Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พัฒนาการและภูมิคุ้มกันโรค (การให้คำแนะนำในการให้ภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนเผื…
พัฒนาการและภูมิคุ้มกันโรค
แบบแผนการให้ภูมิคุ้มกันโรคตามการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค พศ.2563
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
ทารกขณะอยู่ในครรภ์ได้รับภูมิคุ้มกันโรคโดยผ่านทางรก บางชนิดได้ หลังคลอดภูมิคุ้มกันต่อโรคแบคทีเรียจะหมดไปประมาณ 1-2 เดือนหลังคลอด ภูมิคุ้มกันโรคจากเชื้อไวรัสอยู่ได้นานกว่า 6 เดือนหลังคลอด
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทางอ้อมหรือด้วยการรับเอา Passive immunization เป็นการให้สารที่มีภูมิคุ้มกันโรคอยู่แล้ว (Antibody) เข้าไปในร่างกายโดยตรงและป้องกันโรคในทันที แต่อยู่ในร่างกายได้ไม่นาน ประมาณ 3-4 สัปดาห์
การสร้างภูมิคุ้มกันโรคทางตรง Actiive immunization ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง สามารถป้องกันโรคได้เป็นปีๆหรือบางชนิดอาจอยู่ได้ตลอดไป
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแบบ active
กลุ่มที่ 2 วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิต เป็นวัคซีนที่ทำมาจากแบคทีเรียหรือไวรัสทั้งตัวที่ทำให้ตายแล้ว
กลุ่มที่ 3 วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต เป็นวัคซีนที่ท าจากเชื้อเป็นที่ ยังมีชีวิตอยู่แต่ท าให้ฤทธิ์อ่อนลงแล้ว ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนส าหรับไวรัส ต้องระวังในผู้ป่วยที่ภูมิต้านทานต่ำ
กลุ่มที่ 1 ท๊อกซอยด์ ใช้ป้องกันโรคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากพิษหรือท๊อกซิน ของแบคทีเรีย ไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียตัวจริง
วิธีการให้วัคซีน
การกิน (oral route) ใช้ในกรณีที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะที่
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้เมื่อต้องการให้การดูดซึมดี การฉีด เข้ากล้ามเนื้อจะให้ได้ผลดี ควรฉีดบริเวณ deltoid เพราะการดูดซึมดีที่สุด ไม่แนะนำให้ฉีดบริเวณสะโพกเพราะอาจเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทไซเอติค
การฉีดเข้าในหนัง วิธีนี้มักจะใช้เมื่อ ต้องการลดจำนวนantigen ให้น้อยลง กระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดเซลล์เป็นสื่อได้ดี
หลักการทั่วไปในการให้วัคซีน
การให้วัคซีนห่างเกินกว่ากำหนดไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดน้อยลง แต่ถ้าให้เร็วเกินไปจะทำให้ภูมิคุ้มกันน้อยลง
วัคซีนหลายชนิดอาจให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้ แต่ต่างตำแหน่ง ยกเว้น DTPกับวัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ ไม่งั้นต้องห่างกัน 1 เดือน
ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น หวัด ไอ หรือไข้ต่ำๆ สามารถให้วัคซีนได้ แต่ถ้ามีไข้สูงให้เลื่อนไปก่อน
ผู้ที่ได้รับอิมมูโนโกลบุลิน พลาสม่า หรือเลือดมาไม่ถึง 3 เดือน ไม่ควรให้วัคซีนไวรัสที่มีชีวิต เพราะจะมี antibody เพิ่มขึ้นแล้วไปทำลายวัคซีน
เด็กที่เคยได้วัคซีนดีทีพีแล้วมีไข้สูง อาการชัก กรีดร้อง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังฉีด ครั้งต่อไปไม่ควรให้วัคซีนรวม DTwP ควรให้เฉพาะ dT เท่านั้น
เด็กที่เคยแพ้ไข่ ไม่ควร ให้วัคซีนรวม MMR ชนิดที่มาจากเซลล์เพาะเชื้อจากไขอาจมีอาการแพ้ได้
ทารกที่คลอดก่อนกำหนดควรให้วัคซีนเหมือนเด็กที่เกิดครบกำหนด แต่ถ้าเด็กยังอยู่ใน nursery ไม่ควรให้ OPV เพราะจะทำให้เชื้อติดต่อไปยังเด็กคนอื่นได้
เด็กที่มีโรคทางระบบประสาท ซึ่งยังควบคุมไม่ได้ ไม่ควรให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell แต่ถ้าเป็น โรคชักที่ควบคุมได้แล้วสามารถให้ได้
เป็นโรคชัก สามารถให้วัคซีนได แต่ต้องเฝ้าระวัง
การฉดีวัคซีนที่มี adjuvant ควรให้เข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น เพราะอาจเกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ อักเสบเป็นก้อนหรือทำให้เนื้อตายบริเวณที่ฉีดได้
เด็กเล็กนิยมให้ที่กล้ามเนื้อบริเวณกึ่งกลาง ต้นขาด้านหน้าค่อนไปด้านนอก ส่วนผู้ใหญ่หรือเด็กโต นิยมให้บริเวณต้นแขนส่วนบน (deltoid)
ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ควรได้รับวัคซีนตามอายุหลังคลอดเหมือนกับเด็กปกติ ยกเว้นการให้ วัคซีนตับอักเสบบี ในทารกที่น้ำหนักต่ำกว่า 2,000 กรัม ถ้ามารดาไม่ได้เป็นพาหะ ควรเลื่อนการฉีดเข็มแรก ไปจนกว่าทารกจะมีน้ำหนักมากกว่า 2000 กรัม หรืออายุ 2 เดือน ถ้ามารดาเป็นพาหะให้ได้ทันที เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและต้องให้ Hepatitis B immune globulin (HBIG)ร่วมด้วย
เด็กที่ได้รับยา กลุ่ม Steroid เช่น Prednisolone ขนาดตั้งแต่ 2 mg/kg/day ต่อเนื่องเป็นเวลา เกิน 2 สัปดาห์ ต้องหยุดยา 1 เดือนจึงจะสามารถให้วัคซีนเชื้อมีชีวิตได้ แต่ถ้าไม่เกิน 2 สัปดาห์สามารถให้วัคซีนได้
เด็กที่ติดเชื้อ HIV หรือเชื้อโรคเอดส์ ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตามสามารถให้วัคซีนทุก ชนิดได้เหมือนเด็กปกติ ยกเว้นวัคซีนบีซีจี ถ้ามีอาการจะไม่ให้เด็ดขาด
การให้คำแนะนำในการให้ภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนเผื่อเลือก
ฉีดวัคซีนเด็กทั่วไป
แรกเกิด ฉีด BCG HB1 ถ้ามารดา HBsAg HBeAg positive ต้องเพิ่ม HBIG
1 เดือน ฉีด HB2
2 เดือน ฉีด OPV1 DTwP-HB-Hib1 Rota1
4 เดือน ฉีด IPV1 OPV2 DTwP-HB-Hib2 Rota2
6 เดือน ฉีด OPV3 DTwP-HB3-Hib3 Rota 3
9-12 เดือน ฉีด MMR1 LAJE1
18 เดือน ฉีด OPV4 DTwP 4
2-2 ½ ปี ฉีด LAJE2(เชือ้เป็น) MMR2
4 ปี ฉีด OPV5 DTwP5
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ฉีด HPV1 HPV2 วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV เข็ม 1 กับเข็ม 2 ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
ให้วัคซีน กรณีที่เริ่มเมื่ออายุ 1-6 ปีขึ้นไปปี
เดือน 0 เมื่อพบเด็ก ครั้งแรก ฉีด DTP-HB1 OPV1 IPV1
MMR1 BCG
เดือน 1 DTP-HB2 OPV2 LAJE1
เดือน 4 DTP-HB3 OPV3
เดือน 12 DTP4 OPV4 LAJE2
เดือน 2 MMR2
BCG*
ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่า เคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่มี แผลเป็น
จะไม่ให้ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการของโรคเอดส์ IPV1* ให้เก็บตกเฉพาะเด็กอายุ ต่ ากว่า 7 ปีและเด็กนักเรียนชั้น ป.1
ให้วัคซีน กรณีที่เริ่มเมื่ออายุ 7 ปีขึ้นไปปี 2561
0 เมื่อพบเด็ก ครั้งแรก ฉีด dT OPV1 IPV MMR/MR BCG*
1 ฉีด HB1 LAJE1
2 ฉีด dT2 OPV2 HB2
BCG*
ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่า เคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่มี แผลเป็น
ไม่ให้ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV ที่มี อาการของโรคเอดส์
7 ฉีด HB3
12 ฉีด dT3 OPV3 LAJE2
บริเวณที่ฉีดวัคซีน DTwP - HB2- Hib2 อาจมีอาการปวด บวม แดง ร้อน เด็กอาจจะร้อง ให้ใช้ผ้า ชุบน้ำอุ่นประคบและรับประทานยาแก้ปวด ปกติจะหายได้เองภายใน 7 วัน
วัคซีนปกติและวัคซีนเผื่อเลือก
วัคซีนป้องกันวัณโรค (Bacille Calmette Guerin : BCG)
วัคซีนเป็นชนิดเชื้อเป็นการฉีดต้องฉีดเข้าในผิวหนังครั้งละ 0.1 cc. ใน ชั้นผิวหนังที่ไหล่ซ้าย
ปฏิกิริยาหลังฉีด
จะเริ่มเป็นตุ่มหนองประมาณ 2-4 สัปดาห์โดยจะเป็น ๆ หาย ๆ ห้ามใส่ยา Antibictic ทุกชนิด แต่ให้รักษาความสะอาดโดยเช็ด ด้วยน้ำต้มสุก ห้ามแคะ แกะ เกา
ห้ามให้
ผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลติดเชื้อที่ผิวหนัง
ถ้าไม่มีหลักฐานให้ฉีดใหม่ได้ทันที แต่ถ้าเคยฉีดหรือมีหลักฐานไม่ต้องฉีด ให้ดูที่สมุดสีชมพู
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
ผู้ป่วยที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Diptheria Tetanus Pertussive Vaccine : DTP)
เป็นวัคซีนรวม จะให้ในช่วง อายุ 2 เดือน, 4 เดือน และ 6 เดือน และฉีดกระตุ้น 2 เข็มคือ 1½ ปี และ46 ปี โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
DTwP เป็นวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก และวัคซีนไอกรน แบบทั้งเซล Whole cell Pertussis vaccine
DTaP เป็นวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก และวัคซีนไอกรน แบบไร้เซล Acellular pertussis vaccine
ถ้าครั้งก่อนใช้ DTwP สามรถใช้แบบ DTaP แทนได้
เด็กที่อายุ 11-12 ปี ควรได้รับการฉีด Td หรือ Tdap หลังจากนั้นให้ซ้ำด้วย Td ทุกๆ 10 ปี
ปฏิกิริยาภายหลังฉีด
ปฏิกิริยาที่พบส่วนใหญ่จะมีไข้ หลังฉีดประมาณ 3-4 ชั่วโมงและจะหายไปในเวลา 2 วัน
ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ ถ้าเด็กมีอาการคล้ายไข้หวัด แพทย์จะยังไม่ฉีดวัคซีนให้เพราะอาจเป็นอาการของโปลิโอ ถ้าฉีดอาจจะทำให้เด็กเป็นอัมพาต
ข้อควรระวัง
ห้ามให้ DTP ในเด็กอายุเกิน 6 ปี เพราะเอาจมีอาการทางสมองจากวัคซีนไอกรนได้ ให้ใช้ dT แทน
ไม่ฉีดให้กับเด็กระยะที่มีโปลิโอระบาด ไม่ควรฉีดในเด็กป่วยหรือกำลังมีไข้
ไม่ควรฉีดในเด็กที่มีประวัติชัก หรือโรคระบบประสาท
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (Poliomyelitis Vaccine)
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อไวรัสเป็น มีทั้ง OPV และ IPV
ทำจากไวรัสที่ตายแล้วต้องให้โดยการฉีดวัคซีนทั้งสองชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานต่อโรคโปลิโอได้ดีใกล้เคียงกัน
ต้องระมัดระวังการให้ในเด็กที่มีอาการท้องเสีย เนื่องจากวัคซีนถูกดูดซึมที่ลำไส้
ให้เมื่ออายุ 2,4, 6 เดือน ตามลำดับ กระตุ้น 1½ ปี และ 4-6 ปี
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวัคซีน
สามารถให้พร้อมกันกับวัคซีนอื่นไดเพราะเป็นวัคซีนเชื้อเป็น
โปลิโอชนิดกินเป็นเชื้อมีชีวิต จึงต้อง ต้องระวังในเด็กที่ภูมิต้านทานต่ำ
ระหว่างที่ให้วัคซีน ไม่ต้องงดนมแม่
สามรถให้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการ หรือไม่ก็ตาม
วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม (Mump Measles Rubellar Vaccine)
วัคซีนเชื้อเป็น ให้ในเด็กครั้งแรกอายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6
ถ้ามีการระบาดของโรคและเด็กสัมผัสโรค ด้วยสามารถฉีด MMR ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน และฉีดเข็มที่ 2 ตอนอายุ 9 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 ตอนอายุ 46 ปี
ถ้ามีประวัติแพ้ไข่แบบ Anaphylaxis ต้องงดให้
การฉีด MMR สามารถให้ได้พร้อมกันกับวัคซีนอีสุกอีใส แต่หากไม่สามารถให้ในวันเดียวกันได้ต้องเว้น ห่างกัน 1 เดือน
ปฏิกิริยาที่พบ
หลังฉีดมี ไข้ มีผื่นออกจางๆ หลังฉีดไปได้ 5,12 วัน
วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ เจอี (Japanese Encephalitis)
ครั้งที่ 1 เมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน ครั้งที่ 2 ตอนเด็กอายุ 2-2 ½ ปี
เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ฉีด 2 ครั้ง พร้อม MMR
วัคซีนโรต้า(Rota virus)
ป้องกันการติดเชื้อทางเดินอาหารที่รุนแรงในเด็ก ปัจจุบันเป็นวัคซีนเชื้อเป็น ชนิดหยดทางปาก
ให้ทั้งหมด 3 ครั้ง ในช่วงอายุ 2 4 6 เดือน โดยให้ในเด็กอายุไม่เกิน 15 สัปดาห์ และครั้งที่ 2 และ3 เด็กต้องอายุไม่เกิน 32 สัปดาห์
ห้ามในการให้วัคซีน Rota กับ เด็กที่มีประวัติเป็นลำไส้กลืนกัน
วัคซีน Rota virus สามารถปนเปื้อนอุจจาระ ไปติดกับผ้าอ้อมได้ ดังนั้นจึงต้องระวังในทารกที่อยู่ในครอบครัวที่มีภูมิต้านทานต่ำ จควรต้องแยกออกจากกันนาน 14 วัน
วัคซีน HIB Haemophilus influenza type B
เชื้อตัวนี้ทำให้เกิดโรคหลายชนิดในเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี โดยจะพบเชื้อที่บริเวณลำคอ เช่นปอดบวม โรคเยื่อสมองอักเสบเมื่อรอดชีวิตหรือหายจากโรค เด็กจะมีอาการชักเรื้อรัง หูหนวก ตาบอด อัมพาต และปัญญาอ่อนได้
ตั้งแต่ปี 2562 วัคซีนชนิดนี้บรรจุวัคซีนป้องกัน"โรคฮิบ
ให้ 3 ครั้งตอนเด็กอายุ 2,4,6 เดือน
ผลข้างเคียงของวัคซีน เด็กจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้สูง
วัคซีน HPV Human Papilloma Virus
เป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกและจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดในวัยที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์มาก่อน
ฉีดได้ในช่วงอายุ 9-26 ปี แต่จะเน้นในช่วงอายุ 11-12 ปี
จะฉีดให้ในเด็กผู้หญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 2 เช็ม HPV1 HPV2 โดย เข็ม 1 กับเข็ม 2 ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
การให้คำแนะนำในการให้ภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนเผื่อเลือก
เป็นวัคซีนที่ไม่อยู่ในตารางวัคซีนปกติของกระทรวง สาธารณสุข
วัคซีนอีสุกอีใส varicella vaccine เป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อไวรัสเป็นที่ชื่อว่า Varicella Zoster
โดยแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้จำนวน 2 เข็ม เพราะจะมีโอกาสเกิดภูมิต้านทานสูงมาก
เริ่มฉีดตั้งแต่เด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเข็มแรกเมื่ออายุ 12-18 เดือน และฉีด กระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี
เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและไม่เคยฉีดวัคซีนนี้มาก่อน ให้ฉีด 2 เข็ม เข็มที่ 1 กับที่ 2 ห่างกัน 1 เดือน
ต้องระวังการให้ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
มีอาการหลังการฉีดเข็มแรก ปวด บวมแดง คัน หรือช้ำบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ต่ำหรือเกิดผื่นขึ้น
การบริหารและการจัดเก็บวัคซีน
ทั่วไปจะเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศา ต้องใส่วัคซีนไว้ในกล่องพลาสติกเพื่อป้องกันการสูญเสียความเย็นตอนเปิด
OPV เก็บในช่องแช่แข็ง
วัคซีน MMR/MR, BCG และ JE ผงแห้งเก็บ อณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส
กรณีชั้นเก็บชั้นที่ 1 ไม่เพียงพอสามารถเก็บชั้นที่ 2 ได้อีก 1 ชั้น
ห้ามเก็บในถาดรองใต้ช่องแช่แข็ง เพื่อป้องกันกล่องวัคซีนเปียกน้ำหรือฉลากหลุดลอก
นางสาว เนหา สุกูล รุ่น 36/1 เลขที่ 61
อ้างอิง
อ.กัลยา ศรีมหันต์.
เอกสารประกอบการสอนรุ่น 36 และภูมิคุ้มกันโรค