Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิวัฒนาการและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหาร, นางสาวณัฎฐา ชวนชม เลขที่24 รหัส…
วิวัฒนาการและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหาร
1.ทฤษฎีการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) :
เกิดช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็วมีความสลับซับซ้อนใช้วิธีตั้งปัญหาและหาแนวทางเพื่อไปสู่จุดหมายที่ต้องการ
1.1 เฟรดเดอริควินสโลว์ เทเลอร์ (Frederick winslowtaylor) เชื่อว่าปัญหาที่คนทำงานไม่เต็มศักยภาพสามารถแก้ไขได้ด้วยการออกแบบงานและการจัดสิ่งจูงใจใหม่ๆโดยเสนอหลักที่สำคัญไว้ 4 ประการคือ
1) กำหนดวิธีการทำงานทดแทนการทำแบบลองผิดลองถูก
2) มีการวางแผนแทนที่จะให้คนงานเลือกวิธีการเอง
3) คัดเลือกคนงานที่มีความสามารถแล้วฝึกอบรมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆร่วมกัน
4) ใช้หลักแบ่งงานกันทำระหว่างผู้บริหารและคนงาน“ การกำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด "(One Best Way)
1.3 แฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ (Frank Bunker Gillbreth) ทำการศึกษาความเคลื่อนไหว ความเบื่อหน่ายและผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีคนงาน สนับสนุนแนวคิดของเทเลอร์ โดยการจัดทำภาพยนตร์แสดงความเคลื่อนไหวของคนงานในการทำงาน สรุปได้ว่าการทำงานด้วยการแบ่งงานออกตามความชำนาญเฉพาะด้านและแบ่งงานเป็นส่วนๆจะทำให้งานออกมาดีและถ้าได้มีการวิเคราะห์งานอย่างละเอียดถี่ถ้วนให้ทำงานต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งทำให้เกิดงานแบบประจำ
1.4 ลิเลียน กิลเบรธ (Lilian Gillbreth) ศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยา เป็นศาสตร์ช่วยส่งเสริมงานด้าน Mictior Studies ให้ดียิ่งขึ้นเมื่อเรียนสำเร็จปริญญาเอก ทั้งคู่ร่วมมือกันศึกษาการบริหารโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมที่มีการศึกษาเป็นแบบแผน
2 เฮนรี่ แก๊นต์ (Henry L Gantt)นำเอาเทคนิคการจัดตารางสำหรับการควบคุมการปฏิบัติงานมาใช้เพื่อปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานเป็นลักษณะตารางเส้นตรงที่กำหนดเวลาในอนาคตไว้ในแนวนอนและงานที่ปฏิบัติไว้ในแนวตั้ง
2.ทฤษฎีการจัดการเชิงบริหาร(Administrative management) :.ใช้วิธีบริหารตัวองค์กรให้มีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการ คือ ให้ผู้บริหารเป็นผู้ประสานกระบวนการต่างๆ
2.1.เฮ็นรี่ ฟาโยล เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดเกี่ยวกับการจักการเชิงบริหาร โดยได้ระบุหน้าที่พื้นฐานที่ผู้บริหารต้องปฏิบัติไว้ 5 ประการ(POCCC) คือ
1.การวางแผน (Planning) ผู้บริหารจะต้องคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อเป็นแนวทางของการทำงานต่อไป
2.การจัดองค์กร (Organizing) ผู้บริหารจะต้องกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์กร
3.การบังคับบัญชาและสั่งการ (Commanding) ผู้บริหารจะต้องสั่งงานโดยจะต้องมีความเข้าใจคน เข้าใจงาน
4.การประสานงาน (Coordinating) ผู้บริหารทำหน้าที่ประสานหรือเชื่อมโยงงานต่างๆให้เข้ากันได้
5.การควบคุม (Controlling) หน้าที่ในการติดตามผล ดูแล กำกับให้ดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้
พัฒนาหลักการบริการขึ้น 14 ประการที่จะทำให้ผู้บริหารประสบผลสำเร็จ
1.การแบ่งกันทำงานตามความถนัด
2.การเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการบังคับบัญชาควบคู่กับความรับผิดชอบ
3.การมีระเบียบวินัย
4.ความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา
5.ความเป็นเอกภาพในทิศทาง
6.ยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
7.ความยุติธรรมทั้งต่อนายจ้างและลูกจ้าง
8.การรวมศูนย์อำนาจ
9.การมีสายบังคับบัญชา จากบนลงล่าง
10.ความเป็นระเบียบแบบแผน
11.ความเสมอภาค เป็นมิตร
12.ความมั่นคงในการทำงาน
13.ความริเริ่มสร้างสรรค์
14.ความสามัคคี
2.2.ลูเทอร์ กูลิคและลินดอล์เออร์วิค ได้เพิ่มกระบวนการบริการที่ Fayol ให้ไว้ 5 ประการ เป็น 7 ประการและเป็นที่รู้จักกันในนาม POSDCoRB ซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน ในปี 1980 อานและอัคคาเบย์ ได้กำหนดกระบวนการบริหารการพยาบาลไว้ 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การจัดองค์กร กำอำนวยการ และการควบคุม ในปี 1997 มารีนเนอร์ เห็นว่าบางขั้นตอนซ้ำซ้อนจึงปรับลดลงให้เหลือ 5 ขั้นตอนคือ การวางแผน การจัดองค์กร การจัดบุคลากรอำนวยการและการควบคุม
3.ทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy) : เป็นทฤษฎีที่ใช้ในระบบราชการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
แมกซ์ วีเบอร์ นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน เสนอทฤษฎีที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างขององค์กร ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 7 ประการดังนี้
1.มีการแบ่งงานกันทำตามความรู้ ความสามารถ
2.มีการจัดระบบตำแหน่งหน้าที่ตามสายบังคับบัญชาจากบนลงล่าง
3.มีการกำหนดระเบียบข้อบังคับ กฎเกณฑ์ต่างๆ
4.บุคคลากรต่างทำหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการ
7.มีอำนาจหน้าที่ตามตำแหน่ง
5.การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ
6.มีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่
4.ทฤษฎีการบริหารยุคนีโอคลาสิก (NEO-Classical Theory) : เน้นลักษณะและผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนในองค์การ โดยใช้พฤติกรรมศาสตร์ (behavior theory) บางคนเรียกว่า เป็นการบริหารงานตามแนวมนุษย์สัมพันธ์ (human relations approach) ซึ่งมีแนวคิดจากนักวิชาการ ดังนี้
แมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor) เจ้าของทฤษฎีเอ็กซ์และวาย (X and Y theory) ได้วางหลักสมมติฐานเกี่ยวกับคนเป็น 2 แนวตรงกันข้ามกัน คือ ขยันกับเกียจคร้าน แต่การที่เขาจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่ที่ตัวผู้บังคับบัญชาจะมีความเชื่อและปฏิบัติต่อเขาภายใต้ทฤษฎีใด
ทฤษฎีเอ็กซ์ คือคนประเภทเกียจคร้าน ในการบริหารจึงควรใช้มาตรการบังคับ มีระเบียบกฎเกณฑ์คอยกำกับ มีการควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิด และมีการลงโทษเป็นหลัก
ทฤษฎีวาย คือคนประเภทขยัน ควรมีการกำหนดหน้าที่การงานที่เหมาะสม ท้าทายความสามารถ สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเชิงบวก และควรเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการบริหารงาน
3.วิลเลี่ยม กูซี่ (William G. Quchi) เป็นแนวคิดให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการตัดสินใจบริหาร (participation of the participants in decision making) ทฤษฎีแซด
1) ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่มุ่งแสวงหาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกัน โดยอยู่ในกรอบของปรัชญาขององค์การที่ระบุไว้
2) ผู้ปฏิบัติงานจะขาดความคุ้นเคยกัน เพราะสภาพแวดล้อมของงานที่จัดไว้ ทำให้เกิดช่องว่างของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกโดยไม่จำเป็น
3) ผู้ปฏิบัติงานต่างก็มีจิตสำนึกที่ดีในด้านความผูกพันทางใจ ความรัก ความสามัคคีอยู่แล้ว
4) ผู้ปฏิบัติงานสามารถไว้วางใจได้ โดยทำงานไม่บกพร่อง ผู้บริหารเพียงแต่เอาใจใส่ ดูแลสวัสดิภาพ และความเป็นอยู่ได้ดีเท่านั้น
ผู้บริหารยินยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตามได้มีส่วนร่วมคิดพิจารณาและตัดสินใจในการบริหารในแต่ละสถานการณ์ ได้ทั้งงานและได้ทั้งใจคนไปพร้อมกัน ตรงกับคำว่า management by objectives หรือ MBO
4.เชสเตอร์ บาร์นาร์ด (Chester l. Barnard.1938) ทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์
• เป็นบิดาแห่งบริการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
• มีแนวคิดเกี่ยวกับองค์กรไว้ว่าองค์กรเป็นระบบของการร่วมแรงร่วมใจ เพื่อจะทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จด้วยความร่วมแรงร่วมใจ
• สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการติดต่อสื่อสารเพื่อความเข้าใจในวัตถุประสงค์สู่แนวทางการปฏิบัติด้วยการโน้มน้าวทางจิตใจ
อับราฮัม มาสโลว์(Abraham Maslow)
นักจิตวิทยาที่ค้นเรื่องลำดับขั้นของความต้องการของมนุษย์มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาไม่สิ้นสุด
ความต้องการของมนุษย์ตามลำดับขั้นจากต่ำไปสูง
ความต้องการทางด้านร่างกาย
2.ความต้องการทางด้านความปลอดภัย
ความต้องการทางด้านสังคม
ความต้องการทางด้านความสมหวังในชีวิต
ความต้องการทางด้านการยกย่อง
6.เฟรเดริคเฮิร์ซเบิร์ก(Frederick Herzberg) ให้ความสำคัญกับความต้องการของมนุษย์ แบ่งปัจจัย เป็น 2 ปัจจัย
เป็นแนวคิดในการบริหารคน ที่ปัจจุบันผู้บริการนำมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจและขวัญกำลังใจแก่ลูกน้องใต้บังคับบัญชา
1.ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนทำงานอย่างมีความสุขและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ถือว่าเป็น ปัจจัยภายใน (Intrinsic)
2.ปัจจัยค้ำจุน ( Hygiene Factors) ก่อให้เกิดความพอใจในการทำงานแต่ไม่พอที่จะนำไปใช้ในการชักจูง ถือเป็น ปัจจัยภายนอก(Extrinsic)
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นผู้วางรากฐานทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ พบว่าว่าผลผลิตจะเพิ่มสูงได้นั้น ความสำคัญอยู่ที่ปัจจัยด้านจิตวิทยาและปัจจัยทางสังคม ผู้บริหารทุกคนจึงต้องสนใจความรู้สึกของผู้ทำงานด้วยงานจึงจะสำเร็จได้ การปฏิบัติต่อบุคลากรโดยเข้าใจในค่านิยม ความเชื่อ อารมณ์ ความรู้สึกของบุคคล ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการให้การพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
ทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ (Modern Theory) : แนวคิดยุคนี้ เชื่อว่า การทำงานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม (team) และงานเหล่านั้นจะต้องจัดเป็นระบบ (system) ขั้นตอนสัมพันธ์กัน และระบบจะดีได้ต้องพัฒนาคนให้เป็นคนดี สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีหลักการ เพื่อพัฒนาโครงสร้างและนโยบายหน่วยงานต่อไป
ทฤษฎีระบบ (System theory) Bertalanffy บิดาแห่งระบบทั่วไป ซึ่งเห็นว่าโลกประกอบด้วยระบบต่างๆ มีลำดับชั้น ซึ่งมีทฤษฎีระบบ องค์ประกอบ 5 ส่วน คือ ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) ผลผลิต (Outputs) ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back) และสิ่งแวดล้อม ซึ่งองค์การ แบ่งเป็น
ระบบปิด (Close system) คือ ระบบที่พึ่งตนเองได้ สมบูรณ์ภายในตัวเอง แยกจากระบบอื่นในสังคม ซึ่งความจริงเป็นไปได้ยาก
ระบบเปิด (Open system) คือ ระบบพึ่งพาสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด อาศัยการติดต่อกับบุคคล องค์การและหน่วยงานอื่นๆ ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่สมดุลซึ่งกันและกัน
การบริหารพยาบาล องค์การพยาบาลจะนำปัจจัย เช่น การรวบรวมข้อมูล ทรัพยากรบุคคล เงิน เครื่องมือ มาดำเนินจัดการ วางแผน ซึ่งออกมาเป็นการบริหารการพยาบาลที่มีคุณภาพ และใช้หลักการประเมินผลออกมา เพื่อให้องค์การเคลื่อนที่ตลอดเวลา
ทฤษฎีบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory) เป็นการบริหารไม่ตายตัว ใช้เทคนิคหลายๆอย่างมารวมกัน แต่เริ่มด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ และจบด้วยการด้วยการหาทางเลือก เพื่อแก้ปัญหา การประเมินทางเลือก และให้ข้อเสนอแนะทางเลือกที่ดีที่สุด ผู้บริหารการพยาบาลที่ยึดทฤษฎี สามาระวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะ ของแต่ละสถานการณ์นั้น เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ ทรัพยากร เป้าหมาย ผู้ปฏิบัติงาน แต่ต้องคำนึงอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก
2.1 ฟีดเลอร์พัฒนารูปแบบจำลอง “ความเป็นผู้นำตามสถานการณ์” ซึ่งเห็นถึงผลกระทบของสถานการณ์ที่มีต่อความเป็นผู้นำ ซึ่งมีตัวแปร ได้แก่ อำนาจหน้าที่ตามตำแหน่ง การยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชา และโครงสร้างของงาน ฟีดเลอร์ใช้ครื่องมือ Least Preferred Co-worker : LPC ประเมินรูปแบบผู้นำเน้นความสัมพันธ์หรือเน้นงาน ฟีดเลอร์เชื่อว่ารูปแบบภาวะผู้นำไม่เปลี่ยน ดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนสถานการณ์ให้เข้ารูปแบบภาวะผู้นำ
2.2 วรูม และเยตัน เสนอทฤษฎีความเป็นผู้นำเชิงสถานการณ์ Leader Participation Model คือ เน้นการเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของผู้นำ โดยให้ผู้ตามมีส่วนรวมในการตัดสินใจซึ่งจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ วรูมเสนอทฤษฎีการตัดสินใจ ว่าผู้บังคับบัญชาอาจฟังความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วนำมาประกอบการตัดสินใจหรือแจ้งปัญหาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเฉพาะที่เกี่ยวทราบ นำเอาข้อคิดเห็นของที่ประชุมกลุ่มมาประกอบการตัดสินใจ หรือประชุมองค์การ แถลงปัญหาให้ที่ประชุมแสดงความคิดเห็น แล้วหาข้อยุติมาประกอบการตัดสินใจ
4 เฮร์เซย์และแบลนชาร์ด (Hersey and Blanchard) ทฤษฎี“ วงจรชีวิต "ของเฮร์เซย์และแบลนชาร์ดเสนอทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์ (Situational Leadership Theory: SLT) แบ่งระดับความพร้อมของผู้ตามเป็น 4 ระดับโดยเรียงลำดับต่ำสุดไปสู่สูงสุด
R1 หมายถึงไม่มีความสามารถและไม่มีความเต็มใจที่จะทำถือว่าความพร้อม
R2 หมายถึงไม่มีความสามารถ แต่เต็มใจที่จะทำถือว่าความพร้อมปานกลาง
R3 หมายถึงมีความสามารถ แต่ไม่มีความเต็มใจที่จะทำถือว่าความพร้อมปานกลาง
R4 หมายถึงมีความสามารถและเต็มใจที่จะทำถือว่าความพร้อมสูง
ทฤษฎีผู้นำเชิงสถานการณ์ของ เฮอร์เซย์ และแบลนชาร์ดเชื่อว่ารูปแบบผู้นำต้องเหมาะสมกับความพร้อมของผู้ตามเฮอร์เซย์และแบลนชาร์ดพัฒนาแนวความคิดโดยเปลี่ยนระดับความพร้อมของผู้ตามเป็นความสามารถและความผูกพัน (Competence and Commitment) และปรับเปลี่ยนชื่อรูปแบบผู้นำ 4 รูปแบบเพื่อสื่อความหมายชัดเจนขึ้น ได้แก่ S1 คือการออกคำสั่ง (Direction) S2 คือการสอนงาน (Coaching) S3 คือการสนับสนุน (Supporting) S4 คือการมอบหมายงาน (Delegating) และแบ่งพฤติกรรมพื้นฐานของผู้นำมี 4 แบบงานสูง S1(Telling) สังการงานสูงสัมพันธ์สูง (2)(Selling) ขายความคิดงานต่ำ-สัมพันธ์สูง(3)(participating) แบบมีส่วนร่วมงานต่ำ – สัมพันธ์ต่ำ (4)(delegating) มอบอำนาจ แบ่งผู้นำตามลักษณะความพร้อมด้านวุฒิภาวะตามความพร้อมของผู้ใต้บังคับบัญชา มี 2 ประการคือ ความสามารถและความเต็มใจ
3 โรเบิร์ตเฮาส์ (Robert House) เสนอแนวความคิดผู้นำเชิงสถานการณ์ทฤษฎีเส้นทาง-เป้าหมาย (Path-goal Theory) เฮาส์มีความเห็นว่าภาวะผู้นำเกี่ยวข้องกับการจูงใจแบบของภาวะผู้นำขึ้นอยู่กับสถานการณ์คือความคลุมเครือของงานและความพอใจในงานที่ทำผู้นำสามารถให้ความสำคัญทั้งคนและงานในเวลาเดียวกันโดยใช้อิทธิพลของแรงจูงใจทฤษฎีของเฮาส์กล่าวได้ว่าใช้แรงจูงใจเป็นแรงผลักให้สู่เป้าหมายทั้งส่วนบุคคลและขององค์การ
นางสาวณัฎฐา ชวนชม เลขที่24 รหัส 603101024