โรคปอดเรื้อรัง (bronchopulmonary dysplasia :BPD)

สาเหตุ

ความหมาย

ภาวะโรคปอดเรื้อรังที้เกิดจากเนื้อเยื่อปอดถูกทำลายจากออกซิเจนและแรงดันบวกสูงๆเป็นระยะเวลานาน มากกว่า 30 วัน

click to edit

1.พิษของออกซิเจน (Oxygen toxicity) ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของออกซิเจนที่ได้รับเป็นระยะเวลานาน พิษของออกซิเจนส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเยื่อบุหลอดลม

2.บาดแผลจากแรงดัน (Barotrauma) มีผลต่อเนื้อปอด โดยเฉพาะปอดที่แข็งหรือไม่ยืดหยุ่น ส่งผลให้ปอดขยายตัวมากกว่าปกติและถุงลมแตก

พยาธิสภาพ

click to edit

การทำลายเนื้อเยื่อปอดจากความดันบวกและออกซิเจนความเข้มข้นสูง

ระยะที่ 1 Exudative phase พบในระยะแรกของโรคประมาณวันที่ 1 หรือ 2 จะมีการสร้าง Hyaline membrane ขึ้นมารอบ ๆถุงลม

ระยะที่ 2 พบใน 3-4 วันต่อมา มีการตายของเซลล์เยื่อบุถุงลม (alveolar epithelium cell) ร่วมกับเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมฝอย กลายเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ (bronchiolar smooth muscle metaplasia) ทำให้มีการระบายอากาศของปอดลดลง

ระยะที่ 3 เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ bronchioles อย่างต่อเนื่อง มีพังผืดบริเวณระหว่างเซลล์ (interstitial fibrosis) พบตุ่มพองลมในเนื้อเยื่อปอด (emphysematous bullae)

ระยะที่ 4 พบใน 1 เดือน ระยะนี้จะเกิดภาวะ fibrosis ของถุงลมปอดสลับกับตุ่มพองลมเป็นจำนวนมาก ทำให้แรงดันบวกที่ปอดสูงมากขึ้น การระบายอากาศและการแลกเปลี่ยนก๊าซเป็นไปด้วยความลำบากมากขึ้น เกิดถุงลมพอง อาจพบหัวใจโตจากการไหลลัดวงจรของเลือดจาก PDA

การวินิจฉัย

สามารถวินิจฉัยได้เมื่อหายจากโรคปอดชนิดเฉียบพลันแล้ว แต่ไม่สามารถยกเลิกการใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยต้องใช้ออกซิเจนต่อเนื่องเป็นเวลานานไม่น้อยกว่า 30 วัน

การรักษา

click to edit

1.การให้สารอาหาร ส่วนมากทารก BPD ต้องการพลังงานอย่างน้อย 120-140 kcal/kg/day เพื่อเพิ่มน้ำหนักวันละ 20-30 กรัม

2.การให้ออกซิเจน

3.การให้ยา

3.1 การให้ยาขับปัสสาวะ เช่น furosemide, thiazides จะทำให้อาการบวมน้อยลงและปอดทำงานดีขึ้น เนื่องจากการเกิด BPD จะมี interstitial pulmonary edema

3.2 ยาขยายหลอดลม ทำให้หลอดลมของทารกที่เป็น BPD ขยายตัวมากขึ้นและแลกเปลี่ยนอากาศได้ดีขึ้น ยาที่นิยมใช้ได้แก่ ยาในกลุ่ม beta-adrenergic agonist ยากลุ่ม anticholinergic และยาในกลุ่มสเตียรอยด์

การพยาบาล

click to edit

1.ประเมินอาการเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น หายใจลำบาก มีภาวะซีด ริมฝีปาก มือและเท้าคล้ำ

2.ปฏิบัติการพยาบาลทุกอย่างด้วยความนุ่มนวล ในเวลาเดียวกันเพื่อลลดการใช้ออกซิเจน

3.ดูแลให้ทารกได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย

4.ดูแลจัดการให้ทารกนอนศีรษะสูง

5.ดูดเสมหะเมื่อจำเป็น

6.ดูแลให้ทารกได้ยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา

7.ดูแลให้ทารกได้รับยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษา

อาการและอาการแสดง

click to edit

หายใจแรงขึ้น

หายใจเร็วขึ้นและระยะเวลาของการหายใจออกยาวขึ้น

มีการดังรั้งของกล้ามเนื้อระหว่างช่องซี่โครงและใต้ชายโครง

ฟังปอดอาจได้ยินเสียง rhonchi หากมีเสมหะจะได้ยินเสียง crakle