Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ดาวน์โหลด การตรวจพิเศษ (ประเมินสุขภาพทารกภายในครรภ์) (:star:Non…
การตรวจพิเศษ
(ประเมินสุขภาพทารกภายในครรภ์)
:star:Non Stress Test (NST)
เป็นการตรวจดูการตอบสนองของ fetal heart rate
เมื่อทารกเคลื่อนไหว บ่งบอกถึงการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ระบบหัวใจ และหลอดเลือดของทารก จึงเป็นการตรวจภาวะสุขภาพของทารกโดยตรง โดยอาศัยการรับรู้จากมารดาหรือบันทึกการเคลื่อนไหวทารกโดยใช้เครื่องมือ doppler
ข้อบ่งชี้
โรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced hypertension : PIH)
โรคความดันโลหิตสูงเรื้องรัง
(chronic hypertension in pregnancy)
หญิงตั้งครรภ์มีภาวะซีด
โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์
(Pregestational diabetes)
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
(Gestational diabetes)
โรคหัวใจ
หญิงตั้งครรภ์มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
ทารกน้ำคร่ำน้อย oligohydramnios
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ IUGR (Intrauterine Growth Retardation)
ทารกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น
ทารกเกินกำหนด หรือครรภ์เกินกำหนด มากกว่าเท่ากับ 42 weeks
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด PROM (Premature rupture of membranes)
หญิงตั้งครรภ์มีประวัติทารกตายคลอด
หญิงตั้งครรภ์มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
หลักการ
ควรเริ่มตรวจ NST เมื่อ GA > 32 weeks. สามารถตรวจก่อนนี้ได้ถ้าพบความผิดปกติ
ถึงแม้การตรวจ NST แปลผลออกมาปกติก็ควรตรวจซ้ำทุกสัปดาห์
ถ้าพบว่า ทารกมีภาวะ IUGR, Postterm หรือ
หญิงตั้งครรภ์มีภาวะ PIH, DM และ Rh isoimmunization ควรตรวจถี่ขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
NST reactive สามารเชื่อมั่นได้ว่าทารกในครรภ์สุขภาพดี แต่ nonreactive
ยังไม่สามารถบอกได้ว่าทารกอยู่ในภาวะอันตรายจริงหรือไม่ต้องตรวจยืนยันเพิ่มเติม
การแปลผล
Reactive
แสดงอัตราการเพิ่มของ FHR เมื่อทารกมีการเคลื่อนไหว มากว่า 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงตรวจ 20 วินาที โดยระหว่างที่ตวรจสามารกระตุ้นการเคลื่อนไหวด้วย artificial larynx 1-2 วินาทีที่หน้าท้องของหญิงตั้งครรภ์ และทำซ้ำได้ 3 ครั้ง ถ้า GA < 32 weeks FHR ควรเพิ่มอย่างน้อย 10 bpm และนานกว่า 10 วินาที โดยที่ FHR อยู่ในช่วง 110-160 bpm และ baseline variability อยู่ในช่วง 5-25 bpm
Nonreactive
FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของ FHR
วิธีการตรวจและการพยาบาล
จัดท่า semi-fowler หรือท่านอนตะแคงซ้าย จะดีกว่าท่านอนหงายซึ่งมักทำให้เกิด supine hypotension มีผลต่อการแปลผล NST
วัดความดันโลหิต
ติดเครื่อง eletronic fetal monitoring เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก โดย หัวตรวจ tocodynamometer ไว้ที่ตำแหน่งยอดมดลูก และหัวตรวจ FHR ไว้ที่ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดเจนที่สุด
บันทึกประมาณ 20 นาที ถ้ายังแปลผลไม่ได้ให้บันทึกต่ออีก 20 นาที
รูปแบบการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์
(fetal heart rate pattren)
FHR baseline 110-160 bpm
FHR variability คือการแปรปรวนของการเต้นของหัวใจ
short term variability แปรปรวนระหว่างการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง
long term variability ความแปรปรวนของ FHR ในแต่ละช่วง
Moderate (normal) variability คือ ช่วงขนาดความแปรปรวนอยู่ระหว่าง 6-25 bpm มักพบในทารกปกติ
Minimal variability คือ มีความแปรปรวนของ FHR แต่มีขนาดน้อยกว่าหรอเท่ากับ 5 bpm สัมพันธ์กับภาวะ acidosis แต่อาจไม่มี asphyxia
Absent variability คือ ไม่มีความแปรปรวนของ FHR สัมพันธ์กับภาวะ asphyxia (การตายจากขาดอากาศ)
Marked variability คือ ความแปรปรวนของ FHR มากกว่า 25 bpm สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ และยังเป็นการตอบสนองต่อภาวะขาด O2 fetal distress
FHR acceleration คือการเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างฉับพลัน มากกว่า 15 bpm และนานกว่า 15วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที
ถ้านานกว่า 2 นาที แต่ไม่ถึง 10 นาที คือ Prolonged deceleration
FHR deceleration คือ การลดลงของ FHR
Early deceleration คือ FHR ลดลงอย่างช้า ๆ และกลับคืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก
Variable deceleration คือ FHR ลดลงอย่างฉับพลัน มากว่า 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที แต่ไม่เกิน 2 นาที
Late deceleration คือ FHR ลดลงอย่างช้า ๆ กลับคืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ โดยจุดเริ่มต้นของการลดลงของ FHR และการกลับคืนสู่ baseline จะเกิดช้ากว่าจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก
:star:
Biophysical profile (BPP)
เป็นการตรวจ ultrasound ร่วมกับการตรวจ nonstress test (NST) เพื่อที่จะประเมินสุขภาพของทารกในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาศที่ 3 ทำการตรวจนี้เมื่อสงสัยสุขภาพของทารกว่ายังดีหรือไม่จากการตรวจด้วยวิธีอื่น หรืออาการอื่น ๆ
วิธีการตรวจและการพยาบาล
การตรวจ biophysical profile จะต้องมีการตรวจสองวิธีพร้อมกัน ได้แก่
การตรวจ NST
การทำ ultrasound เพื่อตรวจส่วนที่สำคัญ
จัดท่า semi fowler ตะแคงว้ายเล็กน้อย
ใช้หัวตรวจคลื่นความถี่สูงตรวจแนวแกนยาวตามลำตัวทารก ซึ่งทำให้สามารถเห็นหน้า, แขนท่อนล่าง, มือ, ทรวงอก
จับเวลาเฝ้าสังเกตทารกจนกระทั่งสรุปได้ว่าทารกมี activity หรือจนครบ 30 นาที
ตรวจวัดแอ่งน้ำคร่ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแนวดิ่ง ในกรณีน้ำคร่ำมากพอ (แม้จะมี cord รวมด้วยก็ไม่เป็นไร) แต่ในรายน้ำคร่ำน้อยให้วัดแอ่งน้ำคร่ำในบริเวณที่ไม่มีสายสะดือรวมอยู่
หลักการ
หลักการของ BPP คล้าย ๆ กับ Antepartum Fetal heart rate testing (AFHR) คือผลของ Fetal hypoxia กดต่อ Biophysical parameter ต่าง ๆ การนำ BPP มาใช้ร่วมกับ NST จะช่วยลดผลบวกลวงของ NST
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เช่น การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว การหายใจ และ tone ของกล้ามเนื้อ ซึ่งถูกควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system, CNS) ที่ไวต่อภาวะขาดออกซิเจน ดังนั้นถ้ามีความผิดปกติ แสดงถึงความผิดปกติของสภาวะสมดุลกรด-ด่างภายในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงเรื้อรัง เช่น ปริมาณน้ำคร่ำลดลง IUGR พบได้บ่อยในครรภ์เกินกำหนด รกเริ่มมีการเสื่อมสภาพ มี calcification ภายในจะทำให้การไหลเวียนและแลกเปลี่ยนสารอาหารไม่ดี จะสัมพันธ์กับ abnormal fetal heart rate pattern และภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption)
ข้อบ่งชี้
ตั้งครรภ์แฝด
ตรวจในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด โรค SLE โรคไทรอยด์ โรคไต โรคหัวใจ
อายุครรภ์เกินกำหนดคลอด
เคยมีประวัติทารกเสียชีวิต
ทารกเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ หรือการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ
ปริมาณน้ำคร่ำมากหรือน้อยกว่าปกติ
มีปัญหาเรื่องกลุ่มเลือด Rh
การแปลผล
6-8 คะแนน ให้พิจารณาตามปริมาณน้ำคร่ำ ถ้าน้ำคร่ำปกติ โอกาสเกิด asphyxia น้อย แต่ต้องตรวจ BPP ซ้ำใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าน้ำคร่ำน้อย โอกาสเกิด asphyxia สูงขึ้น
0-4 คะแนน ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ควรรีบให้คลอด
8-10 คะแนน โดยที่ปริมาณน้ำคร่ำปกติ แปลผลว่าทารกในครรภ์ยังปกติดี ไม่จำเป็นต้องรีบให้คลอด
Parameter ที่ใช้ในการประเมิน
การหายใจ (fetal breathing movement, FBM)
2 คะแนน = ใน 30 นาที เห็นการเคลื่อนไหว แสดง การหายใจนาน 30 วินาที อย่างน้อย 1 ครั้ง
0 คะแนน = ใน 30 นาทีไม่มีการเคลื่อน ไหวหรือมี การเคลื่อนไหวแสดง การหายใจแต่ นานไม่ถึง 30 วินาที
การเคลื่อนไหว (Gross body movement = FM)
2 คะแนน = ใน 30 นาทีเห็นหมุนตัวหรือแขนขา เคลื่อนไหวไปมาอย่างน้อย 3 ครั้ง (เคลื่อนไหวไปมาจนหยุดนับเป็น 1 ครั้ง)
0 คะแนน = ใน 30 นาที เห็นลำตัวหรือแขน ขา เคลื่อนไหว 2 ครั้ง หรือน้อยกว่า
ความตึงตัวของทารก (Fetal tone = FT)
0 คะแนน =ไม่เห็นทารกเคลื่อนไหวหรือ เคลื่อนไหวตัว แขนขาเหยียดเข้าออก ช้า ๆ และ ไม่เข้ารูปเดิม
2 คะแนน = เห็นแขน ขาหรือลำตัวเหยียดออกและหดเข้าหรือบิดไปมาแล้วคืนสภาพหรือเห็นมือแบออกและกำ
หัวใจทารกตอบสนองเมื่อทารกเคลื่อนไหว (Reactive fetal heart rate)
2 คะแนน = ในเวลา 20 นาที มีการเคลื่อนไหวของ ทารกและมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็ว ขึ้นมากกว่า 15 ครั้งต่อนาที นาน 15 วินาที เห็นอย่างน้อย 2 ครั้ง
0 คะแนน =ในเวลา 20-40 มีอัตราการเต้นของ หัวใจเร็วขึ้นไม่ถึง 15 ครั้งต่อนาที และ เห็นน้อยกว่า 2 ครั้ง
ปริมาณน้ำครํ่า (Amniotic fluid volume)
2 คะแนน = ในแนวดิ่งเห็นน้ำครํ่าอย่างน้อย 1 ช่อง มีขนาดไม่น้อยกว่า 2 ซม.
0 คะแนน = ไม่เห็นน้ำครํ่าเลยหรือกัดได้มีขนาด น้อยกว่า 2 ซม. ในแนวดิ่ง
:star:
Contraction stress test (CST)
เป็นการประเมินภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์โดยดูากความสัมพันธ์ระหว่าง FHR กับการหดรัดตัวของมดลูก
หลักการ
การตรวจด้วย CST จะทำในรายที่เป็น nonreactive NST โดยวิธีการทำต้องมีการหดรัดตัวของมดลูกร่วมด้วย ถ้าไม่มีต้องชักนำให้เกิด ซึ่งมีวิธีการชักนำอยู่ 2 วิธี คือ การกระตุ้นด้วย oxytocin หรือ nipple stimulation
ข้อบ่งชี้
ควรเริ่มทำเมื่อ GA 32 weeks ตรวจซ้ำได้ทุกสัปดาห์
อาจเพิ่มเป็นสัปดาหืละ 2-3 ครั้ง ถ้ามารดาเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย หอบหืด หรือทารกดิ้นน้อยลง
ข้อห้าม
Preterm labor หรือมีความเสี่ยงสูงในการเกิด preterm labor.
Preterm premature rupture of membrane
มีประวัติผ่าตัดมดลูกหรือ classic cesarean delivery.
Placenta previa
Multiple gestation
Polyhydramnios
วิธีการตรวจ
และการพยาบาล
จัดท่า semi-Fowler หรือ ท่านอนตะแคงซ้าย จะดีกว่าท่านอนหงายซึ่งมักทำให้เกิด
supine hypotension มีผลต่อการแปลผล NST
บันทึกรูปแบบการเต้นของหัวใจ ระหว่างที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งควรมี 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละ 40-60 วินาที ถ้าไม่มีให้ชักนำด้วยวิธีดังต่อไปนี้
กระตุ้นด้วย oxytocin โดยให้ทางหลอดเลือดดำ เริ่มที่ 0.5 mU/เพิ่มได้ทีละ 2 เท่า ทุก 15-20 นาที จนกระทั่งมี การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาที แต่ละครั้งนาน 40-60 วินาที หรือการทำ nipple stimulation โดยใช้มือคลึงที่หัวนมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง หรือ คลึงไปมาที่หัวนมข้างเดียวนาน 2 นาที แล้วหยุด 5 นาที ถ้าการหดรัดตัวยังไม่ถึงเกณฑ์ให้กระตุ้นแบบเดิมต่อ
late deceleration ของ FHR ทุกครั้งที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ถึงแม้จะยังไม่ถึง 20 นาที หรือไม่ถึงเกณฑ์การหดรัดตัวที่น่าพอใจก็ให้หยุดทดสอบได้
หลังหยุดสังเกตการหดรัดตัวของมดลูก จนหายไป
การแปลผล
ผล Negative หมายถึง ไม่มี deceleration ในขณะทำการทดสอบ โดยมีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อย 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละอย่างน้อย 40-60 วินาที
ผล Positive หมายถึง มี Late deceleration มากกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
:star:
การคัดกรองกลุ่มอาการ
Down syndrome
ข้อบ่งชี้
หญิงตั้งครรภ์อายุ 35 ปีขึ้นไป
ประวัติเคยมีบุตรที่มีโครโมโชมผิดปกติ
มีประวัติครอบครัวมีโครโมโชมที่ผิดปกติ
เคยคลอดบุตรที่มี neural -tube defect
U/S พบว่าทารกผิดปกติ
วิธีการตรวจ
การตรวจคัดกรอง
ไตรมาสแรก
การตรวจเลือดหาความผิดปกติของโปรตีน (PAPP-A) และระดับ hCG
การตรวจอัลตร้าซาวด์ ในช่วง GA 11-13 weeks หากเด็กมีความผิดปกติจะพบของเหลวสะสมอยู่ที่เนื่อเยื่อบริเวณลำคอของเด็กมากกว่าปกติ
ไตรมาสที่สอง
GA 16-19 weeks ตรวจเลือดหาความผิดปกติของระดับสารเคมีในเลือดที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ คือ Alpha Fetoprotein, Estriol,estrogen, progesterone, hCG, Inhibin A
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจโครโมโชมจากรก (Chorionic villous sampling)
GA > 10 weeks ขึ้นไป
ขั้นตอน
เหมือนการเจาะน้ำคร่ำ เพียงแต่เป้นการดูดชิ้นเนื้อรก
ส่งตรวจแทน
ภาวะแทรกซ้อน
แท้งบุตร
ทารกในครรภ์พิการ (transverse digital defect)
ถุงน้ำคร่ำแตก ตกเลือด และติดเชื้อ
การพยาบาล
แนะนำหญิงตั้งครรภ์งดมีเพศสัมพันธุ์ 2-3 วัน หลังการตรวจ
การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
แพทย์จะเจาะเอาตัวอย่างน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวทารกไปตรวจหาความผิดปกติ ใช้ตรวจในไตรมาสที่สอง
GA มากว่า 15 weeks
ขั้นตอน
เริ่มด้วยการตรวจ ultrasound หาตำแหน่งของทารก การเกาะของรก
เตรียมหน้าท้องบริเวณที่เจาะน้ำคร่ำด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ
ใช้เข็มเจาะหลัง เจาะผ่านหน้าท้อง มดลุก และ ถุงน้ำคร่ำ ดูดเอาน้ำคร่ำ 15-20 ml. บริเวณด้าน small part
การพยาบาล
แนะนำให้งดกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก การขึ้นลงบันได
งดการมีเพศสัมพัธุ์ในช่วง 24 ชม. หลังทำการเจาะน้ำคร่ำ
ถ้าปวดแผลสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ
ภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อที่ถุงน้ำคร่ำหรือรก
แท้งบุตร
คลอดก่อนกำหนด
มีน้ำเดิน หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด
การเจาะเลือดจากสายสะดือทารก Cordocentesis
การพยาบาล
ประเมินเลือดที่ออกจากสายสะดือจากเครื่อง ultrasound และ fetal mornitoring 30-60 นาที ภายหลังการตรวจ
ตรวจนับอัตราการเต้นของหัวใจทารก
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกไม่หยุด
สายสะดือบาดเจ็บ
หัวใจทารกเต้นช้า
คลอดก่อนกำหนด
เลือดของมารดาปะปนสู่ทารกในครรภ์
ขั้นตอน
ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจดูตำแหน่งที่เจาะ
-ใช้ยาชาเฉาะที่
ใช้เข็มเจาะผ่านลงไปที่สายสะดือเหนือบริเวณที่เกาะรก 2-3 cm
นิยมเจาะที่ umbilical vein เพราะมีขนาดของหลอดเลือดใหญ่กว่า
GA 18-22 weeks เป็นวิธีที่แนะนำต่อเมื่อการตรวจด้วย วิธีการอื่นไม่ทราบผลที่ชัดเจน
เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในการแท้งบุตร
:star:
อัลตร้าซาวด์ (Uitrasound)
เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสี่ยงความถี่สูง
หลักการ
การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกจากเครื่องอัลตร้าซาวด์ ผ่านผนังหน้าท้อง เมื่อคลื่นเสียงไปกระทบอวัยวะที่ทึบหรือมีความหนาแน่นแตกต่างกัน จะสะท้อนกลับมาที่เครื่องอัลตร้าซาวด์ และแปลงเป็นสัญญาณภาพ
ข้อบ่งชี้
ใช้เพื่อคำนวณวันคลอด
ดูว่าเป็นลูกแฝดหรือไม่
ตรวจดูการตั้งครรภ์นอกมดลูก
ตรวจดูความพิการแต่กำเนิดของทารก
ตรวจดูความผิดปกติของรก
ต้องการทราบเพศของทารก
มช้ประเมินน้ำหนักตัวของทารก
ประเภท
ตรวจทางหน้าท้อง
ตรวจครรภ์ในระยะไตรมาสที่ 2-3 เพื่อที่จะได้เห็นภาพของทารก และรกที่ชัดเจน
ตรวจทางช่องคลอด
ตรวจครรภ์ในระยะไตรมาสแรก เพื่อที่จะได้เห็นภาพของปากมดลูก มดลูก ถุงน้ำคร่ำ ตัวอ่อน และโครงสร้างของอุ้งเชิงกราน
วิธีการตรวจและการพยาบาล
ตรวจทางช่องคลอด
ให้ปัสสาวะทิ้งก่อนตรวจ
จัดท่า lithotomy สวมถุงยางอนามัยที่ vaginal probe และหลังจากตรวจเสร็จดูแลทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
ตรวจทางหน้าท้อง
จัดท่าให้หญิงตั้งครรภ์นอนศรีษะสูงเล็กน้อย
ป้ายเจลบริเวณหน้าท้องเพื่อเป็นตัวนำคลื่นเสียง
ตรวจประมาณ 5-10 นาที
ภายหลังตรวจเสร็จ เช็ดหน้าท้องที่เปื้อนเจลให้สะอาด
การแปลผล
ไตรมาสที่ 2 ตรวจตั้งแต่อายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ เพื่อยืนยันอายุครรภ์ในมารดาที่มาฝากครรภ์ช้า และไม่ได้รับการตรวจตั้งแต่ในไตรมาสแรก สมารถตรวจอวัยวะต่างๆ สมอง กระดูกสันหลัง หัวใจ ตับ ไต ตรวจดูตำแหน่งรกและปริมาณน้ำคร่ำ อีกทั้งยังสามารถตรวจการไหลเวียนโลหิตของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกซึ่งเชื่อมต่อมายังทารก ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็นพิษและภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ได้
ไตรมาส 3 ทำในช่วงอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ เพื่อตรวจดูพัฒนาการของทารกในครรภ์ ที่สำคัญสามารถตรวจดูอัตราการเจริญเติบโตของทารก โดยปกติภาวะทารกเติบโตช้าจะเกิดในช่วงนี้ ถ้าสามารถให้การวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีก็จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของทารก และยังช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงของทารกหลังคลอดได้อีกด้วย
การทำอัลตร้าซาวด์ในช่วงนี้ยังสามารถตรวจการเจริญเติบโตของกระดูกของทารกได้ ซึ่งจะเป็นการวินิจฉัยความผิดปกติของกระดูก เช่น คนแคระ กระดูกบางผิดปกติ แขน-ขาสั้น มือหรือเท้าอยู่ในท่าผิดปกติ เช่นเท้าปุก
ไตรมาสที่ 1 ทำการตรวจอัลตร้าซาวด์ในช่วงอายุครรภ์ 11-13 + 6 สัปดาห์ เป็นการตรวจเพื่อยืนยันอายุครรภ์ โดยการวัดความยาวตั้งแต่ศีรษะถึงกระดูกก้นกบ ทำให้ทราบกำหนดวันคลอดที่แน่นอนในมารดาที่ประจำเดือนไม่มาและยังสามารถใช้ตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ โดยการวัดความหนาของต้นคอทารก และกระดูกจมูกของทารก ร่วมกับการตรวจสารชีวเคมีในเลือดมารดา ทำให้เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยทารกกลุ่มอาการดาวน์ได้