Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Acute Gouty
Arthritis (สาเหตุ (การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก,…
Acute Gouty
Arthritis
พยาธิสภาพ
เมื่อกรดยูริกในกระแสเลือดตกผลึกเป็นยูเรตซึ่งสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วร่างกาย การสะสมเหล่านี้ เรียกว่า Tophi ผลึกนี้จะทำให้เกิดการอักเสบเมื่อมีนิวโทรฟิลเข้าไปย่อยผลึก เนื้อเยื่อจะถูกทำลายเมื่อนิวโทรฟิลปล่อยไลโซโซมออกมา ไลโซโซมไม่เพียงแต่ทำให้เนื้อเยื่อฉีกขาดยังทำให้เกิดการอักเสบด้วย ระดับของยูเรตในซีรัมที่เพิ่มขึ้น แต่ยูเรตก็ไม่กลายเป็นผลึกหรือทำให้มีอาการ ขณะที่โรคดำเนินไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นสาเหตุของความดันเลือดสูงหรือเป็นนิ่วในไต อาจมีอาการขึ้นทันทีทันใดกับข้อบางข้อ เริ่มด้วยมีอาการปวดตามแขนขา ข้อจะร้อน นุ่ม อักเสบ แดงหรือเขียว จะเริ่มที่นิ้วหัวแม่เท้า ตามด้วยข้อเท้า ส้นเท้า ข้อเข่า หรือข้อมือและมีไข้ต่ำๆ อาการที่รุนแรงอาจเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ ช่วงเวลาที่เป็นอาจเว้นช่วง 6 เดือนถึง 2 ปี ซึ่งจะพบอาการในผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจปวดหลายข้อโดยเฉพาะที่เท้าและขา ซึ่งอาจมีไข้ร่วมด้วย
สาเหตุ
-
การรับประทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
-
การดื่มน้ำอัดลมเกินปริมาณที่พอดีต่อวัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำอัดลมประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้สูงถึง 85% นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลไม้และน้ำผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มาก
อาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น โรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง หรือความผิดปกติทางเลือดบางอย่าง
ยาบางประเภทที่ส่งผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเคมีบำบัดบางชนิด ยาแอสไพริน และยาลดความดันโลหิตบางชนิด
โรคประจำตัวหรือสภาวะของร่างกายบางอย่าง เช่น ภาวะอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ไตทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องเอนไซม์ ความผิดปกติของไขกระดูก โรคหลอดเลือดผิดปกติ
มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย
อาการและอาการแสดง
ข้อต่อเกิดการอักเสบและติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อต่อ จนทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นสีแดง บวมแดง และแสบร้อน
-
-
การวินิจฉัย
การเจาะข้อ มักถูกใช้เป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะนำเข็มเจาะบริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อดูดเอาน้ำในข้อออกมาตรวจดูการสะสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์
การตรวจเลือด เมื่อการตรวจวินิจฉัยโดยการเจาะข้อไม่สามารถทำได้ แพทย์อาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดระดับของกรดยูริกและสารครีเอตินินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ แต่วิธีนี้อาจเกิดความผิดพลาดได้ เช่น ผู้ป่วยบางรายมีระดับกรดยูริกสูงผิดปกติ แต่อาจไม่เป็นโรคเก๊าท์ หรือบางรายที่มีอาการของโรคก็อาจตรวจพบระดับกรดยูริกได้ในระดับปกติ
-
-
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน เพื่อตรวจหาการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อ แต่มักเป็นวิธีที่ไม่ค่อยนิยม และมีค่าใช้จ่ายสูง
-
-
การรักษา
-
การดูแลเพื่อลดอาการปวด
ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดในเบื้องต้นได้ด้วยการหยุดเคลื่อนไหวบริเวณที่มีอาการปวดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังมีอาการ โดยพยายามยกบริเวณข้อต่อที่ปวดให้อยู่สูง หากมีอาการบวมแดงอาจบรรเทาด้วยการประคบน้ำแข็ง หรือรับประทานยาในกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแอสไพริน
การรักษาด้วยการใช้ยา
ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory Drugs: NSAIDs) หรือที่รู้จักกันดีว่า ยาเอ็นเสด ซึ่งอาจเป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) ยานาพรอกเซน (Naproxen) หรือแพทย์สั่งจ่าย เช่น ยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) ยาเซเลโคซิบ (Celecoxib) หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยาในปริมาณที่สูงขึ้น แล้วค่อยลดปริมาณการใช้ยาลง เพื่อช่วยป้องกันอาการของโรคในอนาคต แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เกิดภาวะเลือดออก และแผลในกระเพาะอาหารได้
ยาโคลชิซิน (Colchicine) แพทย์จะสั่งจ่ายยาโคลชิซินเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงแรกอาจมีการใช้ยาในปริมาณที่สูงก่อนจะลดปริมาณยาลงเมื่ออาการปวดของผู้ป่วยทุเลาลง แต่ผลข้างเคียงของการใช้ยาชนิดนี้อาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) โดยทั่วไปมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาต้านอักเสบหรือยาโคลชิซินได้ เพื่อช่วยควบคุมการอักเสบและอาการปวดของโรค มีทั้งรูปแบบยาเม็ดและยาฉีด ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตตสูงขึ้น มีอารมณ์แปรปรวน
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง หรือไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงค่อนข้างมาก แพทย์อาจสั่งจ่ายยากลุ่มอื่นที่ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์ เช่น
ยายับยั้งการสร้างกรดยูริก (Xanthine Oxidase Inhibitors) เป็นยาที่ช่วยจำกัดการผลิตกรดยูริกของร่างกาย เช่น ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) ยาฟีบัคโซสตัต (Febuxostat) ซึ่งจะช่วยให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอาการของโรคน้อยลงเช่นกัน แต่อาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดผื่น คลื่นไส้ และลดการทำงานของตับ
ยาช่วยขับกรดยูริก เป็นยาที่ช่วยเพิ่มการทำงานของไตให้มีการขับกรดยูริกออกมากับปัสสาวะมากขึ้น เช่น โพรเบเนซิด (Probenecid) ซึ่งทำให้กรดยูริกในเลือดมีปริมาณลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอาการของโรคลดลงเช่นกัน แต่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้น ปวดท้อง หรือเกิดนิ่วในไต ที่เป็นผลข้างเคียงของการใช้ยา
-