Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ big (:star:CST (Contraction stress test), …

- - - - ปกติ
        
        มีการตอบสนองของหัวใจอย่างน้อย 2 ครั้ง ใน 30 นาที
      - ผิดปกติ
        
        หัวใจไม่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวอย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 30 นาที
    - - ปกติ
        
        หายใจ 1 ครั้ง ใน 30 นาที
      - ผิดปกติ
        
        ไม่มีการหายใจ ใน 30 นาที
    - - ปกติ
        
        มีการเคลื่อนไหวมากกว่า 2 ครั้ง ใน 30 นาที
      - ผิดปกคิ
        
        การเคลื่อนไหวน้อยกว่า 2 ครั้ง ใน 30 นาที
    - - ปกติ
        
        มีการงอแขนหรือเหยียดแขน อย่างน้อย 1 ครั้ง
      - ผิดปกติ
        
        มีการงอแขนหรือเหยียดอย่างช้า
    - - ปกติ
        
        มีถุงน้ำคร่ำมากกว่า 1 ถุง
      - ผิดปกติ
        
        ไม่มีถุงน้ำคร่ำ
- - - - ตรวจดูเพศของทารก
      - ตรวจความสมบูรณ์รูปทรงแขนขาของทารก
      - ตรวจความสมบูรณ์ของอวัยวะในช่องอก ช่องท้อง
      - ตรวจความสมบูรณ์ของโครงสร้างศีรษะและสมอง
      - ตรวจความสมบูรณ์ของอวัยวะบนใบหน้า
      - ตรวจความสมบูรณ์ของกระดูกสันหลังและพื้นผิว
    - - ตรวจการเจริญเติบโตของทารก
      - ตรวจตำแหน่งและท่าของทารก
      - ตรวจความผิดปกติที่เกิดช่วงหลังของการตั้งครรภ์
      - ตรวจวัดปริมาณน้ำคร่ำ
    - - วัดรอบศีรษะ เพื่อประเมินอายุครรภ์
      - วินิจฉัยการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก และตั้งครรภ์นอกมดลูก
      - หาตำแหน่งทารก และการเต้นของหัวใจ
      - ประเมินความผิดปกติของการตั้งครรภ์
      - ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์
  - - - ให้ผู้รับการตรวจดื่มน้ำและกลั้นปัสสาวะก่อนตรวจ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน
      - มักตรวจเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 10 สัปดาห์ขึ้นไป
      - ทาเจลใสลงบนหน้าท้องก่อนวางหัวตรวจ
    - - ให้ผู้รับการตรวจปัสสาวะก่อนเข้ารับการตรวจ
      - มักตรวจในอายุครรภ์น้อยกว่า 10 สัปดาห์
      - เป็นการตรวจวัดความยาวปากมดลูก การตรวจระยะห่างของขอบรกจากปากมดลูก
- - - - Moderate variability (normal) คือ ช่วงขนาดของความแปรปรวนอยู่ระหว่าง 6-25 bpm พบในทารกปกติ
      - Minimal variability คือ สังเกตเห็นตความแปรปรวนของ FHR ได้ แต่มีขนาดน้อยกว่าเท่ากับ 5 bpm สัมพันธ์กับภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์
      - Marked variability คือ ความแปรปรวนของ FHR มากกว่า 25 bpm สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ และยังเป็นการตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน
      - Absent variability คือ ไม่มีความแปรปรวนของ FHR เมื่อมองด้วยตาเปล่า สัมพันธ์กับภาวะ asphyxia ของทารกในครรภ์สูง
    - - การเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างฉับพลัน มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที
      - แต่ถ้านานกว่า 2 นาที แต่ไม่ถึง 10นาที จัดเป็น prolonged deceleration
      - แต่ในรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ เกณฑ์การวินิจฉัยเป็น เพิ่มขึ้น 10 bpm นานกว่า 10 วินาที
    - - ปกติ อยู่ระหว่าง 120-160 bpm
    - - Variable deceleration
        
        การลดลงของ FHR อย่างฉับพลัน FHR จะลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm นาน 15 วินาที แต่ไม่นานถึง 2 นาที โดยอาจจะสัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูกหรือไม่ก็ได้ การลดลงของ FHR จะใช้เวลาจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดต่ำสุดน้อยกว่า 30 วินาที
      - Late deceleration
        
        การลดลงของ FHR อย่างช้าๆ ค่อยเป็ยค่อยไป และกลับคืนสู่ baseline อย่างช้าๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุด และกลับสู่ baseline จะตรงกับจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก จุดสูงสุด และการคลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline ตามลำดับ การลดลงของ FHR จะใช้เวลาจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดต่ำสุดมากกว่าหรือเท่ากับ 30 วินาที
      - Early deceleration
        
        การลดลงของ FHR อย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไปและกลับคืนสู่ baseline อย่างช้า สัมพันธ์กับการหดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุด และกลับสู่ baseline จะช้ากว่าจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก จุดสูงสุด และการคลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline ตามลำดับ การลดลงของ FHR จะใช้เวลาจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดต่ำสุดมากกว่าหรือเท่ากับ 30 วินาที
  - - - แสดงอัตราการเพิ่มของอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ เมื่อทรากมีเการเคลื่อนไหวมากกว่า 15 ครั้ง/นาที และคงอยู่นานอย่างน้อย 15 วินาที ลักษณะเช่นนี้พบอย่างน้อย 2 ครั้ง ในช่วงเวลานาน 20 นาที ติดต่อกัน โดยมีอัตราการเต้นของหัวใจเท่ากับัตราปกติ (120-160 bpm) เรียกว่า fetal heart rate acceleration นับเป็นภาวะปกติ
    - - ในการทดสอบไม่พบการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ขณะที่มีการเคลื่อนไหว หรือทารกไม่มีการเคลื่อนไหวในระยะเวลานาน 40 นาที อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่าปกติ หรือตรวจไม่พบ
- - - - การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้ง ใน 10 นาที พบ Late deceleration มากกว่า 50%
    - - การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้ง ใน 10 นาที ไม่พบ Late deceleration หรือ Variable deceleration
    - - Suspicious
        
        มี Late deceleration น้อยกว่า 50% ของการทดสอบ
      - Hyperstimulation
        
        มี Late deceleration โดยมีการหดรัดตัวของมดลูกที่นานกว่า 90 วินาที หรือหดตัวถี่กว่าทุก 2 นาที หรือหดตัวตลอดเวลา
      - Unsatisfied
        
        ไม่สามารถอ่านผลของ FHR ได้ หรือการหดรัดตัวของมดลูกไม่พอ คือน้อยกว่า 3 ครั้ง ใน 10 นาที
- - - - ในช่วง 16-19 สัปดาห์
      - การตรวจเลือดหาความผิดปกติของระดับสารเคมีในเลือด คือ อัลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) อีสไทรออล (Estriol) hCG และ Inhibin A
    - - ในช่วง 11-13 สัปดาห์
      - การตรวจหาเลือดมารดา หาความผิดปกติของโปรตีนเอ (PAPP-A) และระดับ hCG ร่วมกับการวัดความหนาแน่นของน้ำที่สะสมบริเวณต้นคอทารก โดยวิธีอัลตราซาวด์
  - - - แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากรกมาตรวจหาโครโมโซม ใช้ตรวจในอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป แต่เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงกว่าการเจาะน้ำคร่ำ
      - ภาวะแทรกซ้อน
        
        มีความพิการของทารกในครรภ์ ชนิดมีแขนขาไม่ครบ (transverse digital defect)
        
        การแตกของถุงน้ำคร่ำ การตกเลือดและการติดเชื้อ
        
        มีโอกาสแท้งบุตร
      - วิธีการตรวจ
        
        1.เหมือนการเจาะน้ำคร่ำทุกประการ แต่ดูดชิ้นเนื้อรกส่งตรวจแทน
        
        2.สามารถเจาะผ่านทางปากมดลูก (transcervical) และผ่านทางหน้าท้อง (transabdomen)
      - การพยาบาลหลังทำ
        
        งดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2-3 วัน
        
        สังเกตอาการผิดปกติ เช่นเดียวกับการเจาะน้ำคร่ำ
        
        ภายหลังการตรวจควรพักผ่อนให้เต็มที่ งดกิจกรรมทุกชนิด 1 วัน
    - - วิธีการตรวจ
        
        2.ใช้ยาชาเฉพาะที่ และเทคนิคปราศจากเชื้อ
        
        3.ใช้เข็มเจาะผ่านลงไปที่สายสะดือ เหนือที่เกาะกับรกประมาณ 2-3 เซนติเมตร
        
        1.ใช้คลื่นเสี่ยงความถี่สูง ตรวจหาตำแหน่งที่เจาะ
        
        4.นิยมเจาะที่หลอดเลือดดำ (Umbilical vein) มากกว่า เพราะมีขนาดของหลอดเลือดใหญ่กว่า
      - ภาวะแทรกซ้อน
        
        สายสะดือบาดเจ็บ
        
        ภาวะหัวใจทารกเต้นช้า
        
        เลือดออกไม่หยุด
        
        การคลอดก่อนกำหนด
        
        ภาวะปะปนของเลือดมารดาสู่ทารกในครรภ์
      - แพทย์จะเจาะนำตัวอย่างเลือด จากเส้นเลือดบริเวณสายสะดือของทารก เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม ใช้ตรวจในอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อการแท้งกว่าการเจาะน้ำคร่ำ และการตรวจเนื้อเยื้อจากรก
      - การพยาบาลหลังทำ
        
        เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
        
        ตรวจสอบภาวะเด็กดิ้น
        
        การตรวจนับอัตราการเต้นของหัวใจทารก
        
        Electronic monitoring
        
        ประเมินภาวะเลือดออกจากสายสะดือ จากเครื่อง ultrasound และ fetal monitoring 30-60 นาที หลังตรวจ
    - - ภาวะแทรกซ้อน
        
        การติดเชื้อ
        
        น้ำคร่ำรั่ว และอาจเกิดการแท้ง หรือ ทารกตาย
        
        ทารกบาดเจ็บจากการถูกเข็มเจาะ
        
        คลอดก่อนกำหนด
      - การพยาบาลก่อนเจาะน้ำคร่ำ
        
        แนะนำได้รับการเตรียมล่วงหน้าก่อนเจาะน้ำคร่ำ โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร แต่ถ่ายปัสสาวะก่อนเจาะน้ำคร่ำ และก่อนตรวจควรบอกเหตุผล ความจำเป็นการตรวจและภาวะแทรกซ้อนหลังจากการตรวจ
      - วิธีการตรวจ
        
        1.เริ่มด้วยการตรวจ ultrasound ตรวจตำแหน่งของทารก การเกาะของรก
        
        2.เตรียมหน้าท้องบริเวณที่เจาะน้ำคร่ำด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ
        
        3.ใช้เข็มเจาะหลังผ่านทางหน้าท้อง มดลูก ถุงน้ำคร่ำ ดูดเอาน้ำคร่ำ 15-20 ml บริเวณตำแหน่งด้าน small part
        
        4.หลังจากการเจาะใช้พลาสเตอร์ปิดบริเวณที่เข็มเจาะ แกะออกเมื่อครบ 24 ชั่วโมง
      - การพยาบาลหลังเจาะน้ำคร่ำ
        
        งดการมีเพศสัมพันธ์ 24 ชั่วโมง หลังเจาะน้ำคร่ำ
        
        ถ้าปวดบริเวณแผลบริเวณที่เจาะ สามารถรับประทายาเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
        
        งดกิจกรรมหนักหรือกิจกรรมที่ออกแรงมาก
        
        ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดแผลบริเวณเจาะน้ำคร่ำ สามารถอาบน้ำได้ปกติ
        
        อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์
        
        ปวดท้องมาก
        
        มีน้ำเดิน
        
        มีไข้ หลังจากที่เจาะน้ำค่ำอาจเกิดการติดเชื้อได้
        
        เลือดออกทางช่องคลอด
      - แพทย์จะเจาะเอาตัวอย่างน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวทารกไปตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติ เป็นวิธีที่เสี่ยงต่อภาวะแท้ง ใช้ตรวจในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 ควรตรวจในอายุครรภ์มากกว่า 15 สัปดาห์ขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์อายุมากกว่า35ปี