Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กรณีศึกษา ANC iStock-512965260_(1) (เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ :fire: (ประเภท…

- - - - ข้อมูลสนับสนุน :red_flag:
        
        SD : (17/03/2563)หญิงตั้งครรภ์บอกว่า “ทารกไม่ดิ้น 2 วัน”
        
        OD :
        - แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น GDMA2 - หญิงตั้งครรภ์ G7P1-1-4-2 GA 31+6 wks by date - หญิงตั้งครรภ์มีประวัติคลอดบุตรก่อนกำหนด จำนวน 1 คน เพศชาย น้ำหนัก 3,200 กรัม มีภาวะแทรกซ้อนตัวเหลือง และมีประวัติ Criminal Abortion จำนวน 3 คน Spontaneous Abortion จำนวน 1 คน - Grand multiparity - GA 13wks+2 by date มีเลือดออกทางช่องคลอด OS Closed ประมาณ 1 ผ้าอนามัย แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น แท้งคุกคาม (Threatened abortion)
      - วัตถุประสงค์ทางการพยาบาล : :red_flag:เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารก เช่น ทารกตัวโต , ทารกคลอดก่อนกำหนด , fetal distress และ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ เป็นต้น
      - เกณฑ์การประเมิน : :red_flag:
        
        Ultrasound พบสุขภาพทารกในครรภ์ปกติดี
        
        NST อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือ NST reactive (มีการเพิ่มขึ้นของ FHR มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงการตรวจ 20 นาที)
        
        ตรวจครรภ์พบขนาดท้องสัมพันธ์กับอายุครรภ์ น้ำหนักมารดาเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ ทารกดิ้นดีและไม่มีอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นเวลานานหรือปวดเกร็งบริเวณมดลูก ทารกในครรภ์ไม่เคลื่อนไหว เป็นต้น
      - กิจกรรมทางการพยาบาล : :red_flag:
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์ชั่งน้ำหนัก โดยชั่งเวลาเดิม แบบเดิมทุกวัน น้ำหนักในไตรมาสที่ 2และ3 ควรเพิ่มขึ้น 1.4-2 กิโลกรัม/เดือน หรือ0.35-0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ เพื่อประเมินปัญหาสุขภาพและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้หากน้ำหนักเพิ่มเกินเกณฑ์ เช่น ทารกตัวโต หรือ ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น และนับการดิ้นของทารกในครรภ์ ควรนับหลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ โดยนั่งนับเป็นเวลา 1 ชม.หากนับได้ 3 ครั้งขึ้นไป ถือว่าปกติ และนับจนครบ 10 ครั้ง หากใช้เวลานานเกิน 12 ชม. หรือทารกไม่ดิ้น ถือว่าผิดปกติ ให้รีบมาพบแพทย์
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการควบคุมเบาหวาน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ 2-3 ลิตร/วัน เลือกรับประทานอาหารประเภทธัญพืช เช่น ข้าวกล้องแทนข้าวขาว เน้นโปรตีนที่มาจากสัตว์ไขมันต่ำและโปรตีนจากพืช เช่น ปลา เนื้อหมูแดง เนื้อไก่ ถั่วแดง ถั่วลิสง นมสดชนิดจืดพร่องมันเนย และเลือกใช้สารให้ความหวานเทียมแทนการใช้น้ำตาล เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        แนะนำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแก่หญิงตั้งครรภ์ ได้แก่
        - การรับวัคซีนให้ และรับประทาน Folic acid 1x1 oral , Iodine 1x1 oral pc ตามแผนการรักษาและเลือกอาหารที่เสริมธาตุเหล็ก ไอโอดีน และวิตามินต่าง ๆ เช่น ตับ ไข่ ผักใบเขียว กะหล่ำปลี คะน้าอาหารทะเล ส้ม มะละกอ ฝรั่ง สาหร่าย เป็นต้น เพื่อป้องกันพัฒนาการทางสมองของทารกและภาวะซีดที่อาจเกิดขึ้นได้ - ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ วันละ30-45 นาที และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชม.และนอนพักกลางวันเสริมวันละ 1-2 ชม. - หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่หนักจนเกินไป เช่น การขึ้น-ลงบันได หรือยกของหนักจนเกินไป หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด และทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อบรรเทาความเครียด รวมถึงการใช้สารเสพติด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน เป็นต้น
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัด และสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ ได้แก่ มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่ทุเลา มองเห็นภาพพร่ามัวไม่ชัดเจน เท้าและข้อเท้าบวมมาก ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นเวลานานหรือปวดเกร็งบริเวณมดลูก ทารกในครรภ์ไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อยกว่า 3 ครั้ง ในหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่มีอายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์ มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีน้ำคร่ำไหลออกจากช่องคลอดปริมาณค่อนข้างมาก เป็นต้น เพื่อรับการรักษา หรือการตรวจเพิ่มเติม เช่น การทำUltrasound และ NST
      - การประเมินผล : :red_flag:
        หญิงตั้งครรภ์น้ำหนักขึ้นเกินเกณฑ์มาตรฐาน
        - 6wks+6 by date : น้ำหนัก 59.3 กิโลกรัม - 13wks +2 by date : น้ำหนัก 61 กิโลกรัม - 31wks+6 by date : น้ำหนัก 68.9 กิโลกรัม
    - - ข้อมูลสนับสนุน :red_flag:
        
        SD :-
        
        OD :
        แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น GDMA2
        - 4wks+6 by date : Urine sugar 3+ , ผล BS 50gm FBS = 153 mg/dl - 6wks +6 by date : OGTT 110-221-171-112 - 13wks +2 by date : FBS = 105 mg/dl - 19 wks+6 by date : FBS = 93 mg/dl - 23wks+2 by date : FBS = 102 mg/dl,2 hr PP = 146 mg/dl - 27wks+6 by date : Urine sugar 1+
        หญิงตั้งครรภ์น้ำหนักขึ้นเกินเกณฑ์มาตรฐาน
        - 6wks+6 by date : น้ำหนัก 59.3 กิโลกรัม - 13wks+2 by date : น้ำหนัก 61 กิโลกรัม
        
        วัตถุประสงค์ทางการพยาบาล : เกิดความตระหนักในการดูแลตนเองและสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
        
        เกณฑ์การประเมิน : :red_flag:
        
        ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง หรืออยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        น้ำหนักมารดาเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารก เช่น ภาวะ Retinopathy การติดเชื้อ ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกตัวโต เป็นต้น
        
        กิจกรรมทางการพยาบาล : :red_flag:
        
        แนะนำแนวทางการปฏิบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแก่หญิงตั้งครรภ์ ได้แก่
        - **การชั่งน้ำหนักตัว** โดยชั่งเวลาเดิม แบบเดิมทุกวัน น้ำหนักในไตรมาสที่ 2และ3 ควรเพิ่มขึ้น 1.4-2 กิโลกรัม/เดือน หรือ0.35-0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ เพื่อประเมินปัญหาสุขภาพและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้หากน้ำหนักเพิ่มเกินเกณฑ์ เช่น ทารกตัวโต หรือ ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น - **การควบคุมเบาหวาน** เลือกรับประทานอาหารประเภทธัญพืช เช่น ข้าวกล้องแทนข้าวขาว เน้นโปรตีนที่มาจากสัตว์ไขมันต่ำและโปรตีนจากพืช เช่น ปลา เนื้อหมูแดง เนื้อไก่ ถั่วแดง ถั่วลิสง นมสดชนิดจืดพร่องมันเนย และงดอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อจำกัดน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ น้ำตาล น้ำผึ้ง นมข้นหวาน ขนมหวาน น้ำอัดลม ลำไย ขนุน ทุเรียน องุ่น เป็นต้น เลือกใช้สารให้ความหวานเทียมแทนการใช้น้ำตาล เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน และ**วัดระดับน้ำตาลในเลือด**เป็นประจำ - ดูแล**แนะนำการฉีดอินซูลิน** - ฉีดก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที - เลือกบริเวณที่ฉีด(ชั้นใต้ผิวหนัง) เช็ดด้วยแอลกอฮอล์รอจนแห้งแล้วดึงผิวหนังให้ตึง - แทงเข็มมุม 90 องศา และค่อย ๆ เดินยา - หลังฉีดไม่ควรนวดคลึงบริเวณที่ฉีดยา - **การออกกำลังกาย**อย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังในระดับปานกลางที่ไม่หักโหมจนเกินไป ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีต่อวัน ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรมีการอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย 5 - 10 นาที เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ได้แก่ การเดินนาน ขี่จักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องอยู่ในท่านอนหงาย
        
        แนะนำสังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ความดันโลหิตสูง (Hypertension) และ การติดเชื้อง่าย (Infection) เป็นต้น
        น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักลด ผิวแห้ง รู้สึกหิวแม้จะเพิ่งกิน อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด ร้อนวูบวาบตามตัว ผิวหนังร้อน ปวดศีรษะ หายใจเร็วมีกลิ่น acetone เป็นต้น
        ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ได้แก่ ปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ ตามัว มือเท้าชา หรือมีเลือดกำเดาไหล เป็นต้น
        ติดเชื้อง่าย (Infection) ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ ปัสสาวะแสบขัด ตกตะกอน มีสีขุ่น ช่องคลอดมีความเป็นด่าง เกิดการอักเสบ เป็นต้น
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัด และสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ ได้แก่ มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่ทุเลา มองเห็นภาพพร่ามัวไม่ชัดเจน เท้าและข้อเท้าบวมมาก ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นเวลานานหรือปวดเกร็งบริเวณมดลูก ทารกในครรภ์ไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อยกว่า 3 ครั้ง ในหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่มีอายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์ มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีน้ำคร่ำไหลออกจากช่องคลอดปริมาณค่อนข้างมาก เป็นต้น
        
        การประเมินผล : :red_flag:
        หญิงตั้งครรภ์น้ำหนักขึ้นเกินเกณฑ์มาตรฐาน GA 31+6 wks by date : น้ำหนัก 68.9 กิโลกรัม
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD : บิดาของหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
        
        OD : แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น GDMA2
        - 4weeks6 by date : Urine sugar 3+ , ผล BS 50gm FBS = 153 mg/dl - 6wks+6 by date : OGTT 110-221-171-112 - 13wks+2 by date : FBS = 105 mg/dl - 19wks+6 by date : FBS = 93 mg/dl - 23wks+2 by date : FBS = 102 mg/dl,2 hr PP = 146 mg/dl - 27weeks6 wks by date : Urine sugar 1+
      - วัตถุประสงค์ทางการพยาบาล : เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง , ความดันโลหิตสูง , ติดเชื้อง่าย และภาวะ Retinopathy เป็นต้น
      - เกณฑ์การประเมิน :
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่น
        น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักลด ผิวแห้ง รู้สึกหิวแม้จะเพิ่งกิน อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด ร้อนวูบวาบตามตัว ผิวหนังร้อน ปวดศีรษะ หายใจเร็วมีกลิ่น acetone เป็นต้น
        ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ได้แก่ ปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ ตามัว มือเท้าชา หรือมีเลือดกำเดาไหล เป็นต้น
        ติดเชื้อง่าย (Infection) ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ ปัสสาวะแสบขัด ตกตะกอน มีสีขุ่น ช่องคลอดมีความเป็นด่าง เกิดการอักเสบ เป็นต้น
        
        O2Saturation ≥ 95 %
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 องศาเซลเซียส อัตราการหายใจ 16-24 ครั้ง/นาที อัตราการเต้นหัวใจ 60-100 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 90/60-140/90 มิลลิเมตรปรอท ระดับความปวด 0-3 คะแนน
      - กิจกรรมทางการพยาบาล :
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ความดันโลหิตสูง (Hypertension) และ การติดเชื้อง่าย (Infection) เป็นต้น
        
        ตรวจวัดสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิร่างกาย อัตราการหายใจ อัตราการเต้นหัวใจ ความดันโลหิต และระดับความปวด รวมถึงค่า O2Saturation เพื่อประเมินภาวะผิดปกติ ที่สำคัญชั่งน้ำหนักและวัดระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อประเมินความรุนแรงและระดับน้ำตาลในเลือด
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการควบคุมเบาหวาน เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และจำกัดให้ได้รับพลังงาน 30-35 แคลอรี่ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน แบ่งเป็นโปรตีนร้อยละ 12-20 คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50-60 และไขมันร้อยละ 20-30
        - แบ่งเป็นอาหารหลัก 3 มื้อต่อวัน และอาหารว่างอย่าน้อย 3 มื้อต่อวัน ทั้งนี้อาจมรมื้อก่อนนอนด้วย เพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงกลางคืน - รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารประเภทธัญพืช เช่น ข้าวกล้องแทนข้าวขาว เน้นโปรตีนที่มาจากสัตว์ไขมันต่ำและโปรตีนจากพืช เช่น ปลา เนื้อหมูแดง เนื้อไก่ ถั่วแดง ถั่วลิสง นมสดชนิดจืดพร่องมันเนย และเลือกใช้สารให้ความหวานเทียมแทนการใช้น้ำตาล - งดอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อจำกัดน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ น้ำตาล น้ำผึ้ง นมข้นหวาน ขนมหวาน น้ำอัดลม ลำไย ขนุน ทุเรียน องุ่น เป็นต้น และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงผลไม้อบแห้ง หรือผักที่เป็นหัว เพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูง และที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น หมูติดมัน หนังไก่ เป็นต้น
        
        ควรตรวจคีโตนในปัสสาวะ เพื่อดูว่าจำนวนแคลอรีที่ได้รับเพียงพอหรือไม่
        
        ดูแลแนะนำการฉีดอินซูลิน โดยจะเริ่มให้อินซูลินเมื่อตรวจพบระดับ น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่า 105 mg/dl และระดับ น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง มากกว่า 120 mg/dl และควรจดบันทึกการใช้อินซูลินและระดับน้ำตาลเพื่อช่วย ปรับระดับอินซูลินและลดอาการแทรกซ้อน ที่สำคัญบริเวณที่ฉีดควร หมุนเวียนบริเวณใดบริเวณหนึ่งเป็นสัปดาห์เพื่อให้ผิวหนัง บริเวณนั้นมีเวลาได้หายจากความบอบช้ำเนื่องจากรอยเข็ม และการดูดซึมของอินซูลินจะแตกต่างกัน
        - ฉีดก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที - เลือกบริเวณที่ฉีด(ชั้นใต้ผิวหนัง) เช็ดด้วยแอลกอฮอล์รอจนแห้งแล้วดึงผิวหนังให้ตึง - แทงเข็มมุม 90 องศา และค่อย ๆ เดินยา - หลังฉีดไม่ควรนวดคลึงบริเวณที่ฉีดยา
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยจะเพิ่มความไวต่ออินซูลินและเพิ่มฤทธิ์ของอินซูลิน จึงช่วยลดภาวะดื้ออินซูลิน ช่วยกระตุ้นหลอดเลือด และหัวใจให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
        - ควรออกกำลังในระดับปานกลางที่ไม่หักโหมจนเกินไป ใช้เวลา วันละประมาณ 30 นาทีหรือมากกว่า ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรมีการอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย 5 - 10 นาที เพื่อป้องกันการ บาดเจ็บของกล้ามเนื้อ อัตราการเต้นของหัวใจไม่ควรเกิน 140 ครั้งต่อนาที และควรระมัดระวังในหญิงตั้งครรภ์ที่รักษาด้วย อินซูลิน และเมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายต่ำ - ได้แก่ การเดินนาน ขี่จักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องอยู่ในท่านอน หงายเนื่องจากหลอดเลือดดำใหญ่ (inferior vena cava) อาจถูกกดทับโดยมดลูกได้ และขณะออกกำลังกายถ้าเกิดการ หดรัดตัวของมดลูก หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดควรหยุดออก กำลังกายทันที
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์ดูแลความสะอาดร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ โดยเช็ดจากหน้าไปหลัง ไม่เช็ดย้อน
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์นับการดิ้นของทารกในครรภ์ ควรนับหลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ โดยนั่งนับเป็นเวลา 1 ชม.หากนับได้ 3 ครั้งขึ้นไป ถือว่าปกติ และนับจนครบ 10 ครั้ง หากใช้เวลานานเกิน 12 ชม. หรือทารกไม่ดิ้น ถือว่าผิดปกติ ให้รีบมาพบแพทย์
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัด และสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ ได้แก่ มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่ทุเลา มองเห็นภาพพร่ามัวไม่ชัดเจน เท้าและข้อเท้าบวมมาก ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นเวลานานหรือปวดเกร็งบริเวณมดลูก ทารกในครรภ์ไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อยกว่า 3 ครั้ง ในหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่มีอายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์ มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีน้ำคร่ำไหลออกจากช่องคลอดปริมาณค่อนข้างมาก เป็นต้น
      - การประเมินผล : หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    - - ข้อมูลสนับสนุน :red_flag:
        
        SD : หญิงตั้งครรภ์บอกว่า “ช่วงนี้ปวดหลังมาก มีเป็นตะคริว และปัสสาวะบ่อย”
        
        OD :-
      - วัตถุประสงค์ทางการพยาบาล : เพื่อบรรเทาอาการไม่สุขสบายของหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3
      - เกณฑ์การประเมิน : :red_flag:
        
        หญิงตั้งครรภ์มีอาการไม่สุขสบายลดลง
      - กิจกรรมทางการพยาบาล : :red_flag:
        
        ประเมินสาเหตุร่วมของอาการไม่สุขสบาย หรือ ความผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย ได้แก่ อาชีพ ลักษณะงาน กิจวัตรประจำวัน หรือการประสบอุบัติเหตุ เป็นต้น
        
        อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ทราบถึงสาเหตุ และ ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดอาการไม่สุขสบาย
        
        แนะนำการปฏิบัติเพื่อบรรเทาอาการไม่สุขสบาย ได้แก่
        
        ตะคริว :explode:
        
        รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมมาก เช่น ไข่แดง ปลาเล็กปลาน้อย โยเกิร์ต ใบยอ ผักใบเขียว เป็นต้น และลดอาหารประเภทฟอสเฟตสูง เช่น นม เนื้อ บะหมี่ ช็อคโกแลต เป็นต้น
        
        แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ โดยเปลี่ยนช้า ๆ ไม่เร็วจจนเกินไป และบริหารร่างกายส่วนปลายเท้าเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
        
        เมื่อมีอาการให้เหยียดขาตรงกดหัวเข้าให้ข้อพับแนบกับพื้น และกระดกปลายเท้าเข้าหาลำตัว จะทำให้บริเวณน่องตึง ใช้ความร้อนประคบเพื่อบรรเทาอาการปวด ไม่ควรนวดคลึง
        
        หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างหรือยืนนาน
        
        ปัสสาวะบ่อย :explode:
        
        แนะนำให้ถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่ปวด ไม่กลั้นปัสสาวะ และหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ การถ่ายปัสสาวะในลักษณะนั่งยอง ๆ
        
        หากมีอาการถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งในเวลากลางคืน ควรปรับกาดื่มน้ำก่อนนอนให้น้อยลง
        
        แนะนำการสังเกตอาการผิดปกติที่แสดงถึงการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด และปัสสาวะมีเลือดปน
        
        ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมระหว่างทางไปเข้าห้องน้ำให้มีแสงสว่างเพียงพอ เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดภัย
        
        ปวดหลัง :explode:
        
        แนะนำให้อยู่ในท่าตรง ใช้หมอนรองหนุนหลัง หรือ นอนตะแคงโดยมีหมอนหนุนไว้ระหว่างเข่า เป็นต้น
        
        แนะนำบริหารร่างกายในท่านั่งขัดสมาธิ หรือยืนสลับขาวางไว้บน
        เก้าอี้เตี้ย เป็นต้น
        
        แนะนำการนวดผ่อนคลายอาการปวด โดยกำมือ นำมือด้านหลังมือตรงข้อนิ้ววางบนหลังแล้วนวดวนเป็นเลขแปด เป็นต้น
        
        หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก เช่น ยกของหนัก การนั่งหรือยืนงอหลัง การก้มเงยบ่อยครั้ง หรือยืนลงน้ำหนักเป็นเวลานาน การใส่รองเท้าส้นสูง รัดแน่นไม่เกิดความสบายเท้า
      - การประเมินผล :
        หญิงตั้งครรภ์มีอาการไม่สุขสบายลดลง :red_flag:
- - - - ตรวจพบก่อนตั้งครรภ์ 20 wks
    - - ตรวจพบกหลังตั้งครรภ์ 20 wks เริ่มวินิจฉัยได้ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 3 หรือ ช่วง 24-28 สัปดาห์
    - - การคัดกรอง :!!:
        
        หญิงตั้งครรภ์อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป
        
        มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
        
        BMI มากกว่าปกติ (18.5-24.9kg/m2)
      - การคัดกรอง :black_flag:
        
        BS 50 g
        
        4wks+6 by date : Urine sugar 3+ , ผล BS 50gm FBS = 153 mg/dl :fire:
        
        OGTT
        
        6wks +6 by date : OGTT 110-221-171-112 ผิดปกติ 3 ค่า :fire:
        
        แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น GDMA2 :warning:
  - - - Class A1 (glucose intolerance) พบได้ร้อยละ 90 รักษาด้วยการควบคุมอาหาร
      - เบตาเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลายจากปฏิกิริยาภูมิต้านทานในร่างกาย
    - - Class A2 (overt DM) หมายถึงมี fasting hyperglycemia คือระดับน้ำตาลมากกว่า 105 มก./ดล. รักษาด้วยอินสุลิน
      - เบตาเซลล์ของตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินสุลินได้เพียงพอ
  - - - ครรภ์แฝดน้ำ
      - ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
      - การติดเชื้อ
      - หลอดเลือดถูกทำลาย
      - การแท้งบุตร
        
        หญิงตั้งครรภืมีประวัติแท้งบุตรทั้งหมด 4 คน
      - การคลอดยาก จากทารกตัวโต
      - ตกเลือดหลังคลอด
      - อัตราตายของมารดาสูงกว่าปกติ
      - ผลกระทบด้านจิตใจ
    - - ทารกในครรภ์
        
        ทารกขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ ตายในครรภ์
        
        ทารกตัวโตและน้ำหนักมากกว่าปกติ
        
        ทารกมีความพิการตั้งแต่กำเนิด
        
        ทารกคลอดก่อนกำหนด
        
        หญิงตั้งครรภ์มีประวัติคลอดบุตรก่อนกำหนด
        บุตรคนที่ 4 : ปี 2557 Preterm NL เพศชาย น้ำหนัก 3200 กรัม ตัวเหลือง
      - ทารกแรกเกิด
        
        ทารกมีโอกาสเป็นเบาหวาน
        
        ทารกตายระหว่างคลอดและหลังคลอด
- - - - บุตรคนที่ 2 : ปี 2549 Fullterm NL เพศชาย น้ำหนัก 2800 กรัม แข็งแรงดี
      - บุตรคนที่ 3 : ปี 2551 Criminal abortion
      - บุตรคนที่ 1 : ปี 2548 Criminal abortion
      - บุตรคนที่ 4 : ปี 2557 Preterm NL เพศชาย น้ำหนัก 3200 กรัม ตัวเหลือง
      - บุตรคนที่ 5 : ปี 2559 Criminal abortion
      - บุตรคนที่ 6 : ปี 2562 Spontaneous abortion
    - - บิดาเป็นโรคความดันโลหิตสูง
    - - หญิงตั้งครรภ์ อายุ 31 ปี
        G7P1-1-4-2 GA31 wks+6
        LMP : 7 ส.ค. 2562 x3 day
        EDC by date : 13 พ.ค 2563
      - วัคซีน TT :
        
        เข็มแรก และเข็มสอง ปี 2557
        
        เข็มสาม 12 เม.ย 2562
      - Body weight = 58 kg ปัจจุบัน 68.9 kg
        Height = 160 cm
        BMI = 22.26 kg/m2 (Narmal 18.5-24.9 kg/m2)
      - ตรวจร่างกาย : ร่างกายทั่วไปปกติดี เต้านม ลานนม และหัวนมปกติ คลำไม่มีก้อนหรือหัวนมสั้น บอด บุ๋ม
      - การตรวจคัดกรอง :!!:
        
        เบาหวาน
        
        - 4wks+6 by date : Urine sugar 3+ , ผล BS 50gm FBS = 153 mg/dl - 6wks +6 by date : OGTT 110-221-171-112 - 13wks +2 by date : FBS = 105 mg/dl - 19 wks+6 by date : FBS = 93 mg/dl - 23wks+2 by date : FBS = 102 mg/dl,2 hr PP = 146 mg/dl - 27wks+6 by date : Urine sugar 1+
        หญิงตั้งครรภ์น้ำหนักขึ้นเกินเกณฑ์มาตรฐาน
        - 6wks+6 by date : น้ำหนัก 59.3 กิโลกรัม - 13wks+2 by date : น้ำหนัก 61 กิโลกรัม
        
        Lab CBC
        
        ABO gr : O Rh : Positive
        Hb : 11.4
        Hct : 36.1
        
        การติดเชื้อ
        
        HIV Ab :no_entry:
        
        HBsAg :no_entry:
        
        VDRL :no_entry:
        
        AB screening :no_entry:
        
        ธาลัสซีเมีย
        
        10 ก.ย 2562
        ภรรยา : MCV=84.5 , Hb E screen=Positive ,
        Hb Typing "Hb E Trait" Hb E=27.1%
        สามี : MCV=89.3 , Hb E screen=Negative
- - - - การทำ Ultrasound
        
        คือ :red_flag:
        
        การตรวจโดยใช้คลื่นความถี่สูง(มากกว่า 20,000 Hz)ผ่านทะลุเข้าสู่อวัยวะภายใน เพื่อตรวจสอบการเจริญเติบโตของทารกในหญิงตั้งครรภ์
        
        การแปลผล :star:
        
        ขณะตรวจจะมีการบันทึกภาพของมดลูก ทารก รก น้ำคร่ำ หรืออวัยวะอื่น ๆ ปรากฏบนจอภาพ เป็นภาพขาวดำเคลื่อนไหวได้ และจะพิมพ์เป็นภาพถ่ายขนาดเล็กและข้อมูลการตรวจออกมา
      - การทำ NST
        
        คือ :red_flag:
        
        ในกรณี ทารกหลับ สามารถพบว่าผล NST ล่วงลงได้ :!:
        
        ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจ แต่ไม่ได้เป็นไปตามลักษณะดังกล่าว ในผลการตรวจเป็นบวก ควรตรวจสอบซ้ำภายใน 24-48 ชั่วโมงหรือทำการตรวจสอบด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การตรวจ CST :!!:
        
        การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ที่เปลี่ยนแปลงในขณะที่มีการเคลื่อนไหวของทารก
        
        อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการตรวจคือ 30-32 สัปดาห์
        
        การแปลผล :star:
        
        Positive (Reactive NST)
        
        ใน 2 ครั้งที่ทารกมีการเคลื่อนไหว อัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15 ครั้งต่อนาทีและสูงขึ้นอย่างน้อย 15 วินาที
        
        ทารกเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 ครั้ง ใน 20 นาที
        
        Baseline FHR ระหว่าง 110-160 ครั้งต่อนาที
        
        Negative (Non Reactive NST)
        
        ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ในขณะที่มีการเคลื่อนไหว หรือทารกไม่มีการเคลื่อนไหว
        
        ในระยะเวลานาน 40 นาที อัตราการเต้นของหัวใจพื้นฐานน้อยกว่าค่าปกติ หรือตรวจไม่พบ
      - การนับลูกดิ้น