Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ (Ultrasound (ข้อดี (ช่วยในการเจาะชิ้นเนื้อเพื่…
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
Ultrasound
หมายถึง คลื่นเสียงความถี่สูงที่เกินกว่าหูมนุษย์จะได้ยิน (มากกว่า 20,000 Hz)
ประเภทของการตรวจ
ตรวจคัดกรองโรค
หรือการตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติ แพทย์จะทำการตรวจเมื่อสตรีตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงที่ทารกในครรภ์จะมีความผิดปกติ เช่น ตั้งครรภ์อายุมาก ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเม็ดเลือดจางอย่างรุนแรง มีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์ มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
วินิจฉัยก่อนคลอด
เช่นการดูดชิ้นเนื้อรกเจาะน้ำคร่ำ เจาะเลือดจากสายสะดือทารกในครรภ์ เพื่อนำเซลล์ทารกไปตรวจโรคที่สงสัย
ตรวจเพื่อวินิจฉัย
เมื่อมีข้อบางชี้ เช่น ยืนยันอายุครรภ์ เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ปวดท้องน้อย แพ้ท้องมากผิดปกติ ขนาดมดลูกไม่สัมพันธ์กับอายุครรภ์ น้ำเดินก่อนอายุครรภ์ครบกำหนด
การอัลตราซาวด์
ตั้งครรภ์ไตรมาสสอง
วินิจฉัยทารกพิการแต่กำเนิดพิการแต่กำเนิดบางชนิด เช่น ศีรษะ กระดูกสันหลัง แขน ขา หัวใจ
พิการของอวัยวะ
ตั้งครรภ์แฝด
อายุครรภ์และอัตราการเจริญเติบโตของเด็ก
แสดงการตรวจ ultrasound ทางช่องคลอด
ประเมินขณะของทารกว่าเหมาะสมกับอายุหรือไม่
วินิจฉัยว่าทารกตายในท้อง
ปริมาณน้ำคร่ำในมดลูกวินิจฉัยว่าน้ำคร่ำมากหรือน้อย
ประเมินสุขภาพทารก
ตั้งครรภ์ไตรมาสสาม
ตำแหน่งของรก
วินิจฉัยเด็กตายในมดลูก
ท่าของเด็ก
การเคลื่อนไหวของเด็ก
ตรวจความผิดปกติของช่องเชิงกราน
ช่วยในการเจาะน้ำคร่ำ
ช่วยแพทย์ในการเลือกวิธีคลอดเช่น เด็กตัวโตมากก็แนะนำผ่าตัด
ตั้งครรภ์ไตรมาสแรก
ใช้วินิจฉัยว่าตั้งครรภ์หรือไม่
ตำแหน่งของทารก การเต้นของหัวใจ
วัดรอบศีรษะเด็กเพื่อประเมินอายุครรภ์
วินิจฉัยครรภ์ไข่ปลาอุก และครรภ์นอกมดลูก
ประเมินว่าตั้งครรภ์ผิดปกติ
วิธีการตรวจ
จัดท่านอนหงายราบ หรือนอนหงายชันเข่า
ให้ดื่มน้ำและกลั่นปัสสาวะก่อนตรวจ ถ้าตรวจ ultrasound ทางหน้าท้องจะเปิดหน้าท้องแล้ใช้ครีมทาหน้าท้องและใช้หัวนำเสียงวางบนครีม
ข้อดี
ช่วยในการเจาะชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัย
ไม่เป็นอันตราย
ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว
ไม่มีรังสี
ใช้แยกก้อนเนื้องอกที่พบว่าเป็นเนื้องอกหรือถุงน้ำได้
NST
เป็นการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ อาศัยหลักการการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจ ดู fetal heart rate variability ซึ่งเป็นการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนมัติต่อสิ่งกระตุ้น โดยมีการใช้มาก่อนในการตรวจสุขภาพทารกในระยะคลอด และต่อมาได้นำมาใช้ในระยะก่อนคลอด และตรวจด้วย electronic fetal monitoring ดู FHR pattern
ข้อบ่งชี้
มารดาที่ตรวจพบว่าน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ
มารดาตั้งครรภ์เกินกำหนด ( 42 สัปดาห์ )
ทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตช้ากว่าอายุครรภ์
มารดาเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย
มารดารู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง
มารดามีประวัติทารกตายคลอด
วิธีการตรวจ
วัดความดันโลหิต
ติดเครื่อง electronic fetal monitoring โดยติดหัวตรวจ tocodynamometer เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก ไว้ที่ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดที่สุด
จัดท่านอน Semi-Fowler หรือท่านอนตะแคงซ้าย เนื่องจากเมื่อนอนหงายอาจทำให้เกิด supine hypotension มีผลต่อการแปลผล NST
บันทึกนาน 20 นาที ถ้ายังไม่สามารถแปลผลได้ให้บันทึกต่ออีก 20 นาที รวมเป็น 40นาที
การแปลผล
Nonreactive
การเพิ่มขึ้นของ FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของ FHR เลยในการตรวจนาน 40 นาที
ให้ยืนยันด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม
Biophysical profile (BPP)
ร่วมกับการตรวจ ultrasound
ประเมินความผิดปกติของทารกในครรภ์
ปริมาณน้ำคร่ำร่วมด้วย
Contraction stress test (CST)
Droppler ultrasound
Reactive
การเพิ่มขึ้นของ FHR มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงการตรวจ 20 นาที
โดยระหว่างที่ตรวจสามารถกระตุ้นการเคลื่อนไหวด้วย artificial larynx กระตุ้นครั้งละ 1-2 วินาทีที่หน้าท้องมารดาซึ่งสามารถทำซ้ำได้ 3 ครั้ง
ถ้าอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ ให้ลดเกณฑ์ลง ให้มีการเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างน้อย 10 bpm และนานกว่า 10 วินาที ก็ถือว่า reactive เช่นเดียวกัน
ให้ติดตามสุขภาพทารกตามความเสี่ยงเดิม
โดยที่ FHR baseline อยู่ในช่วง 110-160 bpm และ baseline variability อยู่ในช่วง 5-25 bpm
ปัจจัยที่มีผลต่อ NST
ด้านมารดา
ได้รับยากดประสาท
barbiturate opiate จะทำให้ระยะ 1F ยาวนานขึ้น ทำให้ variability และ acceleration ลดลง
ได้รับยาลดความดัน
beta-blocking agent จะลดระดับ baseline FHR ให้ต่ำลงและลดความถี่ของการเกิด acceleration
ได้รับสารกระตุ้นบางอย่าง
cocaine nicotine จะเพิ่ม baseline FHR แต่ละครั้งความแรงของ acceleration ทำให้ระยะเวลาการตรวจนานขึ้น
ด้านทารก
การเกิด acute hypoxemia จะมีผลทันทีทำให้ทารกเคลื่อนไหวลดลง และไม่ค่อยมี acceleration ของ FHR
chronic hypoxia จะค่อยเกิด มักตรวจไม่เจอในทันทีต้องใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์ ขึ้นกับความรุนแรง
อายุครรภ์ ถ้าก่อนกำหนดมาก ก็จะมี acceleration น้อย
CST
วิธีการตรวจ
ติดเครื่อง electronic fetal monitoring โดยติดหัวตรวจ tocodynamometer เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก ไว้ที่ตำแหน่งยอดมดลูก และหัวตรวจ FHR ไว้ที่ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดที่สุด
บันทึกรูปแบบการเต้นของหัวใจ ระหว่างที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งควรมี 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละ 40-60 วินาที ถ้าไม่มีให้ชักนำด้วยวิธีดังต่อไปนี้
กระตุ้นด้วย oxytocin โดยให้ทางหลอดเลือดดำ เริ่มที่ 0.5 mU/เพิ่มได้ทีละ 2 เท่า ทุก 15-20 นาที จนกระทั่งมี การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาที แต่ละครั้งนาน 40-60 วินาที หรือ
การทำ nipple stimulation โดยใช้มือคลึงที่หัวนมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง หรือ คลึงไปมาที่หัวนมข้างเดียวนาน 2 นาที แล้วหยุด 5 นาที ถ้าการหดรัดตัวยังไม่ถึงเกณฑ์ให้กระตุ้นแบบเดิมต่อ
วัดความดันโลหิต
late deceleration ของ FHR ทุกครั้งที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ถึงแม้จะยังไม่ถึง 20 นาที หรือไม่ถึงเกณฑ์การหดรัดตัวที่น่าพอใจก็ให้หยุดทดสอบได้
จัดท่านอน Semi-Fowler หรือท่านอนตะแคงซ้าย เนื่องจากเมื่อนอนหงายอาจทำให้เกิด supine hypotension มีผลต่อการแปลผล NST
หลังหยุดสังเกตการหดรัดตัวของมดลูก จนหายไป
การแปลผล
ผล Negative
หมายถึง ไม่มี deceleration ในขณะทำการทดสอบ โดยมีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อย 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละอย่างน้อย 40-60 วินาที
ผล Positive
หมายถึง มี Late deceleration มากกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
ผล Equivocal
Suspicious หมายถึง มี Late deceleration น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบ
Hyperstimulation หมายถึง มี Late deceleration ขณะที่มีหรือตามหลังการหดรัดตัวของมดลูกที่นานกว่า 90 วินาที หรือบ่อยกว่าทุก 2 นาที แต่ถ้ามีการหดรัดตัวบ่อยโดยที่ไม่มี late deceleration ให้แปลผลเป็น negative
Unsatisfied หมายถึงไม่สามารถทำ ให้มีการหดรัดตัวของมดลูกที่เหมาะสมได้ หรือคุณภาพการบันทึกไม่ดี แปลผลไม่ได้
ความหมาย
ใช้หลักการเดียวกับ NST แต่มีการเพิ่ม stress ก็คือการหดรัดตัวของมดลูกเข้าไป เพื่อดูการตอบสนองของระบบประสาททารกในครรภ์ที่จะแสดงออกมาทางรูปแบบการเต้นของหัวใจ
ใช้ประเมินภาวะ uteroplacental insufficiency ได้ดี
โดยพบว่ามีการหดรัดตัวของมดลูก มีผลทำให้ระดับออกซิเจนลดลง ซึ่งในรายที่มีปัญหา uteroplacental insufficiency อยู่ก่อนแล้วนั้น จะมีระดับออกซิเจนต่ำ ถ้ามี stress ที่ลดระดับออกซิเจนลงไปอีก จะเกิด late deceleration ของ FHR ได้
ข้อห้ามในการทำ CST
Preterm premature rupture of membrane
มีประวัติผ่าตัดมดลูกหรือ classic cesarean delivery
Placenta previa
Multiple gestation
Polyhydramnios
Preterm labor หรือมีความเสี่ยงสูงในการเกิด preterm labor
BPP
เพื่อลดผลบวกลวง โดยรวมเอาพฤติกรรมที่เป็นสัญญาณเฉียบพลัน (acute marker) และสัญญาณเรื้อรัง (chronic marker) แทน NST หรือ CST ซึ่งเป็นการตรวจแต่เพียงการเต้นของหัวใจ
Acute marker
การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว การหายใจ และ tone ของกล้ามเนื้อ จัดเป็นสัญญาณเฉียบพลัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system, CNS) ที่ไวต่อภาวะขาดออกซิเจนแตกต่างกัน
ภาวะขาดออกซิเจน ไม่จำเป็นที่จะต้องพบร่วมกับ acidosis เสมอไป ถ้ามีภาวะขาดออกซิเจนแบบฉับพลัน จะตรวจพบความผิดปกติของสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ nonreactive NST การหายใจและการเคลื่อนไหวลดลง แต่ถ้าเป็นภาวะขาดออกซิเจนแบบรุนแรง ทารกจะหยุดเคลื่อนไหวและ tone ก็หายไปด้วย
Chronic marker
ปริมาณน้ำคร่ำลดลง เกิดจากภาวะ redistribution ของเลือดที่กระจายไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายจะไหลเวียนไปยังอวัยวะที่สำคัญเพิ่มมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปที่ไตน้อยลง มีผลลดการสร้างปัสสาวะของทารกในครรภ์ ทำให้ปริมาณน้ำคร่ำน้อย
ลักษณะของรก ถ้าในรายที่รกเริ่มมีการเสื่อมสภาพ จะดูได้จากการแบ่ง grade ถ้า อยู่ใน grade 3 คือมี calcification ภายในจะทำให้การไหลเวียนและแลกเปลี่ยนสารอาหารไม่ดี
abnormal fetal heart rate pattern
ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption)
Parameter ที่ใช้ในการประเมิน biophysical profile
การเกร็งตัว
ปกติ ( คะแนน 2 )
หดเข้าหรือบิดไปมาแล้วคืนสภาพ
เห็นมือแบออกและกำ
แขน ขาหรือลำตัวเหยียดออก
ผิดปกติ ( คะแนน 0 )
ไม่เห็นทารกเคลื่อนไหวหรือ เคลื่อนไหวตัว แขนขาเหยียดเข้าออกช้าๆ และไม่เข้ารูปเดิม
การนับ FHS
ปกติ ( คะแนน 2 )
ในเวลา 20 นาที มีการเคลื่อนไหวของทารกและมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น มากกว่า 15 ครั้ง/นาที นาน 15 วินาที เห็นอย่างน้อย 2 ครั้ง
ผิดปกติ ( คะแนน 0 )
ในเวลา 20-40 นาที มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ไม่ถึง 15 ครั้ง/นาที และเห็นน้อยกว่า 2 ครั้ง
การเคลื่อนไหว (fetal movement และ tone)
ผิดปกติ ( คะแนน 0 )
ใน 30 นาที เห็นลำตัวหรือแขนขา เคลื่อนไหว 2 ครั้ง หรือน้อยกว่า
ปกติ ( คะแนน 2 )
ใน 30 นาทีเห็นการหมุนตัวหรือแขนขา เคลื่อนไหวไปมาอย่างน้อย 3 ครั้ง (เคลื่อนไหวไปมาจนหยุดนับเป็น 1 ครั้ง)
ปริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid measurement)
ปกติ ( คะแนน 2 )
ในแนวดิ่งเห็นน้ำคร่ำอย่างน้อย 1 ช่อง มีขนาดไม่น้อยกว่า 2 ซม.
ผิดปกติ ( คะแนน 0 )
ไม่เห็นมีน้ำคร่ำเลยหรือวัดได้ลึกน้อยกว่า 2 ซม.
ซึ่งจะมีความหมายมากในรายที่น้ำคร่ำน้อย เพราะบ่งชี้ได้ถึงภาวะเครียดของทารกทำให้สร้างปัสสาวะได้น้อย หรือ อาจเป็นปัจจัยให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ได้อีกด้วย ปริมาณน้ำคร่ำในที่นี้ใช้แอ่งที่ลึกที่สุด (deep vertical pocket, DVP) ซึ่งวัดด้วยอัลตราซาวด์ โดยวางหัวตรวจให้อยู่ในแนวตั้ง หาแอ่งที่มีน้ำคร่ำลึกมากที่สุด
การหายใจ (fetal breathing movement, FBM)
ปกติ ( คะแนน 2 )
ใน 30 นาที เห็นการเคลื่อนไหว แสดงการหายใจนาน 30 วินาที อย่างน้อย 1 ครั้ง
ผิดปกติ ( คะแนน 0 )
ใน 30 นาที ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือมีการเคลื่อนไหวแสดงการหายใจ แต่ไม่นานถึง 30 วินาที
การแปลผลตรวจ
โดยวิธีการตรวจและแปลผล BPP นั้น จะมีคะแนนรวมทั้งหมด 10 คะแนน แบ่งเป็น 0 และ 2 คะแนน ในแต่ละพารามิเตอร์
8-10 คะแนน โดยที่ปริมาณน้ำคร่ำปกติ แปลผลว่าทารกในครรภ์ยังปกติดี
0-4 คะแนน ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ควรรีบให้คลอด
6-8 คะแนน ให้พิจารณาตามปริมาณน้ำคร่ำ ถ้าน้ำคร่ำปกติ โอกาสเกิด asphyxia น้อย แต่ต้องตรวจ BPP ซ้ำใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าน้ำคร่ำน้อย โอกาสเกิด asphyxia สูงขึ้น
ข้อจำกัดในการตรวจ BPP
ต้องมีผู้ที่มีความชำนาญในการตรวจพฤติกรรมของทารกด้วยอัลตราซาวด์
ผลบวกลวงจากการตรวจสูง เพราะพฤติกรรมบางอย่างจะแสดงออกเป็นช่วงๆ เช่น การหายใจ tone ทำให้ได้คะแนนจากการตรวจ BPP น้อย ส่งผลให้ได้รับการรักษาเกินความจำเป็นได้
พลาดที่จะวินิจฉัยปัญหาจาก abnormal fetal tracing เพราะจากการแปลผล BPP จะเห็นว่าถ้าได้คะแนน 8 ใน 8 โดยที่ไม่ทำ NST ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่บางครั้งต้องระวังว่า อาจจะพลาดในการตรวจ acute marker จาก NST เช่น deceleration จาก cord compression ก็เป็นได้
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ biophysical profile score
ต่อมารดา
การได้รับยาหรือสารต่าง ๆ
กลุ่มยานอนหลับ
กลุ่มยากระตุ้นประสาท
สูบบุหรี่
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ได้รับยาที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ทุพโภชนาการ
ภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์
รกลอกตัวก่อนกำหนด
ชัก
ketoacidosis
ต่อทารก
การแปรปรวนของพฤติกรรมทารกในครรภ์ บางครั้งอาจจะลดลงได้
มีการหายใจอย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เป็นรูปแบบปกติทั่วไป
ภาวะน้ำคร่ำน้อย
ภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเล็กน้อย โดยที่น้ำคร่ำปกติ
ตรวจคัดกรองและวินิจฉัยภาวะ Down syndrome
การตรวจคัดกรอง
หญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม โดยเฉพาะในรายที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 35 ปี
วิธีคัดกรองในช่วงไตรมาสสองของการตั้งครรภ์ (Second-trimester screening)
อายุครรภ์ 14-16 สัปดาห์
การตรวจเลือด หาความผิดปกติของระดับสารเคมีในเลือดที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ คือ ตรวจหาอัลฟา-ฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) อีสไทรออล (Estriol) ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์อย่างเอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน (hCG) และอินฮีบิน เอ ในเลือด (Inhibin A)
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง แนะนำให้ตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดด้วยวิธีการเจาะน้ำคร่ำ (Amniocenthesis) การตรวจเลือดหาดีเอ็นเอทารก (Cell-free Fetal DNA) หรือ Non-Invasive Prenatal Test (NIPT) ตั้งครรภ์ตั้งแต่ 10 สัปดาห์ขึ้นไป
วิธีคัดกรองในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (First-trimester screening)
การตรวจเลือด หาความผิดปกติของโปรตีนเอ (PAPP-A) และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ (HCG) อย่างเอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน
สามารถคัดกรองทารกดาวน์ซินโดรมได้ประมาณ 80%
ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์
การตรวจอัลตราซาวน์ หากเด็กมีความผิดปกติ จะตรวจพบของเหลวสะสมอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณลำคอของเด็กมากกว่าปกติ
ทารกกลุ่มอาการดาวน์จะมีโครโมโซมเกินมาหนึ่งแท่ง คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่ง ตามปกติ ทำให้จำนวนโครโมโซมทั้งหมดมีถึง 47 แท่ง ความผิดปกติแบบนี้ทางการแพทย์เรียกว่า TRISOMY 21
สาเหตุ
เกิดจากการแบ่งตัวของโครโมโซมในเซลล์ไข่ของแม่ช่วงที่มีการปฏิสนธิมีความผิดปกติ
มักเกิดในเซลล์ไข่ของสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก
การวินิจฉัย
การเจาะน้ำคร่ำ
แพทย์จะเจาะเอาตัวอย่างน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวทารกในครรภ์ไปตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติ เป็นวิธีตรวจที่เสี่ยงเกิดการแท้ง ใช้ตรวจในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 และควรตรวจในอายุครรภ์มากกว่า 15 สัปดาห์ขึ้นไป
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงพบได้ไม่บ่อย เช่นการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ การติดเชื้อในกระแสเลือดขั้นรุนแรงเกิดขึ้นน้อยกว่า 1 ราย จากการเจาะ 1000 ราย โอกาสเสียชีวิตจากการเจาะน้ำคร่ำพบน้อยในผู้ที่มีโรคประจำตัว/ได้รับยาบางชนิด/การตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ เช่น ครรภ์แฝด อาจมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
คำแนะนำหลังเจาะ
งดร่วมเพศ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ หรือตามการพิจารณาแพทย์
งดกิจกรรมที่ต้งออกแรงมาก
อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์
มีน้ำหรือเลือดออกทางช่องคลอด
ปวดเกร็งหน้าท้องมากไม่หายไปหลังจากนอนพัก
เป็นไข้ภายใน 2 สัปดาห์หลังจากเจาะน้ำคร่ำ
การตัดชิ้นเนื้อรก (CVS)
การตรวจโครโมโซมจากรกเด็ก แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากรกมาตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติ ใช้ตรวจในอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป แต่เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงกว่าการเจาะน้ำคร่ำ
ข้อห้ามในการตรวจ
ตั้งครรภ์แฝด
มีปัญหาเลือดออกในขณะตั้งครรภ์
มีปัญหาการติดเชื้อ
ความเสี่ยงในการตรวจ
อาจเกิดการติดเชื้อได้
อาจเกิดความพิการหากทำก่อนอายุครรภ์ 9 สัปดาห์
การตรวจนี้เมื่อเทียบกับ amniocenthesis จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง
วิธีการตรวจ
การเจาะจากหน้าท้องและดูดเอาเซลล์ไปตรวจ
จากการดูดทางช่องคลอดโดยการอาศัย ultrasound นำทางและใช้ท่อดูดเอาเซลล์รกมาตรวจเป็นวิธีการที่ใช้บ่อย
ภาวะแทรกซ้อนหลังการตรวจ
มีไข้ หนาวสั่น
มีน้ำเดิน
การเจาะเลือดจากสายสะดือทารก
แพทย์จะเจาะนำตัวอย่างเลือดจากเส้นเลือดบริเวณสายสะดือของทารก เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม ใช้ตรวจในอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงกว่าการเจาะน้ำคร่ำและการตรวจเนื้อเยื่อจากรก จึงเป็นวิธีที่แนะนำต่อเมื่อการตรวจด้วยวิธีการอื่นข้างต้นแล้วไม่ทราบผลที่ชัดเจน
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกจากหลอดเลือดสายสะดือ
ก้อนเลือดคั่งบริเวณสายสะดือ
ทารกในครรภ์เสียชีวิตหรือแท้ง
เลือดออกจากทารกไปยังมารดา
หัวใจทารกเต้นช้าลง
จุดประสงค์
เพื่อตรวจหาความผิดปกติของสารชีวเคมีสำหรับรายที่มีประวัติในครอบครัว
เพื่อตรวจหาโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
เพื่อตรวจหาระดับ Bilirubin ในรายที่สงสัยว่าทารกมีปัญหาซีด
การวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมระยะก่อนการฝังตัว เป็นวิธีการที่ใช้ตรวจหาความเสี่ยงการป่วยโรคของตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (ภายในห้องปฏิบัติการ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว)