Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ (CST : Contraction stress test (:no_entry…
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
NST : Non stress test
รูปแบบการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ (fetal heart rate pattern)
FHR variability
การแปรปรวนของการเต้นของหัวใจ
:check: Minimal variability
สังเกตเห็นความแปรปรวนของ FHR ได้แต่มีขนาดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 bpm
ภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis)
:check: Moderate (normal) variability
ช่วงขนาดของความแปรปรวนอยู่ระหว่าง
6-25 bpm
พบในทารกปกติ
:check: Absent variability
ไม่มีความแปรปรวนของ FHR เมื่อมองด้วยตาเปล่า
การตายจากขาดอากาศ (ASPHYXIA)
:check: Marked variability
ความแปรปรวนของ FHR มากกว่า 25 bpm
สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
หรือ
การตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน
FHR acceleration
การเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างฉับพลัน
ก่อนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์
FHR สูงจาก baseline มากกว่า 10 bpm เป็นเวลามากกว่า 10 วินาที
หลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์
FHR สูงจาก baseline มากกว่า 15 bpm เป็นเวลามากกว่า 15 วินาที
FHR baseline
ทารกปกติจะอยู่ระหว่าง 110-160 bpm
FHR deceleration
การลดลงของ FHR
Late deceleration
สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยช่วงที่ต่ำที่สุด เกิดขึ้นตามหลังกับการหดรัดตัวของมดลูกที่สูงที่สุด
สาเหตุจาก Uteroplacental insufficiency , มารดามีความดันโลหิตที่ต่ำลง ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกไม่พอ
:warning: รุนแรง
Variable deceleration
ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก สัมพันธ์
กับภาวะที่สายสะดือของทารกถูกกด
ลดลงมากกว่า 15 bpm เป็นเวลามากกว่า 15 วินาทีแต่น้อยกว่า 2 นาที เป็น U shape
Early deceleration
สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก ช่วงที่ต่ำที่สุดเกิดพร้อมกับการหดรัดตัวของมดลูกที่สูงที่สุด
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากศรีษะของทารกถูกกด จะเกิดในช่วงที่มีการเปิดของปากมดลูก
4 ถึง 7 เซนติเมตร
-หรือขณะที่มดลูกหดรัดตัวมีการกดทับสายสะดือ ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถไปเลี้ยงได้
Prolong deceleration
มีการลดลงของ FHS ต่ำกว่า baseline อย่างน้อย 15 bpm และเป็นเวลาอย่างน้อย 2 นาที แต่ไม่ถึง 10 นาที นับตั้งแต่เริ่มต่ำลงจนถึง กลับเข้าสู่ rate ปกติ
ครรภ์เสี่ยงสูงที่จำเป็นต้องตรวจ
Intrauterine growth restriction:IUGR
ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
Postterm pregnancy ครรภ์เกินกำหนด
Oligohydramnios / Polyhydramnios ภาวะความผิดปกติของน้ำคร่ำ
Previous unexplained fetal demise ทารกในครรภ์เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุ
Decreased fetal movement ทารกดิ้นน้อยลง
Multiple gestation ครรภ์แฝด
Preeclampsia
ครรภ์เป็นพิษ
วิธีการตรวจ
จัดท่า semi-Fowler หรือ ท่านอนตะแคงซ้าย จะดีกว่าท่านอนหงายซึ่งมักทำให้เกิด supine hypotension มีผลต่อการแปลผล NST
วัดความดันโลหิต
ติดเครื่อง electronic fetal monitoring โดยติดหัวตรวจ tocodynamometer เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก ไว้ที่ตำแหน่งยอดมดลูก และหัวตรวจ FHR ไว้ที่ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดที่สุด
บันทึก นาน 20นาที ถ้ายังแปลผลไม่ได้ให้บันทึกต่ออีก 20 นาที รวมเป็น 40 นาที
เพื่อ
ตรวจดูการตอบสนองของ FHR เมื่อทารกเคลื่อนไหว บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ทางกายภาพ การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ระบบหัวใจและหลอดเลือดของทารก ควรเริ่มเมื่อ :frog: GA 32 wks.
ความจำเพาะสูง มากกว่า 90% แต่ความไวต่ำประมาณ 45-55% ซึ่งก็คือมี ผลบวกลวงสูง
เน้นบอกว่าทารกในครรภ์สุขภาพดี
การแปลผล
Reactive
โดยที่ FHR baseline อยู่ในช่วง 110-160 bpm และ baseline variability อยู่ในช่วง 5-25 bpm
ก่อนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์
มีการเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างน้อย 10 bpm และนานกว่า 10 วินาที
หลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์
การเพิ่มขึ้นของ FHR มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงการตรวจ 20 นาที
Nonreactive
การเพิ่มขึ้นของ FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นเลยในการตรวจนาน 40 นาที
การพยาบาล
ซักถามประวัติการทานยาที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ดูแลจัดให้มารดานอนท่าที่สบาย อาจเพิ่มการตะแคงซ้ายยกขาเล็กน้อย วัดระดับความดันโลหิตก่อนทำการตรวจ
อธิบายขั้นตอนการทำเพื่อลดความเครียด ดูแลให้มารดาทานข้าวมาให้เรียบร้อย
ควรตรวจในช่วงเวลา 08.00-16.00 ตามวงจรการหลับตื่น
:green_cross: ถ้าพบ NST ผิดปกติ ดูแลให้อ็อกซิเจน นอนตะแคงซ้าย ให้สารน้ำ
CST : Contraction stress test
เป็นการทดสอบดูการเปลี่ยนแปลงของ FHR
ในครรภ์ ขณะที่มดลูกหดรัดตัวเพื่อตรวจคัดกรองหญิงมีครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงว่าจะมีเลือดไปเลี้ยงมดลูกและรกพอไหม
เหมือน NST แต่เพิ่มการกระตุ้นการหดรัดตัว
:no_entry:
ครรภ์ทีี่ห้ามในการทำ CST
:no_entry:
1)เคยได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
2)มีประวัติเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
3)ปากมดลูกหย่อนสมรรถภาพ
4)ตั้งครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดนํ้า
5)มีเลือดออกขณะตั้งครรภ์
6)ภาวะรกเกาะตํ่า
7)Premature Rupture Of Membranes
วิธีการตรวจ
จัดท่า semi-Fowler หรือ ท่านอนตะแคงซ้าย จะดีกว่าท่านอนหงายซึ่งมักทำให้เกิด supine hypotension มีผลต่อการแปลผล
วัดความดันโลหิต และวัดระหว่างการตรวจทุก 10 นาที
ติดเครื่อง electronic fetal monitoring โดยติดหัวตรวจ tocodynamometer เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก ไว้ที่ตำแหน่งยอดมดลูก และหัวตรวจ FHR ไว้ที่ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดที่สุด
บันทึกรูปแบบการเต้นของหัวใจ ระหว่างที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งควรมี 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละ 40-60 วินาที(Duration)
:red_cross:ถ้าไม่ได้ตามนี้ให้ชักนำด้วยวิธีดังต่อไปนี้
กระตุ้นด้วย oxytocin โดยให้ทางหลอดเลือดดำ เริ่มที่ 0.5 mU/เพิ่มได้ทีละ 2 เท่า ทุก 15-20 นาที จนกระทั่งมี การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาที แต่ละครั้งนาน 40-60 วินาที
การทำ nipple stimulation โดยใช้มือคลึงที่หัวนมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง หรือ คลึงไปมาที่หัวนมข้างเดียวนาน 2 นาที แล้วหยุด 5 นาที ถ้าการหดรัดตัวยังไม่ถึงเกณฑ์ให้กระตุ้นแบบเดิมต่อ / กระตุ้นหัวนมด้วยผ้าชุบนํ้าอุ่น นวดหัวนม 2 นาที หรือจนมดลูกมีการหด
ถ้าพบ late deceleration(FHR drop ขณะที่มดลูกคลายตัวแล้ว) ทุกครั้งที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ถึงแม้จะยังไม่ถึง 20 นาที ก็ให้หยุดทดสอบได้
หลังหยุดสังเกตการหดรัดตัวของมดลูกจนมดลูกคลายตัว ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 90 นาที
แปลผล
Positive
:check: Late deceleration มากกว่า 50 % เมื่อมดลูกมีการหดรัดหัว (แม้ว่าการหดรัดหัวของมดลูกน้อยกว่า 3 ครั้งใน 10 นาที)
Equivocal
Suspicious
มี Late deceleration หรือ Variable deceleration น้อยกว่า 50%
Hyperstimulation
มี Late deceleration โดยมี interval ทุก 2 นาที หรือ มี Duration นานกว่า 90 วินาที หรือหดรัดหัวตลอดเวลา (Tetanic contraction) :timer_clock:
Negative
การหดรัดหัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาที โดย :forbidden:ไม่มี : Late deceleration หรือ Variable deceleration
Unsatisfactory
wม่สามารถอ่านผลของ FHR ได้หรือการหดรัดหัวของ มดลูกไม่พอเพียงคือ น้อยกว่า 3 ครั้งใน 10 นาที
วิธีนี้มีความไว 50% มีความจำเพาะ 80% คือ มีผลลบลวงน้อย เน้นเอาไว้ตรวจกรณที่ NST ไม่ปกติ
:!!: อันตรายต่อมารดา คืออาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
การพยาบาล
1)จัดให้มารดานอนพักทำตะแคงซ้าย ศีรษะสูง 30 องศา เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกเพิ่มขึ้น
2)ประเมินการหดรัดหัวของมดลูก ทุก 15 นาทีและควบคุมการหดรัดหัวของมดลูก ไม่ให้เกิน 60 วินาทีหรือหดรัดหัวไม่เกิน 3 ครั้งต่อ 10 นาที เพื่อให้การคลอดปกติ
3)ประเมินการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ทุก 15-30 นาที
4)ประเมินความหันโลหิต ชีพจรและการหายใจ ทุก 15 นาที
5)แนะนำการดูแลตนเองระหว่างและหลังการตรวจเพื่อให้สามารถดูแลตนเองมากขึ้น
6)เตรียมการให้ออกซิเจนและการฟื้นคืนชีพแก่ทารกแรกเกิดระหว่างการชักนำการคลอด
7)ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจพบต่างๆ และการช่วยเหลือที่มารดาจะได้รับ เพื่อให้ มารดามั่นใจต่อการดูแลยิ่งขึ้น
ไม่นิยม
BPP : Biophysical profile
เป็นการศึกษา Biophysical Activity ของทารกในครรภ์ แล้วนำมาคิดคะแนนเป็น Fetal biophysical profile scoring :green_heart: เม้นยำกว่า NST+CST เริ่มทำ BPP ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 25 สัปดาห์
Parameter ที่ใช้
ความตึงตัวของทารก (Fetal tone = FT)
หัวใจทารกตอบสนองเมื่อทารกเคลื่อนไหว (Reactive fetal heart rate)
การเคลื่อนไหวของ ทารกทั้งร่างกาย
(Gross body movement = FM)
ปริมาณน้ำครํ่า (Amniotic fluid volume)
Chronic marker
เกิดเรื้อรังมานาน ค่อยเป็นค่อยไป
การหายใจของทารก
(Fetal breathing movement = FBM)
Acute marker
คุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง ที่ไวต่อภาวะขาดออกซิเจน
การแสดงคะแนน
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ biophysical profile score
ปัจจัยทางมารดา :silhouettes:
การได้รับยาหรือสารต่าง ๆ เช่น กลุ่มยานอนหลับ, ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม เช่น aldomet ซึ่งเป็นยาลดความดันโลหิต, กลุ่มยากระตุ้นประสาท เช่น theophylline, ยาหรือสารเสพติด เช่น โคเคน แอมเฟตามีน ยา indomethacin เป็นต้น
สูบบุหรี่
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เช่น มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือได้รับยาที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ทุพโภชนาการ
ภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ เช่น ชัก รกลอกตัวก่อนกำหนด หรือ ketoacidosis
ปัจจัยด้านทารก :baby::skin-tone-2:
การแปรปรวนของพฤติกรรมทารกในครรภ์ บางครั้งอาจจะลดลงได้
มีการหายใจอย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เป็นรูปแบบปกติทั่วไป
ภาวะน้ำคร่ำน้อย
ภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเล็กน้อย โดยที่น้ำคร่ำปกติ
ครรภ์ความเสี่ยงสูง
ความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์
ทารกโตช้าในครรภ์
เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
เบาหวาน
ครรภ์เกินกำหนด
ช้อยสุดท้ายที่เลือกตรวจ
Doppler ultrasound
เป็นการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับเมื่อเป้าที่สัญญาณไปกระทบนั้นมีการเคลื่อนไหว ทำให้เห็นพยาธิสภาพการไหลเวียนของเลือดที่รกรวมถึงทารก
เส้นเลือดที่นิยมตรวจ
:pencil2: Umbilical artery
เมื่อมี uteroplacental insufficiency หรือ มีการลดลงของเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูก รกมีแรงต้านมากขึ้น รูปคลื่นที่จะเห็นได้ คือ
diatole wave ต่ำลง ถ้ารุนแรงมากก็จะมีลักษณะ AEDV : absent end diastolic velocity
REDV : reverse end diastolic velocity มีการสะท้อนและไหลกลับ
ถ้าพบลักษณะนี้พิจารณายุติการตั้งครรภ์เร็วที่สุด
:tada:Ductus venosus และ umbilical vein
บ่งชี้ถึงการทำงานของหัวใจ ตรวจดู venous Doppler
ductus venosus
a wave ที่บอกถึง atrial contraction จะลดลง หายไป หรือไหลย้อนกลับก็ได้
umbilical vein
ปกติจะมีลักษณะเป็น monophasic wave ไม่ขึ้นหรือลง ถ้าในรายที่มีความผิดปกติชนิดรุนแรงจะเห็นการไหลเวียนเป็นรูปคลื่น (pulsation)
:champagne:Middle cerebral artery
ในรายที่มีปัญหา ซีด / uteroplacental insufficiency / hypoxia / แฝดที่มีปัญหา / IUGR จะมีการพยายามส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนสำคัญไว้ให้มากที่สุด เช่น สมอง ทำให้มีการไหลเวียนเลือดในสมองมากขึ้น เรียก brain sparing effect เพราะฉะนั้นรูปคลื่นที่จะเห็นได้คือ
diastolic wave มีขนาดสูงขึ้น
Down Syndrome
เป็นโรคความผิดปกติทางด้านพันธุกรรมของโครโมโซมคู่ที่ 21 ทำให้มีการพัฒนาด้านสติปัญญาช้า ปัญหาการเจริญเติบโตของระบบต่างๆรวมถึงมีลักษณะที่แปลกไปของรูปร่างภายนอก :warning: เสี่ยงในมารดาอายุ > 35 ปี
ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
การวินิจฉัย
การตรวจคัดกรอง :black_flag:
ตรวจเลือดมารดา
ตรวจหาปริมาณของ alpha-feto protein (AFP), unconjugated estriol (uE3) และ human chorionic gonadotropin (hCG) ในการตั้งครรภ์
ไตรมาสที่สอง
(Triple test)
AFP มีค่าต่ำ ค่าhCG) มีค่าสูง และค่า uE3 ต่ำ
ตรวจหาปริมาณของสารเคมีของ triple screen และ inhibin A ในการตั้งครรภ์
ไตรมาสที่สอง
(Quadruple screen)
ตรวจหาปริมาณของ pregnancy associaled plasma protein A (PAPP-A) และ human chorionic gonadotropin (hCG) ในการตั้งครรภ์
ไตรมาสแรก
PAPP-A จะมีค่าต่ำลงและค่า free beta-hCG มีค่าสูงขึ้น
ตรวจโดยการใช้เครื่องอัลตราซาวด์วัด nuchal translucency (NT=ถุงน้ำใต้ต้นคอ) ที่บริเวณต้นคอของทารกในการตั้งครรภ์ไตรมาสแรก
หนากว่าปกติ
ตรวจโดยการใช้เครื่องอัลตราซาวด์เพื่อหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ (genetic sonogram) ในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่สอง
การตรวจยืนยัน :check: (หาจำนวนโครโมโซมของทารก)
2.1 Amniocentesis / การเจาะน้ำคร่ำ
:+1: ทำในช่วงอายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
วิธีทำ
ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อวัดสัดส่วนของทารก และค้นหาความพิการแต่กำเนิดที่อาจพบได้
เลือกตำแหน่งของการเจาะน้ำคร่ำให้เป็นบริเวณที่ไม่เสี่ยงต่อการถูกทารก
ใช้เข็ม Spinal needle เบอร์ 20-22G เจาะผ่านทางหน้าท้องมารดา :warning: โดยมองแนวเข็มที่เจาะอยู่ตลอดเวลาผ่านการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ป้องกันการบาดเจ็บของทารก
ดูดน้ำคร่ำทิ้งประมาณ 2 ซีซี เนื่องจากอาจปนเปื้อนกับเซลล์ของมารดาได้มาก และทำให้การแปลผลคลาดเคลื่อนได้
ดูดน้ำคร่ำออกมาเป็นจำนวน 8 ซีซี ทั้งหมด 2 กระบอกเพื่อส่งตรวจโครโมโซม
:smiley: หลังการเจาะให้นอนพักประมาณ 20 นาทีและถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆจึงให้กลับบ้านได้ และควรงดการทำงานหนักหรือยกของหนัก และงดการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 7 วัน
2.2 Cordocentesis / การเจาะเลือดสายสะดือทารก
ทำในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 18-22 สัปดาห์
:forbidden: โอกาสแท้งจากการเจาะถือว่าสูงกว่าวิธีอื่น
จะมีีข้อบ่งชี้ คือ
อายุครรภ์เกิน 20 สัปดาห์
ทารกในครรภ์มีความจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยก่อนคลอดในโรคอื่นๆที่ต้องใช้การตรวจเลือดสายสะดือร่วมกันในคราวเดียว เช่น ธารัสซีเมีย
วิธีทำ
หาตำแหน่งสายสะดือที่เหมาะสม
ควรเจาะที่ตำแหน่งสายสะดือที่เกาะที่รก (Placental cord insertion)
3.ฉีดยาชาบริเวณหน้าท้องมารดาในตำแหน่งที่เจาะ
ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อยืนยันอายุครรภ์และหาความพิการแต่กำเนิดที่อาจพบ
ใช้เข็มSpinal needle เจาะลงไปในเส้นเลือดดำสายสะดือ โดยพยายามหลีกเลี่ยงการเจาะในเส้นเลือดแดง :!: (Umbilical arteries)
อาจทำให้เกิดการหดรัดตัวของเส้นเลือดและทำให้มีการเต้นของหัวใจทารกที่ช้าลงได้ (Vasospasm and fetal bradycardia)
5.ดูดเลือดทารกประมาณ 0.5 ซีซี (หรือ 1 ซีซี ในกรณีส่งตรวจทั้งเรื่องโครโมโซมและธาลัสซีเมีย)
ในหลอดบรรจุเลือดที่ต้องการส่งตรวจโครโมโซมต้องบรรจุสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Heparin
ให้สตรีตั้งครรภ์นอนพักสังเกตอาการประมาณ 20 นาที ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆจึงให้กลับบ้านได้ และนัดมาฟังผลในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา
ภาวะแทรกซ้อน Cord hematoma / Feto-maternal hemorrhage / Fetal bradycardia สามารถหายไปเองได้โดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ
2.3Chorionic Villous Sampling : CVS / การตัดชิ้นเนื้อรก
:+1: ช่วงอายุครรภ์ 11-14 สัปดาห์
มักเลือกใช้ในสตรีไตรมาสแรก
วิธีทำ
เจาะผ่านหน้าท้องมารดาไปยังตำแหน่งรก
ใช้เข็มชนิดที่ใช้เจาะน้ำไขสันหลัง เจาะผ่านหน้าท้องมารดาไปยังตำแหน่งรก
ไม่ให้เจาะผ่านถุงน้ำคร่ำและไม่โดนตัวทารกในครรภ์
ต่อกระบอกฉีดยาซึ่งมีน้ำเกลืออยู่ภายในเล็กน้อย ประมาณ 1-2 ซีซี เข้ากับเข็ม
ฉีดยาชาบริเวณนั้น
ดึงกระบอกฉีดยาให้เกิดเป็นแรงดันสูญญากาศภายใน จากนั้นจึงทำการขยับเข็มขึ้นลง 2-3 ครั้งเพื่อให้เนื้อเยื่อของรกส่วนที่จะนำมาตรวจหลุดออกจากรกโดยรอบ
หาตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการเจาะ
ดึงเข็มและกระบอกฉีดยาออกพร้อมกัน โดยยังรักษาให้เกิดแรงดันสูญญากาศภายในตลอดเวลา จะพบว่าได้ชิ้นส่วนของเนื้อรกติดมาในกระบอกฉีดยาด้วย
ผ่านทางช่องคลอดและปากมดลูก
สตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง
เคยตั้งครรภ์ทารกกลุ่มอาการดาวน์ หรือ trisomy อื่นๆ
มีความผิดปกติของโครโมโซมชนิด translocation หรือ inversion หรือ aneuploidy ของตัวสตรีตั้งครรภ์เองหรือสามี
ผลการตรวจอัลตราซาวด์พบความผิดปกติของโครงสร้างทารกชนิด major อย่างน้อย 1 อย่าง หรือชนิด minor อย่างน้อย 2 อย่างขึ้นไป
:explode:
ถ้าพบภาวะDown Syndrome
ยุติการตั้งครรภ์
ถ้าทราบผลการวินิจฉัยก่อนคลอดค่อนข้างเร็วตั้งแต่ช่วงอายุครรภ์ยังไม่เกิน 12 สัปดาห์ การยุติการตั้งครรภ์สามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ใช้วิธีการขูดมดลูก หรือ ใช้ยาเป็นแบบผู้ป่วยนอก
ตั้งครรภ์ต่อไปตามปกติ
Ultrasound / การตรวจอัลตราซาวด์
ใช้คลื่นความถี่สูง ส่งคลื่นเสียงผ่านหัวตรวจไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ต้องการตรวจ เมื่อคลื่นเสียงกระทบกับเนื้อเยื่อร่างกายต่างชนิดกันจะหักเหสะท้อนกลับมาสู่หัวตรวจต่างกันไปตามแต่ชนิดของเนื้อเยื่อ จากนั้นเครื่องอัลตราซาวด์จะนำคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับนี้แปลงเป็นภาพ 2 มิติ ซึ่งเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตามการเคลื่อนที่ของหัวตรวจในขณะนั้น และสามารถนำมาสร้างภาพเป็น 3 มิติ เหมื่อนการถ่ายรูป
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
ตรวจดูทารกในครรภ์ ได้แก่ :baby::skin-tone-3:
ดูความเจริญเติบโต
ตรวจอายุครรภ์
ตรวจหาตำแหน่ง และความสมบูรณ์ของรก
ดูความผิดปกติของทารกในครรภ์
ดูเพศของทารก
ชัดเจนในช่วงอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ขึ้นไป
ฯลฯ
ข้อดีของการตรวจด้วยอัลตราซาวด์
ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว และไม่เป็นอันตราย หรือภาวะแทรกซ้อนต่อผู้ป่วย รวมทั้งทารกในครรภ์
การเตรียมตัวและวิธีการตรวจไม่ยุ่งยาก
สามารถทำได้ 2 ทาง คือ ผ่านทางหน้าท้องและผ่านทางช่องคลอด
:star:
ราคาต่อหน่วยไม่สูง
การตรวจ
ไตรมาสที่ 1 :pregnant_woman::skin-tone-2:
ทำช่วงอายุครรภ์ 11 – 13 สัปดาห์
ใช้ตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ได้ โดยการวัดความหนาของต้นคอทารกและดูกระดูกบริเวณดั้งจมูกของทารก
ตรวจเพื่อยืนยันอายุครรภ์
ไตรมาสที่ 2 :pregnant_woman:
ทำช่วงอายุครรภ์ 18 – 22 สัปดาห์
ยืนยันอายุครรภ์ในมารดาที่มาฝากครรภ์ช้า
ตรวจอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง กระดูกสันหลัง หัวใจ ตับ ไต
ตรวจดูตำแหน่งรกและปริมาณน้ำคร่ำ
ตรวจการไหลเวียนโลหิตของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกซึ่งเชื่อมต่อมายังทารก
ในมารดามีประวัติ
คลอดก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน
แพทย์จะทำการวัดวัดความยาวของปากมดลูกในช่วงอายุครรภ์นี้ผ่านเครื่องอัลตราซาวนด์ เพื่อทำนายในการที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนดซ้ำ
ไตรมาสที่ 3 :pregnant_woman::skin-tone-3:
ทำในช่วงอายุครรภ์ 28 – 32 สัปดาห์
ตรวจดูพัฒนาการของทารกในครรภ์
ตรวจดูอัตราการเจริญเติบโตของทารก
ประเภท
วิธี Color Doppler Image *วิธีตรวจทางหน้าท้อง
เป็นวิธีการตรวจอัลตราซาวด์ที่สามารถตรวจวัดปริมาณและความเร็วของกระแสเลือด ซึ่งทำให้รู้ถึงความผิดปกติของการไหลเวียนเลือดของทารก
ดูการเจริญเติบโตในอายุครรภ์น้อยๆ
ฟ้องแนวโน้มการเกิด IUGR ได้ดีกว่า u/s ธรรมดา เพราะเห็นระบบไหลเวียนเลือดสารอาหารได้ตั้งแต่ก่อนเกิด
1.umbilical arteryจากหัวใจวิ่งเข้ารก
umbilical veinจากรกไปหัวใจเด็ก(ถ้าไม่ดีชหัวใจเด็กมีปัญหา)
ผิดปกติ คือ revert wave การไหลเวียนไม่ดีมีการย้อนกลับเพราะหลอดเลือดมีอะไรขวาง
2.cerebralของเด็ก
วิธี 3D *วิธีตรวจทางหน้าท้อง
เป็นวิธีที่ช่วยให้เห็นรูปร่างจริงแบบ 3 มิติของทารกในท้อง
วิธี Ultrasonotomography
เป็นวิธีที่แสดงข้อมูลที่ได้รับจากการสะท้อนของคลื่นอัลตราโซนิกเป็นภาพ 2 มิติ (แนวราบ) และเป็นวิธีการตรวจที่ใช้กันมากที่สุด
มีทั้งแบบตรวจทางช่องคลอดและทางหน้าท้อง
ใช้ในการตรวจสอบการเจริญเติบโตของทารก และตรวจสภาพมดลูกและรังไข่ของมารดา
วิธี 4D *วิธีตรวจทางหน้าท้อง
จะแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มีมิติเวลาเพิ่มจากวิธี 3D โดยจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของทารกได้
1 :peach:
2 :pineapple:
3 :cupid:
4 :evergreen_tree:
แบบปกติ
AEDV
REDV
แบบปกติ
brain sparing effect
ปกติ
decreased a wave
reverse a wave
ปกติ
pulsation
5 :grapes:
6 :mountain:
นริศรา นายโรง เลขที่ 26
http://www.amno.moph.go.th/amno_new/files/002-LBW.pdf