษะซึ่งเป็นส่วนที่โตที่สุด โดยเบียดกระดูก parietal ให้เกยกันเพื่อผ่านช่องคลอดได้ง่ายเนื่องจากรอยต่อระหว่างกระดูกศีรษะมีช่องว่างให้เกยเพื่อให้มีขนาดเล็กลงลงและเข้าสู่ช่องเชิงกรานได้ หากทารกมีศีรษะโตเกินไปอาจเสี่ยงต่อการคลอดยากหรือคลอดติดขัด
        
        ระยะที่1,2
        
        จากการตรวจ Pawik’s grip ไม่พบballotment และท่า bilateral inguinal grip มือทั้งสองข้างไม่สามารถสอบกันได้ มีการ head engagement ขนาดศีรษะปกติสามารถเข้าอุ้งเชิงกรานได้
      - ขนาด/น้ำหนักทารก ทารกที่คลอก่อนกำหนดมักจะ
        มีน้ำหนักน้อยและขนาดเล็กกว่าครรภ์ครบกำหนด การวัดความยาว high of fundus ปกติคือ 32-36 cm ถ้ามากกว่าปกติแสดงว่าทารกอาจตัวโต ถ้าน้อยกว่าปกติแสดงว่าทารกอาจตัวเล็ก น้ำหนักทารกปกติ คือ 2,500-4,000 gm
        
        ระยะที่2
        
        ทารกอยู่ในช่วงtrem GA 39 +5 wks. By LMP ความยาวhigh of fundus 34 cms ขนาดของทารกปกติ น้ำหนักทารกแรกเกิด 3,410 gms.
        
        ระยะที่1
        
        ทารกอยู่ในช่วงtrem GA 39 +5 wks. By LMP ความยาวhigh of fundus 34 cms ขนาดของทารกปกติ
      - ส่วนนำ(Presentation) คือส่วนที่ต่ำสุดของทารกที่อยู่ช่วงล่างของมดลูก ได้แก่ 1. ศีรษะเป็นส่วนนำ จะพบส่วนนูนเด่น คือ Head cephalic -Vertex : ก้มเต็มที่ ส่วนยอดของศีรษะอยู่ต่ำสุด - Bregma : เงยเล็กน้อย ส่วนขม่อมหน้าอยู่ต่ำสุด- Brow : เงยมากขึ้น หน้าผากอยู่ต่ำสุด 2. ก้นเป็นส่วนนำ(Breech) 3. ไหล่เป็นส่วนนำ(Shoulder)
        
        ระยะที่1,2
        
        มี vetex เป็นส่วนนำ จากการ PV จะพบ small fontanel
      - แนวลำตัว (Lie) 1. Longitudinal lie คือ ความยาวลำตัวทารกอยู่ในแนวลำตามยาวของโพรงมดลูก 2. Transverse lie คือ ทารกอยู่ในแนวขวางกับตัวของมารดาเป็นแนวที่ไม่สามารคลอดผ่านทางช่องคลอดได้อาจต้องคลอดโดยการผ่าตัดคลอด
        
        ระยะที่1,2
        
        แนวอยู่ใน longitudinal ประเมินจากดูหน้าท้อง เป็นovoid shape
      - ท่าของทารก(Position) ในส่วนนำที่เป็นศีรษะทารกจะมีการก้ม โดยมีกระดูกท้ายทอยเป็นจุดอ้างอิงมี 6 แบบ คือLOA , LOT , LOP , ROA,ROT , ROP
        ท่าปกติของทารกคือท่า ROA ,LOA, OA
        
        ระยะที่2
        
        ทารกอยู่ในท่า LOA จากการตรวจครรภ์ท่า Umbirical grip พบ small part ด้าขวา และ Large part ด้านซ้ายของของแม่จากการฟัง FHS รายนี้ฟังได้ที่หน้าท้องด้านซ้ายต่ำกว่าระดับสะดือ
        
        ระยะที่1
        
        ทารกอยู่ในท่า LOA จากการตรวจครรภ์ท่า Umbirical grip พบ small part ด้าขวา และ Large part ด้านซ้ายของของแม่จากการฟัง FHS รายนี้ฟังได้ที่หน้าท้องด้านซ้ายต่ำกว่าระดับสะดือ
    - - ระยะที่ 1,2 ตำแหน่งที่รกเกาะโดยปกติจะเกาะที่ส่วนบนของ
        มดลูก แต่ถ้ารกเกาะส่วนล่างของมดลูก คือ ภาวะที่รกเกาะต่ำซึ่งอาจขัดขวางการคลอด หรือ ทารกคลอดทางช่องคลอด
        ไม่ได้
        
        ระยะที่ 1 ไม่พบรกเกาะต่ำ เนื่องจาก pv ไม่พบเนื้อรก
        
        ระยะที่ 2 เหมือน1
      - ระยะที่ 3 การลอกตัวของรก จะมีอาการแสดงของการลอก
        ตัวอยู่ 3 ประการ คือ
        
        Uterine sign : เมื่อรกมีการลอกตัวหมดแล้ว
        มดลูกจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากกลม แบน ใหญ่ นุ่ม
        (discoid) เป็นกลม นูน เล็ก แข็ง (globular) ลอยตัว
        สูงกว่าระดับสะดือเล็กน้อย แล้วค่อนไปทางขวา โดย
        ที่ส่วนยอดของมดลูกมักอยู่สูงกว่าระดับสะดือ คล าได้
        ทางหน้าท้องลักษณะกลม แข็ง
        
        ระยะที่ 3 uterine sign มดลูกแข็งตัวดี มีลักษณะเป็นก้อนกลม อยู่ระดับสะดือ เฉียงทางด้านขวาเล็กน้อย
        
        Cord sign : เมื่อรกมีการลอกตัวหมดแล้วสายสะดือจะเหี่ยวและคลำไม่พบชีพจร ในกรณีที่ทำสายสะดือจะเหี่ยวและคลำไม่พบชีพจร ในกรณีที่ทำหัวเหน่าสายสะดือจะไม่เคลื่อนขึ้นตามไป
        
        ระยะที่ 3Cord sign สายสะดือเหี่ยว คลายเกลียว คลำไม่พบชีพจรที่สายสะดือ จากการทำ cord test สายสะดือไม่เคลื่อนตาม
        
        Valva sign : มีเลือดออกมาประมาณ 30-60ml. มักพบรกที่มีการลอกตัวแบบ MatthewsDucans’s method (รกเริ่มลอกตัวจากริมรก)
        
        ระยะที่ 3 Valva sign รกลอกตัวแบบ Duncan machanism มีเลือดออกทางช่องคลอด 50 cc สีแดงเข้ม