Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหาร - Coggle Diagram

- - - - ลูเทอร์ กูลิคและลินดอลล์ เออร์วิค
        (Luther Gulick and LyndallUrwick)
        
        ได้เพิ่มกระบวนการบริหารที่ Fayol ให้ไว้ 5 ประการ เป็น 7 ประการ
        ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันในนามPOSDCoRB ได้รับความนิยม
      - เฮ็นรี่ ฟาโยล(Henry Fayol)
        
        เขาเชื่อว่าผู้บริหารจะประสบผลสําเร็จ
        หากเข้าใจหน้าที่พื้นฐานและหลักการบริหารดีพอ (POCCC)
        
        3)การบังคับบัญชาและสั่งการ (commanding)
        
        4) การประสานงาน (coordinating)
        
        2) การจัดองค์การ (organizing)
        
        5) การควบคุม (controlling)
        
        1) การวางแผน (planning)
        
        หลักการบริหารขึ้น 14 ประการที่จะทําให้ผู้บริหารประสบผลสําเร็จ
        
        1) หลักการแบ่งงานกันทํา (division of work) ตามความถนัด
        
        2) หลักการเกี่ยวกับอํานาจหน้าที่ในการบังคับบัญชา(authority) ควบคู่กับความรับผิดชอบ(responsibility)
        
        3) หลักการเกี่ยวกับมีระเบียบวินัย (discipline)
        
        4) หลักความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา(unity of command) ผู้ปฏิบัติรับคําสั่งจากผู้บังคับบัญชา
        
        5) หลักความเป็นเอกภาพในทิศทาง (unity of direction)
        
        6) หลักผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นรองผลประโยชน์ขององค์การเป็นหลัก(subordination of individual interest to general Interest)
        
        7) หลักความยุติธรรมต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง (remuneration)
        
        8) หลักการรวมศูนย์อํานาจ (centralization) ผู้บริหารมีอํานาจในการตัดสินใจ
        
        9) หลักการมีสายบังคับบัญชา (hierarchy/scalar chain) จากบนลงล่าง มีเส้นทางการติดต่อสื่อสาร
        
        10) หลักความเป็นระเบียบแบบแผน (order) ปฏิบัติควรรับผิดชอบงานหรืออยู่ในตําแหน่งที่เหมาะสม (right person should be inthe right place)
        
        11) หลักความเสมอภาค (equity)
        
        12) หลักความมั่งคงในการทํางาน (stability of staff)
        
        13) หลักความริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)
        
        14) หลักความสามัคคีหรือความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน (spirit de corps)
  - - - การจัดตารางสําหรับการควบคุมการปฏิบัติงานมาใช้ เป็นที่นิยมใช้กันถึงปัจจุบัน
    - - การทํางานด้วยการแบ่งงานออกตามความชํานาญเฉพาะด้านและแบ่งงานเป็นส่วนๆ (division of work) จะทําได้ดียิ่งขึ้น อย่างต่อเนื่อง
    - - เชื่อว่าปัญหาที่คนทํางานไม่เต็มศักยภาพนั้นแก้ไขด้วยการออกแบบงานและการจัดสิ่งจูงใจใหม่ๆ
        
        มีการวางแผนแทนที่จะให้คนงานเลือกวิธีการเอง
        
        คัดเลือกคนงานที่มีความสามารถแล้วฝึกอบรมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆร่วมกัน
        
        กําหนดวิธีการทํางานทดแทนการทําแบบลองผิดลองถูก
        
        แบ่งงานกันทําระหว่างผู้บริหารและคนงาน
  - - - แมกซ์ วีเบอร์ (Max Weber)
        
        เสนอทฤษฎีที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับ
        โครงสร้างขององค์การ
        ซึ่งเน้นการมีเหตุผลเป็นสําคัญ
        
        1) มีการแบ่งงานกันทํา (division of work)
        ตามความรู้ ความชํานาญ (specialization)
        
        2) มีการจัดระบบตําแหน่งหน้าที่ระดับสูงมายังระดับต่ำ(scalar chain)
        
        3) มีการกําหนดระเบียบข้อบังคับ กฎเกณฑ์ต่างๆ (rule, regulation and procedures)
        
        4) บุคลากรต่างทําหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ (impersonal) ไม่เป็นส่วนตัว อยู่ภายใต้กฏระเบียบ
        
        5) การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ (professional qualities)
        
        6) มีความก้าวหน้าในตําแหน่งหน้าที่ (career aspects) อาชีพมั่นคง
        
        7) มีอํานาจหน้าที่ (legal authority) ตามตําแหน่ง
- - - - ผู้ปฏิบัติงานจะขาดความคุ้นเคยกัน เพราะสภาพแวดล้อมของงานที่จัดไ้ว้
      - มีจิตสํานึกที่ดีในด้านความผูกพันทางใจ
      - มุ่งแสวงหาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกัน
        โดยอยู่ในกรอบของปรัชญาองค์การที่ระบุไว้
      - ผู้ปฏิบัติงานสามารถไว้วางใจได้ โดยทํางานไม่บกพร่อง
  - - - การให้อิสระ
      - การปฏิบัติต่อบุคลากรโดยเข้าใจใน
        ค่านิยม ความเชื่อ อารมณ์ ความรู้สึก
  - - - ควบคุมตนเองได้ ไม่ต้อง ควบคุมบังคับบัญชาและตรวจสอบ
      - แต่จูงใจให้ทํางาน
      - มีความรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
    - - ใช้วิธีบังคับข่มขู่
      - ควบคุมให้ทํางานตลอดเวลา
  - - - องค์การเป็นระบบของการร่วมแรงร่วมใจ เพื่อจะทํากิจกรรมอย่างใดอยางหนึ่งให้สําเร็จ วัตถุประสงค์สู่แนวทางการปฏิบัติด้วยการโน้มน้าวจิตใจ เป็นการจูงใจทางจิตใจมากกว่าการจูงใจทางด้านวัตถุ
  - - - มนุษย์มีความต้องการ อยู่ตลอดเวลาและไม่สิ้นสุด ความต้องการของมนุษยจะเป็นไปตามลำดับขั้นจาก ต่ำไปหาสูง
  - - - ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนทำงาน
        อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
        กับความรู้สึกซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยภายใน (Intrinsic)
      - ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factors) คือปัจจัย ที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจในการทำงานแต่ยังไม่พอที่จะนำไปใช้ในเเรงจูงใจถือว่าเป็นปัจจัยภายนอก ( Extrinsic)
- - - - เป็นระบบที่มีความสมบูรณ์ภายในตัวเองไม่พยายามผูกพันกับระบบอื่นใดและแยกคนจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคม ซึ่งเป็นจริงได้ยาก (ปิดกั้นตัวเองไว้ ไม่เปิดรับใครเข้ามา)
    - - เป็นระบบที่อาศัยการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคล องค์การหรือหน่วยงานอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่สมดุล
    - - ปัจจัยนําเข้า (Inputs)
      - 2.กระบวนการแปรสภาพ(Transformation Process)
      - 3.ผลผลิต (Outputs)
      - 4.ข้อมูลย้อนกลับ(Feed Back)
      - 5.สิ่งแวดล้อม
  - - - เปิดโอกาสให้ผู้ตามมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์
    - - เสนอแนวคิดผู้นําเชิงสถานการณ์ทฤษฎีเส้นทางเป้าหมาย (Path-goal Theory) มีความเห็นว่า
        
        ภาวะผู้นําเกี่ยวข้องกับการจูงใจ
        
        แบบของผู้นําขึ้นอยูกับสถานการณ์
        
        แรงจูงใจเป็นแรงผลักไปสู่เป้าหมายทั้งบุคคล องค์กร
    - - เสนอทฤษฎีภาวะผู้นําตามสถานการณ์
      - รูปแบบผู้นํา 4 รูปแบบ
        
        S2 คือ การสอนงาน (Coaching)
        
        S3 คือ การสนับสนุน (Supporting)
        
        S1 คือ การออกคําสั่ง (Direction)
        
        S4 คือ การมอบหมายงาน (Delegating)
      - แบ่งระดับความพร้อมของผู้นํา 4 ระดับ
        
        R2 หมายถึง ไม่มีความสามารถ แต่ เต็มใจที่จะทํา
        
        R3 หมายถึง มีความสามารถ แต่ ไม่มีความเต็มใจที่จะทํา
        
        R1 หมายถึง ไม่มีความสามารถต่ำ
        
        R4 หมายถึง มีความสามารถ และเต็มใจที่จะทํา
  - - - เน้นการออกแบบ
        และการนําเอาระบบข้อมูลสารสนเทศ โดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อการบริหาร
    - - เป็นทฤษฎีสมัยใหม่ที่พัฒนามาจากทฤษฎีการ
        จัดการ เน้นการใช้แนวทางเชิงปริมาณเข้าช่วยในการตัดสินใจ ทั้งนี้เพราะฝ่ายจัดการซึ่งมีความจําเป็นต้องมีข้อมูลข่าวสารมากขึ้นและข้อมูลต้องมีคุณภาพดี
    - - เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจให้แก่ผู้บริหาร ซึ่ง
        ปัจจุบันวิธีนี้แพร่หลายมากแม้ในการบริหารการพยาบาล
  - - - 2) กลยุทธ์ (strategy)
      - 3) ระบบ (system)
      - 1) โครงสร้าง (structure)
    - - 2) บุคลากร (staff) หมายถึง คุณลักษณะของบุคลากร
      - 3) ทักษะ (skills) หมายถึง ความสามารถเด่น
      - 1) แบบการบริหาร (style) หมายถึง ลักษณะพฤติกรรมของผู้บริหารในองค์การที่รู้งานและทํางานอย่าง จริงจัง
      - 4) ค่านิยมร่วม (shared values) หรือเป้าหมายสูงสุด
  - - - บุคลากรที่มีความรอบรู้ (personal mastery)
      - รูปแบบความคิด (mental models)
      - วิสัยทัศน์ร่วม (shared vision)
      - การเรียนรู้เป็นทีม (team learning)
      - ความคิดเป็นระบบ (system thinking)
    - - การตั้งเป้าหมายที่ทำทายและแสวงหาแนวทางในการบรรลุเป้าหมายนั้น (Setting ambitious targets and achieving them)
      - 2.การมีค่านิยมร่วมกันของบุคลากรทั่วทั้งองค์การ (Shared values)
      - 3.การมุ่งเน้นที่ยุทธศาสตร์และการทําให้ทั่วทั้งองค์การดําเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน (Strategic focus and alignment)
  - - - (1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ(professional core)
      - (2) กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายนอก(outsourcing vendors)
      - (3) กลุ่มพนักงาน
    - - ศึกษาถึงกฎเกณฑ์และคุณสมบัติของปรากฏการณ์ทางวัตถุ ในทางฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ที่มักเกิดความยุ่งเหยิงขนาดเล็ก ๆ ขึ้น
    - - SMALL : จิ๋วเเต่เเจ๋ว องค์การสมัยใหม่จะมีขนาดเล็กลงเเต่มีคุณภาพมากขึ้น
      - SMART : ฉลาดทรงภูมิปัญญา องค์การสมัยใหม่มุ่งสู่ความเฉลียวฉลาด มีความเเปลกใหม่ มีนวัตกรรมใหม่
      - SMILE : ยิ้มเเย้มเปี่ยมน้ำใจ องค์การที่มีความสุข
      - SMOOTH : ความร่วมมือไร้ความขัดเเย้ง องค์การไม่มีความขัดเเย้งเเละมีการผนึกความร่วมมือ
      - SIMPLIFY : ทําเรื่องยากให้ง่ายเเละรวดเร็ว องค์การต้องปรับปรุงให้ง่ายขึ้น
    - - คน (man) ก่อให้เกิดผลสําเร็จทั้งปริมาณและคุณภาพของงานเครื่องจักร (machine) ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าเงินทุน (money) หล่อเลี้ยงให้กิจกรรมขององค์กรดําเนินไปโดยไม่ติดขัดและวัสดุสิ่งของ (material)