Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Antenatal care : ANC (การฝากครรภ์) (Preterm การคลอดก่อนกำหนด…

- - - - เกิดวันที่ 24 สิงหาคม 2557 อายุครรภ์ครบกำหนด วิธีการคลอด c/s เพศ ชาย น้ำหนัก 3,250 ที่รพ.เปาโล ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันแข็งแรงดี
    - - เกิดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 อายุครรภ์ครบกำหนด วิธีการคลอด c/s เพศ ชาย น้ำหนัก 3,025 ที่รพ.ตำรวจ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันแข็งแรงดี
  - - - Hb : 11.5
      - Hct : 35.0
      - VDRL : Non-reactive
      - HIV Ab : Negative
      - HBsAg : Negative
      - ABO gr : A
      - Rh : Positive
      - Ab screening : Negative
      - Bs 50 gm.: 150
      - MCV : 83.9
      - Hb E screen : Negative
    - - OGTT : 82-125-84-88
    - - OGTT : 105-200-170-150
- - - - ภาวะที่มดลูกบีบตัวอย่างสม่ำเสมอ (Regular uterine contraction) ทำให้ปากมดลูกเปิด (Cervical change) ก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์
    - - ทารกที่คลอดอายุครรภ์20 -37 สัปดาห์โดยแยกย่อยออกเป็น Late (หลัง 34 สัปดาห์) moderate (32-34 สัปดาห์) very (28-32สัปดาห์) และ extremely (ก่อน 28 สัปดาห์)
  - - - อาจแสดงอาการอย่างต่อเนื่องหรือเป็นแล้วหาย ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนอิริยาบถแล้วก็ตาม
    - - อาจเกิดขึ้นเป็นระยะทุก ๆ 10 นาทีหรือมีความถี่ที่มากกว่านั้น อาจรู้สึกเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้
    - - เช่น คลื่นไส้อาเจียน หรือท้องเสีย
  - - - การติดเชื้อมะเร็งปากมดลูก
      - การติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ปบี (Group B Streptococci)
      - การติดเชื้อทริโคโมแนส หรือช่องคลอดอักเสบจากเชื้อพยาธิ
      - รวมถึงการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
        
        หนองในแท้
        
        หนองในเทียม
        
        ซิฟิลิส
  - - - เจ็บครรภ์ถี่ขึ้น (True labor: Regular contraction and cervical change) อาจจะเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงเช่น ปวดเอวหรือหลัง ปวดหน่วงลงช่องคลอด หรือมี vaginal discharge
    - - การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกเปิดมากกว่า 3 cm ส่งเสริมให้วินิจฉัยว่าเป็นการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด(Preterm labor) ในกลุ่มสตรีที่ไม่มีอาการเจ็บครรภ์แต่ปากมดลูกเปิดแล้ว (asymptomatic cervical dilatation)หลังช่วง mid-pregnancy มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัย cervical insufficiency
    - - ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทารกสร้างขึ้น เพื่อเป็นการประเมินความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด ถ้าตรวจพบแสดงว่าจะมีการคลอดเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้
    - - โดยการเก็บตัวอย่างน้ำคร่ำ เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของปอดทารก และตรวจหาการติดเชื้อต่าง ๆ
  - - - แพทย์จะแนะนำให้ฉีดเมื่อคลอดก่อนกำหนดในช่วงสัปดาห์ที่ 24-34 ของการตั้งครรภ์ เป็นเวลาอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง เพื่อเร่งการพัฒนาปอดของทารก
    - - แพทย์แนะนำให้ฉีดในช่วงสัปดาห์ที่ 24 และ 32 ของการตั้งครรภ์ เพื่อลดการหดตัวของมดลูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองพิการ
    - - ยาจะออกฤทธิ์เพื่อช่วยระงับการหดตัวของมดลูก
    - - ไนเฟดิปีน (Nifedipine)
      - นิคาร์ดิปีน (Nicardipine)
    - - เพื่อป้องกันการติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ปบี
  - - - ปัญหาเกี่ยวกับตาและการมองเห็น
        
        ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายหรือช่วงสัปดาห์ที่ 28-40 ของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ตามีการพัฒนามากที่สุดของทารกในครรภ์ มองภายนอกอาจดูเหมือนปกติแต่จะมีปัญหาในการมองเห็น รวมไปถึงอาการต่าง ๆ เหล่านี้
      - จอประสาทตาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด (Retinopathy of Prematurity หรือ ROP)
      - สูญเสียการมองเห็น
        
        มีอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ลูกตา หรือม่านตา จึงทำให้สูญเสียการมองเห็น แต่ค่อนข้างพบได้น้อย
      - ปัญหาเกี่ยวกับหูและการได้ยิน
        
        สูญเสียการได้ยินแต่กำเนิด
        
        ความผิดปกติทางกายภาพของหู
      - ปัญหาเกี่ยวกับสมอง
        
        ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง (Intraventricular Hemorrhage)
      - ปัญหาเกี่ยวกับไต
        
        ปัญหาในการกรองของเสียออกจากเลือด
        
        ปัญหาในการกำจัดของเสีย การผลิตปัสสาวะ
        
        โดยวินิจฉัยจากการเก็บตัวอย่างปัสสาวะหรือเลือดไปตรวจระดับของเสีย เช่น โพแทสเซียม ยูเรีย และครีอะตินิน เพื่อวัดสมรรถนะในการทำงานของไต
      - ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
        
        การขาดสารลดแรงตึงผิวในปอด
        
        จะทำให้ปอดไม่สามารถขยายและหดตัวได้ตามปกติ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจต่อไป
      - ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
        
        โรคหลอดเลือดหัวใจเกิน (Patent Ductus Arteriosus หรือ PDA)
        
        เกิดจากการเปิดของเส้นเลือดหลัก 2 เส้นที่หัวใจ ซึ่งควรจะปิดลงหลังทารกคลอด ทำให้มีเลือดสูบฉีดผ่านปอดเป็นจำนวนมาก และอาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดและหัวใจล้มเหลวได้ในอนาคต
      - ปัญหาการติดเชื้อ
        
        เนื่องจากทารกมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ได้รับสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibody) จากมารดามาปริมาณเล็กน้อย
    - - ผลกระทบด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและเศรษฐกิจ
        
        วิตกกังวล
        
        สูญเสียรายได้
        
        เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
  - - - แพทย์จะแนะนำสำหรับหญิงที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 24 สัปดาห์ พบประวัติการคลอดก่อนกำหนด แท้ง ติดต่อกันตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และทำการอัลตราซาวด์และพบว่าปากมดลูกสั้นกว่า 2.5 เซนติเมตร โดยแพทย์จะทำการเย็บโดยใช้ไหมที่มีความแข็งแรงสูง ปกติจะทำการถอดไหมออกในช่วงสัปดาห์ที่ 36 ของการตั้งครรภ์หรืออาจจะเร็วกว่านั้นหากมีเงื่อนไขที่จำเป็น
    - - ให้คำแนะนำเพื่อสุขภาพที่ดีของมารดาและทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนดเพื่อเข้ารับการตรวจและทดสอบครรภ์ อาจช่วยให้ลดโอกาสการคลอดก่อนกำหนดอีกครั้งได้
    - - กรดโฟลิค ธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม วิตามินดี วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 12 ไนอาซิน หรือสังกะสี เพื่อชดเชยวิตามินและแร่ธาตุที่ขาดหายไปในอาหารที่มารดารับประทาน
    - - การออกกำลังกาย
      - การยกของหนัก
      - การทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก
      - รวมถึงการกระแทก เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
- - - - มารดาไม่มีอาการตกขาว คันและมีกลิ่นเหม็น
    - - หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ในการปฏิบัติตัวภายหลังกลับจากโรงพยาบาล
      - มารดาไม่มีอาการตกขาว คันและมีกลิ่นเหม็น
    - - 1.แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้เกิดความอับชื้น
      - 2.แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ชุดชั้นในควรเป็นชนิดที่ใส่สบาย ไม่รัดจนเกินไป
      - 3.แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำยาพิเศษอะไรสวนล้างช่องคลอด ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ล้างทำความสะอาด้วยน้ำธรรมดา
      - 4.ถ้าเกิดอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ไม่ควรไปซื้อยามาใช้เอง ยาเหน็บหรือยารับประทานที่มีขายทั่วไป
    - - มารดาไม่มีอาการตกขาว คันและมีกลิ่นเหม็นและสามารถปฎิบัติตามคำแนะนำได้
    - - มารดาบอกว่ามีอาการตกขาว คันและมีกลิ่นเหม็น
  - - - มารดาไม่มีอาการปัสสาวะแสบขัดและสามารถปฎิบัติตามคำแนะนำได้
    - - สุขอนามัย (hygiene)ก่อนเข้าห้องน้ำควรล้างมือให้สะอาด ทั้งนี้เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากมือสู่กระเพาะปัสสาวะ และเมื่อขับถ่ายปัสสาวะเสร็จแล้ว ล้างอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
      - การแต่งกาย (clothing) หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้ารัดรูปและการสวมถุงน่องเป็นเวลานาน แนะนำให้สวมกางเกงชั้นในที่เป็นผ้าฝ้ายและหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง เพราะการกระทำเหล่านี้มักจะเบียดและพับผิวหนังบริเวณช่องคลอดกับผิวหนังส่วนอื่นของร่างกายและอาจนำเชื้อแบคทีเรียอื่นๆเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้
      - การดื่มน้ำ (drinking water) และอาหาร (diet)ให้ดื่มน้ำในปริมาณมากทุกวัน (ประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน) จะช่วยทำความสะอาดกระเพาะปัสสาวะได้ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเพราะวิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายมีกลไกการต่อต้านเชื้อโรคได้มากขึ้น
      - การขับถ่ายปัสสาวะ (urination)ให้ขับถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งในแต่ละวัน (ทุก 2 ชั่วโมง) หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะควรขับถ่ายปัสสาวะทันทีทั้งนี้เพราะเมื่อปัสสาวะบ่อยๆ
      - การใช้ยาปฏิชีวนะ(Antibiotics)กรณีที่ได้รับยาปฏิชีวนะจากแพทย์ควรรับประทานให้ตรงตามแพทย์สั่งจนครบตามจำนวน
      - การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง(Healthy body)ให้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน นอนหลับอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    - - มารดาไม่มีอาการปัสสาวะแสบขัด
    - - หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ในการปฏิบัติตัวภายหลังกลับจากโรงพยาบาล
    - - มารดาบอกว่ามีอาการปัสสาวะแสบขัด
  - - - มารดามีวิธีการปฏิบัติตนระหว่างการตั้งครรภ์และนำไปปฏิบัติได้
    - - มารดาเข้าใจและสามารถอธิบายย้อนกลับได้
    - - 1.ประเมินความต้องการคำแนะนำ และจัดลำดับความสำคัญของความต้องการความรู้และคำแนะนำนั้นๆ
      - 2.แนะนำแหล่งข้อมูล เช่น หนังสือ วารสาร รายการโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต บุคลากรต่างๆ (แพทย์, พยาบาล)
      - 3.ให้หญิงตั้งครรภ์ได้ซักถามเนื้อหาในส่วนที่ไม่เข้าใจ
      - 4.ให้คำแนะนำตามไตรมาส
        
        ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2
        
        ควบคุมอาหารไม่ทานมากจนน้ำหนักตัวเกิน อาจเลือกทานผักผลไม้เป็นมื้อเสริมระหว่าง
        
        การออกกำลังกายเบาๆ ไม่หักโหมจนเกินไป เช่น การเดิน โยคะ ว่ายน้ำเพื่อให้อุ้มเชิงกรานขยายตัวได้ดีขึ้น
        
        พักผ่อนให้เพียงพอ มีช่วงเวลาในการนอนกลางวัน ไม่เครียด
        
        ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพราะจะเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ดังนั้นการเดินทางไกลๆ ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจจำเป็นต้องกลั้นปัสสาวะนานๆ
        
        การเคลื่อนไหวต้องระมัดระวังเรื่องการโดนกระแทกบริเวณหน้าท้อง การหกล้มและการก้มยกของหนัก
        
        ใช้ท่านั่ง ท่ายืน ท่านอน ที่เหมาะสม เช่น เพราะท้องโตมากขึ้นการขัยร่างกายจะลำบากขึ้น
      - 5.แนะนำหญิงตั้งครรภ์สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนกำหนดนัด เช่น มดลูก
        หดรัดตัวสมํ่าเสมออย่างน้อยทุก 10-15 นาที มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด มีนำ้เดิน ลูกไม่ดิ้นหรือด้นน้อยลง
    - - มารดาเข้าใจและอธิบายวิธีการปฏิบัติตัวย้อนกลับได้
    - - หญิงตั้งครรภ์สอบถามข้อมูลการปฏิบัติตัวภายหลังกลับจากโรงพยาบาล
  - - - : มารดามีวิธีการกระตุ้นพัฒนาการของทารกอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งคลอด
    - - : มารดาเข้าใจและสามารถบอกวิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ย้อนกลับได้
    - - 1.อธิบายให้มารดาเข้าใจถึงความสำคัญในการกระตุ้นพัฒนาการทารก
      - 2.แนะนำให้มารดาลูบหน้าท้อง โดยลูบเป็นวงกลมจากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบน
      - 3.แนะนำให้มารดาฟังเพลงที่ชอบ 1-2 ชม./วัน และพูดคุยกับลูก
      - 4.แนะนำการใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้อง ห่างจากหน้าท้องประมาณประมาณ 1 ฟุต และเคลื่อนไหวไปมาช้าๆ
      - 5.กระตุ้นให้ครอบครัวมีส่วนร่วม โดยเฉพาะสามีซึ่งสามารถกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ร่วมกับภรรยาได้ และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคู่สามีภรรยาอีกด้วย
    - - มารดาเข้าใจและอธิบายวิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ย้อนกลับได้
    - - มารดามีอายุครรภ์GA 26+4wks