Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิวัฒนาการและทฤษฎีทางการบริหาร (ทฤษฎีการบริหารยุคคลาสสิก (Classical…
วิวัฒนาการและทฤษฎีทางการบริหาร
ทฤษฎีการบริหารยุคคลาสสิก (Classical theory)
เป็นทฤษฎีที่เน้นการบริหารที่ตัวงาน การบริหารงานอย่างมีระเบียบแบบแผน มีกฎเกณฑ์ และเหตุผล
ทฤษฎีการจัดการเชิงบริหาร
(administrative management)
เฮ็นรี่ ฟาโยล (Henry Fayol)
องค์ประกอบของการบริหาร POCCC
การจัดองค์การ (Organizing) จะต้องกําหนดอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม ต้องกําหนดวัตถุประสงค์ขององค์การไว้อย่างชัดเจน
การบังคับบัญชา (Commanding)
ต้องมีความเข้าใจคนเข้าใจงาน
การประสานงาน (Coordinating)
ประสานหรือเชื่อมโยงงานต่างๆ ให้เข้ากันได้ และไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
การควบคุม (Controlling)
ติดตามผล ดูแล กํากับให้การดําเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้
การวางแผน (Planning)
ผู้บริหารจะต้องคาดการณ์ล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์ที่จะกระทบต่อองค์การ
หลักการทั่วไปของการบริหารงาน
หลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว
หลักของการไปในทิศทางเดียวกัน
หลักอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
หลักสายการบังคับบัญชา
หลักของการแบ่งงานกันทํา
หลักความมีระเบียบวินัย
หลักประโยชน์ของส่วนบุคคลเป็นรองจากประโยชน์ของส่วนรวม
หลักของการให้ผลตอบแทน
หลักของการรวมอํานาจ
หลักความเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลักความเสมอภาค
หลักความมั่นคงในการทํางาน
หลักความริเริ่ม
หลักความสามัคคี
ลูเทอร์ กูลิคและลินดอลล์เออร์วิค
(Luther Gulick and LyndallUrwick) เพิ่มกระบวนการบริหารของฟาโยล
POCCC >>> POSDCoRB
O (Organizing) การจัดองค์การ
S (Staffing) การบริหารบุคคล
D (Directing) การสั่งการ
CO (Co-ordinating) การประสานงาน
B (Budgeting) การจัดทํางบประมาณ
R (Reporting) การรายงานต่อฝ่ายบริหาร
P (Planning) การวางแผน
ทฤษฎีระบบราชการ (bureaucracy)
แมกซ์ วีเบอร์ (Max Weber)
เสนอทฤษฎีที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างขององค์การ ซึ่งเน้นการมีเหตุผลเป็นสําคัญ
การกําหนดระเบียบข้อบังคับ
มีการแบ่งงานกันทํา
บุคลากรต่างทําหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ
การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ
ความก้าวหน้าในตําแหน่งหน้าที่
มีอํานาจหน้าที่
มีการจัดระบบตําแหน่งหน้าที่ตามสายบังคับบัญชาระดับสูงมายังระดับต่ำ
ทฤษฎีการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
(Scientific Management)
เฟรดเดอริควินสโลว์ เทเลอร์(Frederick winslow taylor) บิดาทฤษฎีการบริหารจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์
ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทน
ตามสัดส่วนของงาน
ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน
แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียม
พัฒนาวิธีการทํางานทีดีที่สุด (One best way) สําหรับงานแต่ละชิ้น
แฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ (Frank Bunker Gillbreth)
เขาเริ่มศึกษา Motion study เพื่อค้นหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะทํางาน เขาคิดค้นแต่วิธีที่จะทําให้คนทํางานได้อย่างมีความสุขขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่เหนื่อยน้อยลง
เฮนรี่ แก๊นต์ (Henry L Gantt)
ได้นําเอาเทคนิคการจัดตารางสําหรับการควบคุมการปฏิบัติงานมาใช้เพื่อปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพในการทํางาน
เจ้าของผลงาน Gantt’s chart
ลิเลียน กิลเบรธ (Lilian Gillbreth)
ช่วยส่งเสริมงานด้าน Motion Studies ให้ดียิ่งขึ้น
ทฤษฎีการบริหารยุคนีโอคลาสสิก (Neo-Classical theory)
เน้นผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนในองค์การ โดยใช้พฤติกรรมศาสตร์
วิลเลี่ยม กูซี่ (William G. Quchi)
แนวคิดการบริหารจะให้ผลดีกว่า ถ้าให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการตัดสินใจบริหาร นั่นคือ ให้ความสําคัญกับกลุ่มไม่ใช่ตัวบุคคล แนวคิดของทฤษฎีแซด(Z)
ผู้ปฏิบัติงานต่างก็มีจิตสํานึกที่ดีในด้านความผูกพันทางใจ ความรัก ความสามัคคีอยู่แล้ว
ผู้ปฏิบัติงานสามารถไว้วางใจได้ โดยทํางานไม่บกพร่อง ผู้บริหารเพียงแต่เอาใจใส่ ดูแลสวัสดิภาพและความเป็นอยู่ให้ดีเท่านั้น
ผู้ปฏิบัติงานจะขาดความคุ้นเคยกัน เพราะสภาพแวดล้อมของงานที่จัดไว้ ทําให้เกิดช่องว่างของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกโดยไม่จําเป็น
ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่มุ่งแสวงหาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกัน โดยอยู่ในกรอบของปรัชญาองค์การที่ระบุไว้
เชสเตอร์ บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard)
เป็นบิดาแห่งการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ การติดต่อสื่อสาร เพื่อความเข้าใจในวัตถุประสงค์สู่แนวทางการปฏิบัติด้วยการโน้มน้าวจิตใจ เป็นการจูงใจทางจิตใจมากกว่าการจูงใจทางด้านวัตถุ
แมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor)
เจ้าของทฤษฎีเอ็กซ์และวาย (X and Y theory) ได้วางหลัก
สมมติฐานเกี่ยวกับคนเป็น 2 แนว ตรงกันข้ามกัน
อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow)
มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาและไม่สิ้นสุด ความต้องการของมนุษย์จะเป็นไปตามลําดับขั้นจากต่ําไปหาสูง
3.ความต้องการทางด้านสังคม
เป็นที่รัก และเป็นที่ยอมรับ มีครอบครัว
4.ความต้องการทางด้านการยกย่อง
ยกย่อง และเห็นคุณค่า มอบความรับผิดชอบ
2.ความต้องการทางด้านความปลอดภัย ปราศจากอุบัติเหตุ มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน และฐานะการเงิน
5.ความต้องการทางด้านความสมหวังในชีวิต
อํานาจ วาสนา ความสมหวัง
1.ความต้องการทางด้านร่างกาย อาหาร น้ํา ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย
เอลตัน เมโย (Elton Mayo)
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานต้อง
”สนใจปัญหาและความต้องการของคนทํางาน”
.เฟรเดริค เฮิร์ซเบิร์ก(Frederick Herzberg)
ปัจจัยค้ําจุน
คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความพอใจในการทํางาน แต่ยังไม่พอที่จะนําไปใช้ในการจูงใจ ถือว่าเป็น “ปัจจัยภายนอก"
ปัจจัยจูงใจ
คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนทํางานอย่างมีความสุข เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ซึ่งถือว่าเป็น “ปัจจัยภายใน”
ทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ (Modern Management Theory)
การบริหารงานจะประสบผลสําเร็จ ถ้าร่วมมือร่วมใจ สามัคคีกัน >>> การทํางานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม
การจัดการเชิงปริมาณ การจัดการเชิงปริมาณ
(The quantitative The quantitative management approach)
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร
(management information system : MIS)
เป็นการบริหารจัดการที่มุ่งการเก็บรวบรวมข้อมูลและการส่งข้อมูลเพื่อสนับสนุนหน้าที่การจัดการ
การจัดการปฏิบัติการ (operations management)
เป็นการบริหารซึ่งใช้เทคนิคเชิงปริมาณ เพื่อปรับปรุงผลผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการ
การบริหารศาสตร์ (management science)
1.ทฤษฎีเกม (Game Theory)
2.โปรแกรมเชิงเส้นตรง (Linear Programming)
3.ทฤษฎีคิว (Queuing Theory) หรือทฤษฎีแถวรอคอย
4.การวิจัยปฏิบัติการ (Operation Research)
ทฤษฎีบริหารตามสถานการณ์ (Contingency theory)
วรูม และ เยตัน (Victor Vroom, Phillip Yetton and Jago)
หลักการสําคัญคือ การเน้นการเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของ
ผู้นํา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ตามมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
โรเบิร์ต เฮาส์ (Robert House)
ภาวะผู้นําเกี่ยวข้องกับการจูงใจ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือ ความคลุมเครือของงานและความพอใจในงานที่ทํา ใช้แรงจูงใจเป็นแรงผลักให้สู่เป้หมายทั้งส่วนบุคคลและขององค์การ
Fred Fiedler
พัฒนารูปแบบจําลอง “ความเป็นผู้นําตามสถานการณ์”
เชื่อว่ารูปแบบภาวะผู้นําไม่เปลี่ยนดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนสถานการณ์ให้เข้ากับรูปแบบภาวะผู้นํา
เฮร์เซย์และแบลนชาร์ด (Hersey and Blanchard)
ทฤษฎี“วงจรชีวิต” เสนอทฤษฎีภาวะผู้นําตามสถานการณ์
แบ่งระดับความพร้อมของผู้ตามเป็น 4 ระดับ
R2 หมายถึง ไม่มีความสามารถ แต่เต็มใจที่จะทํา ถือว่าความพร้อมปานกลาง
R3 หมายถึง มีความสามารถ แต่ไม่มีความเต็มใจที่จะทํา ถือว่าความพร้อมปานกลาง
R1 หมายถึง ไม่มีความสามารถ และไม่มีความเต็มใจที่จะทํา ถือว่าความพร้อมต่ํา
R4 หมายถึง มีความสามารถ และเต็มใจที่จะทํา ถือว่าความพร้อมสูง
รูปแบบผู้นํา 4 รูปแบบ
S2 คือ การสอนงาน
S3 คือ การสนับสนุน
S1 คือ การออกคําสั่ง
S4 คือ การมอบหมายงาน
ทฤษฎีระบบ (System theory)
ระบบปิด คือระบบทพึ่งตนเองได้ และระบบเปิด คือระบบที่ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด
ผลผลิต (Outputs)
ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back)
กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process)
สิ่งแวดล้อม
ปัจจัยนําเข้า (Inputs)
ทฤษฎี 7’S
แนวคิดแบบจําลองของแมคคินซีย์ (Mc Kinsey)
เป็นกลยุทธ์การบริหารที่ช่วยให้เกิดความสําเร็จในองค์การสูง
Hard Ss เป็นอุปกรณ์แห่งความสําเร็จ
กลยุทธ์(strategy)
แผนกําหนดวิธีการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
ระบบ(system)
วิธีการดําเนินงานขององค์การระเบียบวิธีปฏิบัติงาน
โครงสร้าง(structure)
การจัดระเบียบองค์ประกอบขององค์การที่เหมาะสม
Soft Ss เป็นส่วนเนื้อหาแห่งความสําเร็จ
บุคลากร(staff)
บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีทัศนคติและพฤติกรรมการทํางานที่ตอบสนองเป้าหมายขององค์การ
ทักษะ(skills)
ความสามารถเด่นของผู้บริหารในองค์การที่มีความเข้มงวดและผ่อนปรนอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
แบบการบริหาร(style)
ลักษณะพฤติกรรมของผู้บริหารในองค์การที่รู้งานและทํางานอย่างจริงจัง
ค่านิยมร่วม(shared values)หรือเป้าหมายสูงสุด
ผลรวมของค่านิยมส่วนบุคคลบุคลากรมีความเชื่อมั่นในศักยภาพขององค์การและตนเองร่วมกัน คือจะประสบผลสําเร็จในการบริหารงานนั้นต้องหลอมให้ปัจจัย 7’S มีการเลือกแล้วนั้นให้เป็นที่ยอมรับ