Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะไม่สุขสบายในหญิงตั้งครรภ์, สืบค้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 จากhttps…
ภาวะไม่สุขสบายในหญิงตั้งครรภ์
ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์4-6 เดือน)
การเปลี่ยนแปลง
ปวดหลัง
น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้จะเพิ่มแรงกดไปที่หลัง ทำให้รู้สึกปวดหลังได้ ในการลดแรงกดไปที่หลัง แนะนำให้นั่งหลังตรง และนั่งบนเก้าอี้ที่รองรับหลังได้ดี เพื่อช่วยลดอาการปวด แนะนำให้นอนตะแคงข้างโดยมีหมอนหนุนอยู่ระหว่างขา
ให้หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการถือสัมภาระหนักๆ สวมใส่รองเท้าส้นเตี้ย รองเท้าที่สวมใส่สบาย และรองรับน้ำหนักตัวได้ดี ถ้าอาการปวดไม่ดีขึ้น ขอแนะนำให้ขอให้แฟนของคุณช่วยนวดบริเวณที่ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
เลือดออกตามไรฟัน
ประมาณครึ่งหนึ่งของหญิงตั้งครรภ์จะมีอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายจะทำให้เลือดไหลเวียนไปที่เหงือกเพิ่มมากขึ้น ทำให้เหงือกมีความไวต่อการเกิดบาดแผลเล็กๆ และมีเลือดออกง่ายขึ้น โดยปกติแล้วเหงือกจะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิมเมื่อคลอดลูกแล้ว
แนะนำให้ใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันอย่างนุ่มนวล โดยไม่ละเลยสุขภาพในช่องปากไป
คัดจมูกและเลือดกำเดาไหล
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะทำให้เนื้อเยื่อในจมูกบวมขึ้น ทำให้มีอาการคัดจมูก และทำให้นอนกรนในช่วงกลางคืน การเปลี่ยนแปลงนี้ยังอาจทำให้เลือดกำเดาออกง่ายขึ้นด้วย
ก่อนที่คุณจะใช้ยาบรรเทาอาการคัดจมูก (decongestant) ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ สำหรับน้ำเกลือหยอดจมูกหรือวิธีธรรมชาติอื่นๆ อาจมีความปลอดภัยมากกว่าในการบรรเทาอาการคัดจมูกระหว่างตั้งครรภ์ คุณอาจทดลองใช้เครื่องสร้างความชื้นในอากาศเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้
หากมีอาการเลือดกำเดาไหล การหยุดเลือดกำเดา ให้ยกตัวของคุณตั้งตรง (อย่าเอียงไปทางด้านหลัง) และใช้แรงบีบที่รูจมูกทั้งสองข้างเป็นเวลาไม่กี่นาทีจนกว่าเลือดจะหยุด
ตกขาว
เป็นเรื่องปกติที่จะพบตกขาวลักษณะคล้ายนมในช่วงแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คุณสามารถใส่ผ้าอนามัยได้ หากทำให้คุณรู้สึกสบายมากขึ้น แต่อย่าใช้ผ้าอนามัยชนิดสอดช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้
หากตกขาวมีกลิ่นเหม็น เป็นสีเขียว หรือเหลือง มีเลือดปน หรือมีตกขาวใสปริมาณมาก ให้ไปพบแพทย์
ผมยาว (ขนยาว)
ฮอร์โมนที่ถูกสร้างระหว่างตั้งครรภ์จะกระตุ้นการเจริญของเส้นผม ผมบนศีรษะจะหนาตัวขึ้น คุณอาจเห็นผม (ขน) ในบริเวณที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งบริเวณใบหน้า แขน และหลัง การโกนและใช้แหนบดึงอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ง่ายที่สุด
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในขณะที่ตั้งครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านไม่แนะนำให้กำจัดขนด้วยวิธีเลเซอร์, electrolysis, แว็กซ์ หรือ depilatories ระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะงานวิจัยยังไม่ได้พิสูจน์ว่าวิธีต่างๆ เหล่านี้ปลอดภัยกับทารกในครรภ์
ปวดศีรษะ
อาการปวดศีรษะเป็นอาการไม่สบายที่พบได้บ่อยขณะตั้งครรภ์ แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
พยายามฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น หายใจลึกๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยา แอสไพริน (aspirin) และไอบูโปรเฟน (ibuprofen) แต่แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอล ถ้าอาการปวดไม่ดีขึ้น
แสบร้อนกลางอก และท้องผูก
อาการแสบร้อนกลางอกและท้องผูก เกิดขึ้นจากร่างกายมีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น โดยฮอร์โมนนี้จะมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบางอย่าง รวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะอาหาร (ส่วนล่างของหลอดอาหารที่เชื่อมต่อกับกระเพาะอาหาร) ซึ่งปกติหูรูดนี้จะมีหน้านี้ปิดเพื่อเก็บกักอาหารและกรดไว้ในกระเพาะอาหาร
ในการบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก ให้พยายามรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ให้บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมัน เผ็ด รสเปรี้ยว
ริดสีดวงทวารหนัก
มีการบวมของเส้นเลือดรอบๆ ทวารหนัก เส้นเลือดอาจขยายตัวขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะมีเลือดไปเลี้ยงที่บริเวณนี้มากขึ้นและมีแรงกดเบียดเพิ่มขึ้นจากมดลูกที่ขยายตัวขึ้น
จะมีอาการคัน เจ็บ รู้สึกไม่สบายได้ ในการบรรเทาอาการ แนะนำให้นั่งในน้ำอุ่น หากอาการไม่ดีขึ้น ให้ปรึกษาแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาเพื่อรับยาทาชนิดขี้ผึ้งทาบริเวณที่มีอาการ
รู้สึกเด็กดิ้นครั้งแรก (Quickening)
มารดาจะเริ่มรู้สึกเด็กดิ้นครั้งแรก (Quickening) ในช่วงกลางของการตั้งครรภ์ (20 สัปดาห์) โดยมารดาจะเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวภายในช่องท้อง ถ้าคุณไม่รู้สึกว่าเด็กดิ้นในช่วงเวลานี้ ยังไม่ต้องกังวล เพราะมารดาบางรายก็ไม่รู้สึกว่าเด็กดิ้นจนกว่าจะเข้าสู่เดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง
เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป จะมีการเพิ่มขึ้นของเม็ดสีเมลานิน (melanin) ทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลบนใบหน้า หรือฝ้าสีน้ำตาล เราเรียกว่า mask of pregnancy และถ้าเป็นที่หน้าท้องเรียก linea nigra
ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ผิวหนังควรค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปภายหลังการคลอดลูกแล้ว
นอกจากนี้ในช่วงเวลานี้ผิวหนังจะไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ดังนั้นก่อนออกแดด ให้ทาครีมกันแดดที่กันได้ทั้งยูวีเอ และยูวีบี (UVA/UVB) ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ก่อนออกนอกบ้าน และจำกัดเวลาที่สัมผัสแสงแดด โดยเฉพาะช่วง 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 2 สวมเสื้อผ้าแขนยาว กางเกงขายาว หมวกปีกกว้าง และแว่นกันแดด
สังเกตเห็นเส้นบางๆ สีม่วงแดงเป็นเส้นๆ อยู่บนหน้าท้อง เต้านม หรือต้นขา ซึ่งผิวหนังลายที่เกิดขึ้นเหล่านี้เกิดขึ้นจากผิวหนังขยายเพื่อรองรับท้องที่โตขึ้น แม้ว่าจะมีครีมและโลชั่นหลายชนิดอ้างว่าสามารถป้องกันหรือกำจัดผิวแตกลายเหล่านี้ได้
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยให้ผิวหนังนุ่มขึ้นและลดอาการคันได้ ส่วนใหญ่ของลายหน้าท้องควรจะหายไปภายหลังการคลอดลูกแล้ว
น้ำหนักเพิ่ม
อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน มักจะดีขึ้นหลังสิ้นสุดไตรมาสแรก ซึ่งคุณจะเริ่มมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
แม้ว่าอาหารจะดูน่ารับประทานมากขึ้น แต่ให้ตระหนักถึงปริมาณอาหารที่รับประทานด้วย
เนื่องจากคุณต้องการปริมาณพลังงานเพิ่มเพียง 300-500 แคลอรี่ต่อวันในช่วงไตรมาสที่สองเท่านั้น และน้ำหนักตัวควรเพิ่มประมาณ 0.22-0.45 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
มองเห็นเส้นเลือดฝอย spider vein และเส้นเลือดขอด
ระหว่างการตั้งครรภ์ ระบบไหลเวียนเลือดจะส่งเลือดไปยังทารกที่กำลังเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเลือดส่วนเกินจะทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดฝอยรวมกันเป็นกลุ่มสีแดง มองเห็นที่ผิวหนัง หรือเรียกว่า spider veins
โดยเส้นเลือด spider veins นี้จะค่อยๆ หายไปเมื่อคลอดลูกแล้ว
แรงกดที่ขาที่มาจากการเติบโตของทารกจะลดการไหลเวียนของเลือดที่ส่วนล่างของร่างกายลดลง ทำให้เส้นเลือดที่ขาบวมและมองเห็นเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วงที่เส้นเลือด เราเรียกว่า เส้นเลือดขอด
แม้ว่าคุณจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดเส้นเลือดขอดได้ แต่คุณสามารถป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงได้ โดยการเคลื่อนไหวร่างกายตลอดวัน และยกขาวางไว้บนเก้าอี้เมื่อต้องนั่งเป็นเวลานาน เส้นเลือดขอดจะดีขึ้นภายใน 3 เดือนหลังจากคลอดลูกแล้ว
ไตรมาสที่ 1 (อายุครรภ์ 1-3 เดือน)
การเปลี่ยนแปลง
เลือดออกทางช่องคลอด (Vaginal Bleeding)
ประมาณ 25% ของหญิงตั้งครรภ์มีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย
เลือดที่ออกเพียงเล็กน้อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์นี้อาจเป็นสัญญาณของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วมีการฝังตัวที่มดลูก
ถ้ามีเลือดออกปริมาณมาก ปวดเกร็งช่องท้อง ให้ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการแท้ง หรือการท้องนอกมดลูก
เจ็บคัดตึงเต้านม
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งจะเป็นการเตรียมท่อน้ำนมสำหรับให้นมลูก
การใส่ยกทรงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะช่วยให้คุณรู้สึกสบายตัวมากขึ้น คุณสามารถกลับไปใช้ยกทรงแบบเดิมได้ภายหลังลูกหย่านมแล้ว
ท้องผูก
ระหว่างการตั้งครรภ์ การบีบตัวของกล้ามเนื้อเพื่อดันให้อาหารไปยังลำไส้ทำงานช้าลง เนื่องมาจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น
การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงและดื่มน้ำมากๆ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการ
การได้รับธาตุเหล็กเพิ่มจากวิตามินเสริมระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้มีอาการท้องผูกและเกิดแก๊สขึ้น
ตกขาว
สำหรับแม่ท้องที่ตกขาวมากระหว่างตั้งครรภ์นั้น เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมน การมีตกขาวมากในคุณแม่ท้องเป็นเพียงกลไลของการปรับตัวตามปกติ
แต่พอหลังคลอดก็จะเข้าสู่ภาวะปกติและหายไปเอง
เกิดจากมีเลือดมาคั่งมากในช่องคลอดที่บริเวณคอมดลูก ต่อมต่างๆ ในคอมดลูกทำงานมากขึ้นและมีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอดมากขึ้น เมื่อหลุดออกมาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นผลให้เซลล์สลายออกเกิดเป็นตกขาวได้
ถ้าตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีสีเหลือง หรือมีมากผิดปกติ ให้ปรึกษาแพทย์
อยากอาหารหรือไม่ชอบอาหารบางชนิด
60% ของหญิงตั้งครรภ์รู้สึกอยากอาหาร และมากกว่าครึ่งหนึ่งเคยมีอาการไม่ชอบอาหารบางชนิด
ความรู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปริมาณพลังงานเหมาะสม
ปัสสาวะบ่อย
แม้ว่าทารกในครรภ์จะตัวเล็ก แต่มดลูกจะมีการขยายขนาดขึ้นตลอดเวลา ทำให้มีแรงกดไปที่กระเพาะปัสสาวะ ดังนั้นสุดท้ายแล้วคุณจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย
อย่าหยุดดื่มน้ำ เพราะร่างกายยังต้องการน้ำ แต่ให้ลดปริมาณคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะได้
โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนอน เมื่อคุณรู้สึกปวดปัสสาวะ ให้ไปปัสสาวะให้เร็วที่สุด ไม่ต้องกลั้นไว้
แสบร้อนกลางอก
ระหว่างการตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมากขึ้น ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ รวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดที่หลอดอาหารส่วนล่าง ซึ่งปกติจะมีหน้าที่ช่วยให้อาหารและกรดยังคงถูกเก็บไว้ในกระเพาะอาหาร
เมื่อกล้ามเนื้อนี้คลายตัวลงจะทำให้กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นมาได้ ทำให้มีอาการแสบร้อนกลางอกขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการนี้ ให้รับประทานอาหารให้บ่อยครั้ง แต่ปริมาณน้อยลง
ไม่นอนราบลงทันทีภายหลังรับประทานอาหาร
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง รสเผ็ด และผลไม้ที่เป็นกรด เช่น มะนาว
อารมณ์แปรปรวน
อาการอ่อนเพลีย และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายจะทำให้คุณมีอารมณ์แปรปรวน อาจรู้สึกเบื่อหน่าย หวาดกลัว หรืออื่นๆ ในช่วงนี้
สามารถร้องไห้ได้ เพื่อให้อาการดีขึ้น แต่ถ้าคุณรู้สึกแย่ หวาดกลัว หรืออื่นๆ ควรหาผู้รับฟังที่เข้าใจ
คลื่นไส้
พบได้มากถึง 85% ของหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
อาจมีอาการตลอดช่วงไตรมาสแรก ในหญิงตั้งครรภ์บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจไม่สามารถเริ่มต้นทำกิจกรรมในวันนั้นได้เลยถ้ายังไม่ได้อาเจียนก่อน
ส่วนใหญ่อาการจะเป็นมากช่วงเช้า จึงเรียกว่า morning sickness หรือเรียกอีกอย่างว่า อาการแพ้ท้อง
ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้ ให้ลองรับประทานแครกเกอร์ หรือดื่มน้ำผลไม้ใส เช่น น้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำขิง เพื่อบรรเทาอาการ
โดยทั่วไปอาการคลื่นไส้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องกังวล แต่ถ้ามันยังคงมีอยู่หรือมีอาการรุนแรง จะส่งผลต่อปริมาณสารอาหารที่จะไปสู่ทารก ดังนั้นให้ปรึกษาแพทย์หากไม่สามารถหยุดอาเจียนได้
น้ำหนักเพิ่ม
การตั้งครรภ์ถือเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่ช่วงที่น้ำหนักตัวเพิ่มในช่วงนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้หญิง แต่ก็ไม่ควรเพิ่มมากเกินไป ในช่วงไตรมาสแรก ควรมีน้ำหนักเพิ่มประมาณ 1.4-2.7 กิโลกรัม (แพทย์อาจแนะนำตัวเลขน้ำหนักที่ควรเพิ่มเป็นตัวเลขอื่นได้ ถ้าก่อนตั้งครรภ์คุณมีน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานหรือมีน้ำหนักสูงเกินกว่ามาตรฐาน)
แม้ว่าในร่างกายของจะมีทารกอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรับประทานอาหารปริมาณมากสำหรับสองคน จริงๆ แล้วต้องการพลังงานเพิ่มเพียง 150 แคลอรี่ต่อวัน
ระหว่างช่วงไตรมาสแรกนี้ และให้พลังงานที่ได้รับนั้นเป็นพลังงานจากอาหารที่เป็นประโยชน์ กล่าวคือ ให้เพิ่มผัก ผลไม้ นม ขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เป็นส่วนประกอบของมื้ออาหาร
ไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์7-9เดือน)
เจ็บครรภ์เตือน(False labor pain)
อาการเจ็บครรภ์เตือน
เกิดขึ้นไม่สม่ำเสมอ
ระยะห่างยังคงห่างๆเหมือนเดิม
ความแรงยังคงเหมือนเดิม
รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อยเป็นส่วนใหญ่
บรรเทาอาการได้ด้วยยาแก้ปวด
ปากมดลูกไม่เปิดขยาย
ปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการเจ็บครรภ์เตือนเป็นถี่
คุณแม่เคลื่อนไหวของทารก
คุณแม่ยกของหนัก
คุณแม่สัมผัสที่ท้อง
คุณแม่มีเพศสัมพันธ์
คุณแม่ดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายขาดน้ำ
แม่ตั้งครรภ์ทำอย่างไรเมื่อมีอาการเจ็บครรภ์เตือน
เมื่อมีอาการเจ็บครรภ์เตือนถี่มากกว่าปกติ แนะนำให้คุณแม่พักผ่อน ด้วยการนอนหรือนอนตะเเคงซ้าย งดกิจกรรมที่ต้องออกแรหรือตื่นเต้น
หายใจเข้าออกลึกๆเพื่อให้ลูกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและคุณแม่ผ่อนคลายลดการหดเกร็งของมดลูก
ไม่กลั้นปัสสาวะ ควรเข้าห้องน้ำเลยทันทีที่มีปวดปัสสาวะ การมีปัสสาวะขังในกระเพาะปัสสาวะปริมาณมากจะไปดันกับผนังมดลูกทำให้หดรัดตัวถี่ขึ้น
เจ็บครรภ์จริง (True labor pain)
อาการการเจ็บครรภ์จริง
เกิดขึ้นสม่ำเสมอ
ระยะห่าง (interval) ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ความแรง (intensity) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รู้สึกปวดบริเวณหลังและท้อง
ไม่สามารถบรรเทาการปวดด้วยยาแก้ปวด
มีการเปิดขยายของปากมดลูก
อาการที่เตือนว่ากำลังจะคลอดควรไปโรงพยาบาลทันที
เจ็บครรภ์ถี่ สม่ำเสมอ ท้องเเข็งหรือมดลูกหดรัดตัวทุกๆ 30 วินาที และแต่ละครั้งกินเวลานานกว่า 1 นาที
มีมูกเลือด ออกทางช่องคลอด
มีน้ำเดิน บางครั้งอาจจะคล้ายปัสสาวะไหลไม่หยุด บางคนถุงน้ำคร่ำแตกอาจมีเสียงดังโพล๊ะ เหมือนลุกโป่งบรรจุน้ำแตก
หากมีอาการ แค่ 1 ใน 3 ข้อนี้ ให้รีบไปโรงพยาบาลได้เลยไม่ต้องรอให้ครบทั้ง3 อาการนะคะ คุณแม่ที่อายุครรภ์ 35 สัปดาห์ขึ้นไปควรมีการเตรียมความพร้อมไวเสมอ จัดกระเป๋าสัมพาระในการไปคลอดให้พร้อมเพรียง เพราะเมื่อถึงวินาทีจริงอาจจะตื่นเต้น กลัว ตกใจ จนทำอะไรไม่ถูกได้
การเปลี่ยนแปลง
ปวดหลัง
น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ทำให้เกิดแรงกดไปที่หลัง ทำให้รู้สึกเจ็บและปวดได้ อาจรู้สึกถึงความสบายตัวที่บริเวณกระดูกเชิงกรานและสะโพกเพราะว่าเส้นเอ็นบริเวณนั้นมีการคลายตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูก ในการลดแรงกดไปที่หลัง
แนะนำให้ฝึกท่าทางของร่างกายให้เหมาะสม โดยการนั่งหลังตรงและนั่งบนเก้าอี้ที่รองรับส่วนหลังได้เป็นอย่างดี การนอนหลับตอนกลางคืน ให้นอนตะแคงข้างโดยให้วางหมอนไว้ระหว่างขา สวมรองเท้าส้นเตี้ย สวมใส่สบาย และรองรับน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี ในการบรรเทาอาการปวดหลัง ให้ใช้การประคบร้อน และให้สอบถามแพทย์ก่อนว่าคุณสามารถรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้หรือไม่
เลือดออกทางช่องคลอด
เลือดออกทางช่องคลอด บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะร้ายแรง ได้แก่ ภาวะรกเกาะต่ำ (placenta previa), ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption) คือรกแยกตัวออกจากผนังมดลูก หรือ การคลอดก่อนกำหนด (preterm labor) ดังนั้นให้ไปพบแพทย์ทันทีที่พบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด
หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น
เมื่อสิ้นสุดการตั้งครรภ์ หน้าอกจะใหญ่ขึ้นประมาณ 0.90 กิโลกรัม โดยในช่วงนี้ให้สวมใส่ยกทรงที่รองรับหน้าอกได้เป็นอย่างดี หากใกล้วันครบกำหนดคลอด คุณอาจเริ่มสังเกตเห็นของเหลวสีเหลืองออกมาจากหัวนมของคุณ เราเรียกของเหลวนี้ว่า น้ำนมเหลือง (colostrum) ซึ่งเป็นแหล่งของสารอาหารสำหรับทารกในช่วงไม่กี่วันแรกหลังคลอด
ตกขาว
คุณอาจเห็นตกขาวทางช่องคลอดในช่วงไตรมาสที่สามนี้ หากตกขาวที่เกิดขึ้นที่ช่วงนี้มีมากเกินไปจนซึมผ่านกางเกงในของคุณ แนะนำให้ไปพบแพทย์ เมื่อใกล้วันครบกำหนดคลอด คุณอาจเห็นตกขาวเหนียว, ใส, หรือมีเลือดปนมากับตกขาว
มูกปากมดลูกที่หลุดออกมา ซึ่งเป็นสัญญาณของปากมดลูกที่คลายตัวเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด หากคุณพบน้ำคร่ำไหลอย่างกะทันหัน นั่นหมายความว่าน้ำคร่ำแตกแล้ว (ประมาณ 8 % ของหญิงตั้งครรภ์จะมีน้ำคร่ำแตกก่อนที่มีจะมีการบีบตัวเกิดขึ้น) หากพบว่าน้ำคร่ำแตก ให้ไปพบแพทย์ทันทีให้ไวที่สุด
อาการอ่อนเพลีย
แม้ว่าในช่วงไตรมาสที่สองคุณจะรู้สึกดีขึ้น รู้สึกมีเรี่ยวแรง แต่อาการอ่อนเพลียจะกลับมาอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่สามนี้เอง น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การตื่นกลางดึกหลายครั้งเพื่อไปเข้าห้องน้ำ และการจัดการกับความวิตกกังวลในการเตรียมตัวสำหรับทารกที่กำลังจะเกิด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อระดับพลังงานของหญิงตั้งครรภ์ ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย
แนะนำให้รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกมีพละกำลังมากขึ้น หากคุณรู้สึกอ่อนเพลีย แนะนำให้ลองงีบหลักสักครู่หนึ่ง หรืออย่างน้อยให้นั่งลง และผ่อนคลายซักครู่หนึ่ง
ปัสสาวะบ่อย
ในตอนนี้ทารกของคุณจะตัวใหญ่ขึ้นมาก โดยทารกอาจจะมีการกลับหัวลงมาที่บริเวณกระเพาะปัสสาวะของคุณ แรงกดที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้คุณรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน คุณอาจพบปัสสาวะเล็ดราดขณะไอ จาม หัวเราะ หรือออกกำลังกายได้
แนะนำให้เข้าห้องน้ำทุกครั้งที่รู้สึกปวดปัสสาวะและปัสสาวะให้สุดในแต่ละครั้งที่ปัสสาวะ ให้หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำทันทีก่อนนอน เพื่อลดโอกาสการเข้าห้องน้ำกลางดึก สวมใส่ผ้าอนามัยเพื่อดูดซับปัสสาวะเล็ดราดที่อาจเกิดขึ้น หากคุณรู้สึกเจ็บ แสบขณะปัสสาวะ แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้
บวม
อาจสังเกตเห็นข้อเท้าและใบหน้าของคุณบวมขึ้น อาการบวมเล็กน้อยนี้เป็นผลมาจากของเหลวส่วนเกินคั่งในร่างกาย (บวม) ในการลดอาการบวม ให้วางเท้าบนเก้าอี้ หรือกล่อง ตลอดเวลาที่คุณนั่ง และนอนยกขาสูงขณะนอนหลับ ถ้าคุณมีอาการบวมอย่างกะทันหัน ให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนอันตรายขณะตั้งครรภ์
สืบค้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 จาก
https://www.honestdocs.co