Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ANC (ข้อมูลส่วนตัว (NOTIFY (Obesity, Pregnancy with Myoma, Elderly…

- - - - น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 84.4 kg ส่วนสูง 165 cm
      - BMI ก่อนตั้งครรภ์ 31.02/ (อ้วน)
      - น้ำหนักขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 13.8 kg
      - Notify Obesity
      - ผลตรวจ BS 50 gm ครั้งที่ 1 132 mg/dL
    - - มารดาไม่เกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) ค่า BS 50 gm < 120 mg/dl ผลOGTT ปกติ
      - สัญญาณชีพปกติ โดยเฉพาะ BP<140/90 mmHg HR=60-100 bpm
      - ทารกดิ้นดี FHS 110-160 bpm
      - ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
      - น้ำหนักที่ควรขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ในช่วงไตรมาส 3 อยู่ระกว่า 0.18-0.27 kg/wk
      - ไขมันในเลือดปกติ HDL > 35 mg/dL Triglyceride < 250 mg/dL
    - - ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากมีภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์
    - - ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะ BP และ HR โดย BP<140/90 mmHg HR=60-100 bpm เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการมีภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์
      - ชั่งน้ำหนักมารดาทุกครั้งที่มาฝากครรภฺ โดยในมารดาที่มีBMI ก่อนการตั้งครรภ์ > 30 ควรมีน้ำหนักขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 5-9 kg และมีน้ำหนักขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 0,18-0.26 kg/wk
      - ประเมินการรับรู้ภาวะอ้วนของมารดา เพื่อเป็นแนวทางในการให้คำแนะนำ เนื่องจากในระยะตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่มารดาพร้อมจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพทารก หากมารดามีการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะอ้วนในขณะตั้งครรภ์และตระหนักถึงผลกระทบด้านลบที่ตามมา ก็จะสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้
      - แนะนำมารดาให้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนา งดรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่นน้ำอัดลม ของทอด ของหวาน ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันและน้ำตาลมาก
      - แนะนำมารดาให้ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดปัจจเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักเกินเกณฑ์
      - ประเมินสภาพทารกในครรภ์ ได้แก่ การฟัง FHS โดยปกติอยู่ระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที การตรวจครรภ์ด้วยวิธี Leopold maneuver เพื่อประเมินลักษณะทารกในครรภ์ และประเมินความสัมพันธ์ของขนาดและอายุครรภ์ การตรวจ NST เพื่อประเมิน FHS ของทารกที่เปลี่ยนแปลงขณะที่ทารกมีการเคลื่อนไหว และการตรวจประเมินอื่นๆ ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - แนะนำมารดาในการนับลูกดิ้นทุกวัน โดยการนับหลังรับประทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 1 ชม. โดยในเวลา 1 ชม. ลูกต้องดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง และรวมกัน 3 มื้อต้องดิ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง จึงถือว่าปกติ และหากมีอาการผิดปกติเช่น ลูกไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยลง ให้รีบมาพบแพทย์
      - แนะนำมารดาให้มาพบแพทย์ตามนัด
      - ติดตามผล Lab โดยเฉพาะ Protein Creatinine เพื่อประเมินการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และประเมินการทำงานของไต HDL Triglyceride เพื่อประเมินระดับไขมันในเลือด
  - - - มารดาอายุ 35 ปี
      - Notify Elderly pregnancy
    - - ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เมื่ออายุมาก
    - - สัญญาณชีพ อยู่ในเกณฑ์ ปกติ โดยเฉพาะ BP<140/90
        HR=60-100 bpm
      - ผลการคัดกรองเบาหวานปกติ BS 50 gm < 120 mg/dL ผล OGTT ปกติ
      - ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
      - ผลตรวจ Amniocentesis ปกติ ไม่พบความผิดปกติของทารก
      - ทารกดิ้นดี FHS 110-160 bpm
      - ไม่เกิดภาวะรกเกาะต่ำ (Placenta previa) และภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placenta abruption)
      - ผลการตรวจ NST ปกติ
    - - ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะ BP และ HR เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตสูง เนื่องจากมารดาที่มีอายุมาก จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้มาก
      - ตรวจคัดกรองเบางหวาน โดยจะคัดครอง BS 50 gm เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก หากผลเป็นปกติจะนัดมาตรวจอีกครั้ง เมื่ออายุครรภ์ 24-28 wks แต่ถ้าหากค่า ฺBS 50 gm > 120 mg/dL จะนัดตรวจ OGTT อีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งหากผลผิดปกติ 2 ค่าขึ้นไปจะถือว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - ให้คำแนะนำมารดาเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม และความผิดปกติของโครโมโซม เนื่องจากความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุของสตรีตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น โดยจะทำการเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) เพื่อตรวจดูโครโมโซมและตรวจดูความผิดปกติของทารก เมื่อมารดามีอายะครรภ์ประมาณ 16-18สัปดาห์
      - ประเมินสภาพทารกในครรภ์ ได้แก่ การฟัง FHS โดยปกติอยู่ระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที การตรวจครรภ์ด้วยวิธี Leopold maneuver เพื่อประเมินลักษณะทารกในครรภ์ และประเมินความสัมพันธ์ของขนาดและอายุครรภ์ การตรวจ NST เพื่อประเมิน FHS ของทารกที่เปลี่ยนแปลงขณะที่ทารกมีการเคลื่อนไหว และการตรวจประเมินอื่นๆ ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - ติดตามผลการตรวจ Ultrasound เพื่อประเมินความผิดปกติของทารก เช่นความผิดปกติของโครงสร้างของทารกภายในครรภ์ ความผิดปกติของลำไส้ ปากแหว่ง เพดานโหว่ การตรวจดูปริมาณน้ำคร่ำ รวมถึงการประเมินความผิดปกติของรกด้วย
      - แนะนำมารดาในการนับลูกดิ้นทุกวัน โดยการนับหลังรับประทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 1 ชม. โดยในเวลา 1 ชม. ลูกต้องดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง และรวมกัน 3 มื้อต้องดิ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง จึงถือว่าปกติ และหากมีอาการผิดปกติเช่น ลูกไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยลง ให้รีบมาพบแพทย์
      - แนะนำมารดาให้รับประทานวิตามินที่ได้รับ ได้แก่ Iodine Folic acid Nataral Caltab อย่างสม่ำเสมอ
      - ติดตามผล Lab โดยเฉพาะ Protein Creatinine เพื่อประเมินการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และประเมินการทำงานของไต ซึ่งในelderly pregnancy มีโอกาสจะเกิดเพิ่มขึ้น
  - - - ฺBP 160/100 mmHg
      - Albumin +3
      - บวม +2
      - ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการปวดศีรษะ
      - Notify Elderly Pregnancy , Obesity
    - - ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะ
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการ ปวดศีระ ตาพร่ามัว จุกแน่นลินปี ชัก
      - BP < 140/90 mmHg
      - ปัสสาวะออกมากกว่า 500 ml ใน 24 ชม.
      - ระดับเอนไซม์ตับ (AST ALT) ปกติ
      - ระดับ serum creatinine < 1.2 mg/dl
      - ระดับ Uric acid < 5.6 mg/dl
      - ค่า PT PTT ปกติ
      - Pletelet count > 100000
      - ไม่มีภาวะ Pulmonary edema
      - ทารกดิ้นดี FHS = 110-160 bpm
    - - ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตสูง โดยวัดขณะพัก หรือเมื่อมารดาไม่มีอาการเหนื่อย หรือตื่นเต้น หากมีความดันสูง มากกว่า 140/90 mmHg ควรวัดอีกครั้ง โดยห่างกันอย่างน้อย 6 ชม. เพื่อประเมินภาวะ Preeclampsia
      - ประเมินภาวะโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (proteinuria) โดยประเมินจาก Urine dipstick หรือการเก็บปัสสาวะ 24 ชม. หากมีโปรตีนในปัสสาวะ มากกว่า5กรัมในปัสสาวะ24ชม. หรือ Urine dipstick มากกว่า +3 ในปัสสาวะ 2 ครั้งที่เก็บห่างกัน อย่างน้อย 4 ชม. อาจแสดงถึงภาวะ severe preeclampsia
      - ซักประวัติมารดา ถึงอาการและอาการแสดงของภาวะ Preeclampsia ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน และชัก และแนะนำมารดาหามีอาการดังกล่าวให้รีบมาพบแพทย์
      - ประเมินสภาพทารกในครรภ์ ได้แก่ การฟัง FHS โดยปกติอยู่ระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที การตรวจครรภ์ด้วยวิธี Leopold maneuver เพื่อประเมินลักษณะทารกในครรภ์ และประเมินความสัมพันธ์ของขนาดและอายุครรภ์ การตรวจ NST เพื่อประเมิน FHS ของทารกที่เปลี่ยนแปลงขณะที่ทารกมีการเคลื่อนไหว และการตรวจประเมินอื่นๆ ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - แนะนำมารดา ให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่เครียด งดการออกกำลังกาย และการทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก เช่นการยกของหนัก การเดิน หรือยืนนานๆ
      - แนะนำมารดาให้งดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่นของทอด ของมัน รวมถึงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่นของหวาน น้ำอัดลม ชา กาแฟ เพราะจะส่งเสริมให้มีความดันโลหิตสูงขึ้นได้
      - แนะนำมารดาให้สังเกตอาการผิดปกติเช่น ทารกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลง น้ำหนักลด ให้รีบมารพ.
      - แนะนำมารดาให้ติดตามการรักษาอย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์ตามนัด
      - ติดตามผล Lab ได้แก่ AST ALT เพื่อประเมินการทำงานของตับ serum creatinine Uric acid เพื่อประเมินการทำงานของไต PT PTT Pletlet count เพื่อประเมินภาวะ เกล็ดเลือดต่ำ
  - - - มารดาตั้งครรภ์ GA 30+2 wks
    - - มารดามีความรู้ และความเข้าใจในการดูและตนเองในไตรมาส3
    - - มารดาสามารถอธิบายวิธีการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการติดเชื้อในร่างกายได้
      - มารดาสามารถอธิบายอาการสำคัญที่ต้องมารพ. ได้
      - มารดารับประทานวิตามินตามแพทย์สั่ง อย่างสม่ำเสมอ
    - - ประเมินความรู้ ความเข้าใจของมารดา ในการปฏิบัติตนในไตรมาส 3 โดยการพูดคุย และสอบถามวิธีการดูแลตนเองของมารดา
      - ให้คำแนะนำมารดาในการดูแลตนเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย เช่นระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะการติดเชื้อจะส่งผลให้มารดาเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ แนะนำให้มารดาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ โดยทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง ซับให้แห้งป้องกันการอับชื้นและลดการสะสมของแบคทีเรีย
      - แนะนำมารดาในการนับลูกดิ้นทุกวัน โดยการนับหลังรับประทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 1 ชม. โดยในเวลา 1 ชม. ลูกต้องดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง และรวมกัน 3 มื้อต้องดิ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง จึงถือว่าปกติ และหากมีอาการผิดปกติเช่น ลูกไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยลง ให้รีบมาพบแพทย์
      - แนะนำมารดา เกี่ยวกับอาการสำคัญที่ต้องมารพ.ดังนี้
        
        อาการเจ็บครรภ์ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
        1.เจ็บครรภ์เตือน อาจะเกิดได้ใช่วงใกล้ๆครบกำหนด หรือครบกำหนด โดยไม่ใช่อาการที่จะคลอด มีอาการคือ มดลูกหดรัดตัวไม่รุนแรง และไม่สม่ำเสมอ มีระยะห่างมาก มีอาการเจ็บครรภ์ ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก ไม่มีการเปิดของปากมดลูก ไม่มีมูกเลือด เจ็บครรภ์นานๆครั้ง มากกว่า 15 นาทีครั้ง และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทารก 2. เจ็บครรภ์จริง คืออาการที่แสดงถึงทารกใกล้คลอดแล้ว มีอาการเจ็บครรภ์ทุกๆ 10-15 นาทีเป็นจังหวะ แลสม่ำเสมอ มีความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูกเพิ่มขึ้นทอาการเจ็บครรภ์สัมพันธ์กับการหดรัดตวของมดลูก ปวดบริเวณหลัง ร้าวไปที่หน้าท้องส่วนบน แล้วร้าวลงขา อาการเจ็บครรภ์ไม่หายไป แม้ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย มีมูกเลือด หรือเลือดออกทางช่องคลอด มีการเปิดของปากมดลูก และมีการเคลื่อนต่ำของทารก
        
        มีน้ำเดิน ลักษณะเป็นน้ำใสๆ ไหลออกทางช่องคลอด ไม่สามารถกลั้นได้ เหมือนกับปัสสาวะ
        
        ลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้น
        
        อาการผิดปกติอื่นๆ เช่น มีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ คลื่นไว้อาเจียน มีไข้ ปัสสาวะแสบขัด ให้รีบมาพบแพทย์
      - แนะนำมารดาให้รับประทานวิตามินที่ได้รับ ได้แก่ Iodine Folic acid Nataral Caltab อย่างสม่ำเสมอ
      - เปิดโอกาสให้มารดาได้ซักถามข้อสงสัย และให้ข้อมูลที่มารดาไม่ทราบ หรือเข้าใจผิด
- - - - ระยะตั้งครรภ์
        
        เบาหวานในขณะตั้งครรภ์
        
        มารดาตรวจคัดกรอง BS 50 gm = 132 mg/dL เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก จึงนัดมาตรวจคัดกรองอีกครั้ง เมื่อ GA 24+5 wks =117 mg/dL
        
        ภาวะแท้งบุตร
        
        ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจาก
        การตั้งครรภ์
        
        มารดามีภาวะความดันโลหิตสูง 160/100 mmHg ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะ Albumin +3
        
        ถุงน้ำคร่ำ แตกก่อนกำหนด
        
        การหยุดหายใจขณะหลับจาก
        การอุดกั้น
      - ระยะคลอด
        
        เสี่ยงต่อการได้รับการชักนำการคลอด
        
        การตอบสนองต่อยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี
        
        เสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
        
        เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในการดมยาสลบ
        
        แผลแยกและการติดเชื้อของแผลผ่าตัดคลอด
      - ระยะหลังคลอด
        
        เสี่ยงต่อการตกเลือดเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
        
        การติดเชื้อหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
        
        การสร้างน้ำนมล่าช้ากว่าปกติ(delayed lactogenesis)
    - - เสี่ยงต่อภาวะตายคลอด (stillbirth)
      - ทารกพิการแต่กำเนิด เกิดภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defect) กระดูกสันหลังไม่ปิด (spina bifida) โรคหัวใจแต่กำเนิด (congenital heart disease) ไม่มีรูทวารหนัก (anorectal atresia)
      - ทารกเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดและทารก
        มีขนาดใหญ่กว่าอายุครรภ์ (large for gestational age)
      - ทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
      - ทารกเสี่ยงเกิดภาวะเลือดข้น(polycythemia)
      - ทารกเสี่ยงต่อการสำลักขี้เทา (meconium aspiration)
      - ทารกเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการคลอด เนื่องจาก
        การคลอดติดไหล่หรือต้องผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
- - - - ความดันโลหิตสูงมากกว่า
        หรือเท่ากับ 140/90 mmHg ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปห่างกันอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
      - มีโปรตีนในปัสสาวะมากกว่าหรือเท่ากับ300 mg ในปัสสาวะ 24ชม. หรือ dipstick 1+
    - - SBP มากกว่าหรือเท่ากับ 160 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) หรือ DBP มากกว่าหรือเท่ากับ 110
        มิลลิเมตรปรอท (mmHg) โดยวัด 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
      - ร่วมกับอาการหรืออาการแสดงข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
        
        โปรตีนรั่วในปัสสาวะ ( proteinuria) มากกว่า 2 กรัมต่อการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง หรือ
        dipstick2+
        
        ภาวะน้ำท่วมปอด (pulmonary edema) หรือเขียว (cyanosis)
        
        ปัสสาวะออกน้อยกว่า 400 มิลลิลิตร ใน 24 ชั่วโมง (oliguria)
        
        ปวดหัวที่ไม่ดีขึ้น (persistent headache)
        
        ปวดบริเวณลิ้นปี่ (epigastric pain) และ/หรือ ค่าการทำงานของตับผิดปกติ ( impaired liver
        function)
        
        เกร็ดเลือดต่ำ(thrombocytopenia)
        
        การเจริญเติบโตของทารกลดลง ( decreased fetal growth)
        หรือภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption)
      - มารดารมาฝากครรภ์ มีความดันสูง 160/100 มีอาการปวดศีรษะ ไม่มีตาพร่ามัว ไม่มีจุกแน่นลิ้นปี่ บวม+2 Albumin +3
    - - ภาวะที่มีการชัก ในผู้ที่เป็น preeclampsia โดยไม่สามารถหาสาเหตุอื่นได้
- - - - ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
        
        การแท้งบุตร หมายถึง การสูญเสีย
        ทารกในระหว่าง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
        
        ภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์หมายถึงการตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อมารดา และทารกในครรภ์ ภาวะแทรกซ้อนในระหว่าง ตั้งครรภ์อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตหากสตรีตั้งครรภ์ได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้องทั้งในขณะตั้งครรภ์ขณะคลอด และในระยะหลังคลอด
        
        ความผิดปกติของการตั้งครรภ
        
        ปัญหาในระยะคลอด
        
        การคลอดก่อนกำ หนด (Preterm labour) หมายถึง การคลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
        
        การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ห
      - ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
        
        ความผิดปกติทางโครโมโซมของทารก
        
        ทารกมีน้ำ หนักน้อย (Low birth weight) หมายถึง ทารกที่มีน้ำ หนักแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม
        
        [อัตราการตายปริกำเนิดของทารก]
        (Perinatal mortality rate)
    - - ความเครียดและความวิตกกังวล
        
        การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในระยะตั้งครรภ์ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์อาจทำ ให้สตรีตั้งครรภ์เกิดความเครียดและความวิตกกังวลจากการไม่ยอมรับและรู้สึกอับอายในรูปร่างและภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากการตั้งครรภ์ของตนเอง
        
        การรับบทบาทใหม่
        
        สุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์
        
        การตรวจรักษา
        
        การคลอด
      - ความรู้สึกไม่แน่นอนต่อการตั้งครรภ์และ
        การคลอด
      - การยอมรับการตั้งครรภ์
      - สัมพันธภาพกับสามี
  - - - การเจาะน้ำคร่ำเป็นการนำเซลล์ของทารกที่ปนอยู่ในน้ำคร่ำไปตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค ได้แก่ โครโมโซมผิดปกติ, โรคทางพันธุกรรมที่วินิจฉัยก่อนคลอด
      - ข้อบ่งชี้
        
        มารดาที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ณ วันกำหนดคลอด
        
        มารดาอายุ 35 ปี
        
        มีความเสียงสูงจากผลการตรวจคัดกรองความเสี่ยงทารกดาวน์
        
        ทารกหรือครรภ์ก่อนหน้านี้มีความผิดปกติของโครโมโซม
        
        บิดามารดาเป็นคู่เสี่ยงที่จะมีทารกเป็นโรคธาลัสซีเมียอย่างรุนแรง
        
        อัลตราซาวด์พบว่าทารกมีความผิดปกติ
      - โดยทั่วไปจะตรวจเมื่ออายุครรภ์ที่ 16-18 สัปดาห์
        
        แพทย์นัดเพราะน้ำคร่ำ เมื่อ 18+3 wks
      - แพทย์นัดเจาะน้ำคร่ำในวันที่ 7 ม.ค. 62 แต่เมื่อถึงวันนัด มารดาขอยกเลิกการเจาะน้ำคร่ำ
    - - คือ การดูดเอาตัวอย่างของรกเด็กมาตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม Chromosome เช่นเดียวกันกับการตรวจน้ำคร่ำ สามารถบอกความผิดปกติของโครโมโซม เช่น Down's syndrome ความพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของโครงสร้างของร่างกาย เช่น Spina bifida และ Anencephaly
      - วิธีการตรวจ
        
        การเจาะจากหน้าท้องและดูดเอาเซลล์ไปตรวจ
        
        จากการดูดทางช่องคลอดดดยการอาศัย ultrasound นำทางและใช้ท่อดูดเอาเซลล์รกมาตรวจ เป็นวิธีการที่ใช้บ่อย
        เมื่อได้เซลล์มาจะส่งห้องปฏิบัติการเพื่อนำเซลล์ไปเพาะเลี้ยงใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน
      - เมื่อเทียบกับการตรวจ amniocentesis การตรวจนี้จะตรวจได้เร็วกว่า คือสามารถตรวจพบหลังการตั้งครรภ์เพียงสิบวัน ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาว่าจะดำเนินการตั้งครรภ์ต่อหรือไม่
      - โดยทั่วไปจะทำเมื่อตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก
    - - เป็นการเจาะเลือดจากสายสะดือไปตรวจดูความผิดปกติของทารก เช่นความผิดปกติของโครโมโซม โรคเลือด เด็กพิการ โลหิตจางในทารก
      - โดยทั่วไปจะทำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 17 สัปดาห์
      - หลังทำอาจเมีความเสี่ยงที่จะเกิด เลือดออกจากบริเวณที่เจาะ การติดเชื้อ น้ำเดินก่อนกำหนดได้