Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กลุ่มฟลอเรนซ์ ไนติงเกล กระบวนการพยาบาล Nursing Process (คุณลักษณะของกระบว…
กลุ่มฟลอเรนซ์ ไนติงเกล
กระบวนการพยาบาล Nursing Process
คุณลักษณะของกระบวนการพยาบาล
1.เป็นวงจรและพลวัตร(cycle and dynamic)
2.เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง(client-centeread)
3.มีการวางแผนและกำหนดเป้าหมายชัดเจน(planed and goal-directed)
4.เป็นสากล(universal application)
5.เป็นกระบวนการทางนติปัญญา(cognitive process)
เน้นปัญหาของผู้รับบริการ(problem-oriented)
ความหมายของ
การพยาบาล
เป็นการดูแลผู้เจ็บป่วยการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขอนามัยและการป้องกันโรครวมทั้งเป็นการช่วยเหลือแพทย์กระทำการรักษาโรคโดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์และศิลปะในการปฏิบัติการพยาบาลเป็นขั้นตอนหรือกระบวนการ
ความสำคัญของ
การพยาบาล
เป็นสิ่งท่ีแสดงถึงการนำความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ
เป็นการจัดระบบระเบียบการให้บริการทางการพยาบาล
เป็นเครื่องมือท่ีสำคัญสำหรับพยาบาบในการค้นหาปัญหาและความต้องการของ ผู้รับบริการ
มีลำดับขั้นตอน5ขั้น แต่ละขั้นตอนจะต้องคิดวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีเหตผุล หรือใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
แสดงใหเ้ห็นสิ่งที่พยาบาลคิด เป็นหัวใจของการพยาบาล
ขั้นตอนของกระบวนการพยาบาล
2.Nursing diagnosis (วินิจฉัยการพยาบาล)
เป็นขั้นตอนการตัดสินภาวะสุขภาพ(health status) ของผู้รับบริการ จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ โดยผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดกลุ่มข้อมูล แปลความหมาย และกำหนดภาวะสุขภาพ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล สำคัญมาก เพราะเป็นพื้นฐานของการดูแล ถ้าภาวะสุขภาพหรือปัญหาสุขภาพที่ใินิจฉัยได้ ถูกต้อง ครอบคลุม เฉพาะเจาะจง จะทำให้แผนการพยาบาลมีคุณภาพ
ต้องมีการวิเคราะห์จุดเด่นหรือศักยภาพของผู้รับบริการ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความหมาย
ความหมายในลักษณะคำกิริยา
:การให้การวินิจฉัยเป็นกระบวนการสืบค้นหาปัญหาของผู้รับบริการ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ โดยใช้เหตุผลและความรู้ต่างๆอย่างรอบคอบ ที่เรียกว่า
กระบวนการวินิจฉัยทางการพยาบาล
ความหมายในลักษณะคำนาม
:ข้อวินิจฉัยการพยาบาล เป็นผลของการสรุปเกี่ยวกับการตอบสนองของผู้รับบริการต่อปัญหาสุขภาพ หรือภาวะสุขภาพดี ก็ได้
ปัจจัยที่ใช้ในการวินิจฉัยการพยาบาล
1.ความรู้
2.การใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
3.การใช้เหตุผล
การใช้เหตุผลอุปมาน(Inductive reasoning)
:เป็นการหาปัญหาจากข้อมูลย่อยๆที่รวบรวมมาได้นำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกันแล้วจึงสรุปผลเป็นปัญหา
การใช้เหตุผลอนุมาน(reductive reasoning)
:เป็นการตั้งปัญหา หรือสมมติฐานขึ้น แล้วหาข้อมูลย่อยๆมาสนับสนุนปัญหาที่ตั้งไว้ว่าเป็นจริง
4.การตัดสินใจ(decision making)
5.มีความเป็นปรนัย(objectively)
Nursing diagnosis:Process
การวิเคราะห์ข้อมูล
แปลความหมายของข้อมูล(interpretation)
จัดกลุ่มข้อมูล(classification)
ตรวจสอบความถูกต้อง(validation)
การกำหนดภาวะสุขภาพ/ระบุปัญหา
ปัญหาที่มีแนวโน้มจะเกิด
ปัญหาเสี่ยง
ปัญหาที่กำลังเกิดอยู่
การจำแนกกลุ่มการตอบสนอง
กลุ่มปัญหา
กลุ่มสาเหตุ/ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดปัญหา
ตัวอย่างข้อวินิจฉัย
3.Planning (วางแผนการพยาบาล)
-เป็นขั้นตอนการวางกลยุทธ์ : วิธีช่วยเหลือผู้รับบริการ
-เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง : ทำได้ตั้งแต่พบผู้รับบริการ
และทำไปจนเสร็จสิ้นการดูแล
ชนิดของการวางแผนการพยาบาล
2.การวางแผนระหว่างการดูแล (ongoing planning)
พยาบาลผู้ที่ดูแลผู้รับบริการจะเป็นผู้วางแผนการพยาบาล ในระหว่างการดูแล เมื่อผู้รับบริการให้ความไว้วางใจหลังจากอยู่ในความดูแล
การวางแผนระหว่างการพยาบาล ทำได้ในการทำงานแต่ละวัน และแต่ละเวร (เช้า/บ่าย/ดึก)
3.การวางแผนเพื่อการจำหน่าย (discharge planning)
เป็นการวางแผนและจัดสรรบริการในการดูแลรักษา ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลต่อเนื่องหลังการจำหน่ายอย่างเป็นระบบ องค์รวม มีการประสานงานของ สหสาขาวิชาชีพในการสนับสนุน และเสริมพลัง ผู้ป่วยและครอบครัวเป็นรายกรณี รวมทั้งเตรียมการให้ผู้ป่วยและญาติ สามารถดูแลสุขภาพได้ด้วยตัวเอง
1.การวางแผนระยะเริ่มต้น (initial planning)
พยาบาลเริ่มจากประเมินสภาพผู้รับบริการ เมื่อผู้รับบริการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จะเป็นผู้ที่ได้ข้อมูลที่ได้จากกิริยา ท่าทาง การพูดคุย แต่ข้อมูลอาจไม่สมบูรณ์ จึงวางแผนการพยาบาลข้อมูลที่มี มาปรับปรุงให้ละเอียด
องค์ประกอบของแผนการพยาบาล
(care Plan Components)
goals / outcomes
สิ่งที่พยาบาลและผู้รับบริการ คาดหวังจะให้เกิด หลังจากปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลไปแล้ว
ต้องมีเกณฑ์สำหรับประเมินผลเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบว่าสำเร็จจริงหรือไม่
intervention
เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้ ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงจากภาวะที่ไม่พึ่งประสงค์ ไปสู้เป้าหมายที่กำหนด
problem / diagnosis
การตอบสนองต่อภาวะสุขภาพ ต่อสุขภาพที่เบี่ยงเบน
ขั้นตอนการวางแผนการพยาบาล
การกำหมดเป้าหมาย/วัตถุประสงค์การพยาบาล
การกำหนดเกณฑ์ประเมินผล
การลำดับข้อวินิจฉัยการพยาบาล
การกำหนดกิจกรรมการพยาบาล
5.Evaluation(ประเมินผลการพยาบาล)
ความหมาย
การประเมินผลการพยาบาล หมายถึง กระบวนที่ทำอย่างรอบคอบ และเป็นระบบในการตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพ ความมีค่า หรือคุณค่าของพยาบาล โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ หรือมาตรฐานที่วางไว้ หรือที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว
แนวคิด : การประเมินผลการพยาบาล
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาล และแทรกอยู่ในทุกขั้นตอน
มีกระบวนการที่เป็นระเบียบแบบแผน
ผลที่ได้จากการประเมินผลการพยาบาลจะบอกให้ทราบถึงประสิทธิภาพของพยาบาล วิธีปฏิบัติการพยาบาล และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้รับบริการ
นำผลการประเมิน จนต้องเริ่มตั้งแต่กำหนดปรัชญา วัตถุประสงค์ขององค์กร จนถึงการควบคุมการพยาบาล
ชนิดของการประเมินผลการพยาบาล มี 3 ชนิด
เชิงโครงสร้าง (Structure)
จุดเน้น คือ หน่วยงาน
จะตรวจสอบการจัดระบบสำหรับให้การดูแล
ปัจจัยที่มีผล คือ การบริหาร งบประมาณ การสื่อสาร กระบวนการพัฒนาตนเอง แบบแผนการจัดกำลังคน คุณภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือเครื่องใช้
เชิงกระบวนการ Process
จุดเน้น คือ กิจกรรมของผู้ให้การดูแล
พิจารณาจาก กิจกรรมอะไรที่ให้ผู้รับบริการ การดูแลที่ให้เกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้รับบริการ หรือไม่ การดูแล เหมาะสม สมบูรณ์ และถูกเวลา ทักษะของผู้ให้การดูแลเป็นอย่างไร คุณภาพของการปฏิบัติของผู้ให้การดูแลเป็นอย่างไร
เชิงผลลัพธ์ (Outcome)
จุดเน้น คือ การตอบสนองของผู้รับบริการ
เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงหรือการตอบสนองของผู้รับบริการ กับเป้าหมายที่พยาบาลและผู้รับบริการคาดหวัง โดยพยาบาลจะประเมินว่าบรรลุเป้าหมายสุขภาพที่ตั้งไว้หลังให้การพยาบาลแล้ว หรือประสบความสำเร็จระดับไหน เพียงใด
สามารถกระทำได้ 2 ลักษณะ คือ
การะประเมินผลในขณะปฏิบัติการพยาบาล (Formative/ongoing evaluation) : เป็นการประเมินผลที่กระทำอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่กำลังใช้กระบวนการพยาบาลในขั้นตอนอื่นๆ
การประเมินผลเมื่อการพยาบาลสิ้นสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ (Summative/Intermittent evaluation) : เป็นการประเมินผลรวบยอดในช่วงเวลานั้นๆ
ขั้นตอนการะประเมินผลการพยาบาล
1) ทบทวนเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผนการพยาบาล
2) รวบรวมข้อมูลที่สัมพันธ์กับเป้าหมายที่วางไว้
3) เปรียบเทียบข้อมูลทีไ่ด้ขณะนั้นกับเกณฑ์การประเมินผลเป้าหมายที่คาดหวังที่ตั้งไว้ ว่าผลบรรลุตามเกณฑ์ทั้งหมด หรือบรรลุบางส่วน หรือไม่บรรลุผลเลย
4) เขียนข้อความเกี่ยวกับผลการประเมินทั้งส่วนภาวะสุขภาพ และข้อมูลสนับสนุนภาวะสุขภาพนั้น
5) เชื่อมโยงกิจกรรมการพยาบาลกับผลการประเมิน
6) ทบทวนและปรับปรุงแก้ไขแผนตามความจำเป็น ขึ้นกับการสำเร็จตามเป้าหมาย และการเปลี่ยนแปลงภาวะสุขภาพของผู้รับบริการ
4.Implementation (ปฏิบัติการพยาบาล)
ความหมาย
เป็นการนำแผนการพยาบาลที่กำนหดไว้ ไปทำให้เกิดผลเป็นจริง ภายใต้ระบบการพยาบาลที่เหมาะสมกับสถานการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่ อาจเป็นระบบการปฏิบัติการพยาบาลเป็นทีม (Team nursing) หรือระบบการปฏิบัติการพยาบาลตามหน้าที่ (Functional nursing) หรือระบบการปฏิบัติการพยาบาลแบบเจ้าของไข้ (Primary nursing) หรือผสมผสานกันระหว่างระบบ
แนวคิด : การปฏิบัติการพยาบาล
เป็นการนำแผนไปสู่การกระทำ
ไม่ได้จำกัดเพียงในโรงพยาบาล สามารถปฏิบัติได้ในครอบครัว จนถึงชุมชน
จะบรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพ ต้องมีการเตรียมการที่ดีและมีความพร้อม
ภายหลังให้การพยาบาลแล้ว ต้องบันทึกการปฏิบัติการพยาบาลที่ให้
ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาล
1) ขั้นเตรียมการ (Preparing)
เตรียมผู้ปฏิบัติการ
คุณสมบัติที่ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นในผู้ปฏิบัติ คือ 4H ได้แก่ Head , Heart , Hands และ Heels
เตรียมผู้รับบริการ
เตรีมอุปกรณ์ / เครืองมือเครื่องใช้
เตรียมทบทวนแผนการพยาบาล
2) ขั้นปฏิบัติการ Doing/Delegating
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง
ความปลอดภัย (Safety)
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and effectiveness)
ประหยัด (Economuzation)
ความสุชสบาย (Comfort)
สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ทักษะจำเป็น
ด้านสติปัญญา (Intellectual and cognitive skills)
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking)
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal skills)
ด้านการปฏิบัติ (Teaching/Psychomotor skills)
การมอบหมายงานและการนิเทศงาน (Delegation and supervision)
3) ขั้นการบันทึก (Documentation/Recording)
บันทึกโดยเน้นแหล่งข้อมูลเป็นหลัก (Source-oriented record)
บันทึกโดนเน้นปัญหาเป็นหลัก (Problem-oriented record)
บันทึกรายการปัญหา (Problem list)
บันทึกตามกระบวนการพยาบาล
บันทึกด้วยคอมพิวเตอร์ (Computerized record)
บันทึกแบบบรรยายตามเหตุการณ์ (Narrative records)
1.Health assessment
(ประเมินภาวะสุขภาพ)
การรวบรวมข้อมูล(collection data)
ชนิดข้อมูล(types of data)
ข้อมูอัตนัย(subjective data) : symptom
ข้อมูลปรนัย(objective data):sign
แหล่งข้อมูล(sources of data)
แหล่งปฐมภูมิ(primary sources):ตัวผู้รับบริการ
แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ(secondary sources)
:ครอบครัว ผู้ประสบเหตุ บุคลากรทีมสุขภาพ
:แฟ้มประวัติและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
วิธีการรวบรวมข้อมูล(data collection method)
การสัมภาษณ์/การซักประวัติ(Interview )
ชนิดการสัมภาษณ์
แบบกำหนดทิศทาง(directive):มีรูปแบบชัดเจน
แบบไม่กำหนดทิศทาง(non directive):ผู้รับบริการได้พูดตามที่ต้องการ
ขั้นตอน
1.ขั้นเตรียมการสัมภาษณ์:ตั้งเป้าหมาย คิดคำถามไว้กำหนดช่วงเวลาท่ีไม่ถูกรบกวนและต้องพิจารณาอารมณ์และความพร้อมของผู้รับบริการด้วย
2.ขั้นสัมภาษณ์: สร้างสัมพันธภาพ โดยการทักทาย แนะนำตนเอง ถามชื่อผู้รับบริการแสดงท่าทีถึงการยอมรับและให้เกียรติ ใช้คำนำหน้าและสรรพนามที่เหมาะสม ควรจัดที่นั่งให้ทำมุมเฉียง ไม่ประจันหน้ากันโดยตรง ลักษณะการถามเป็นการสนทนามากกว่าการซักถาม ใช้คำถามปลายเปิด และควรสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้รับบริการตลอดเวลาที่ซักประวัติ ผู้สัมภาษณ์ต้องตั้งสติ สบตาและตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้รับบริการพูด
3.ขั้นปิดการสัมภาษณ์:เมื่อยุติการสัมภาษณ์ ควรสรุปสิ่งที่คุยมาเพื่อให้ผู้รับบริการได้ตรวจความถูกต้องของข้อมูล ตามกรอบการรับรู้ของพยาบาลที่เกี่ยวกับปัญหาสำคัญ
เทคนิคการสัมภาษณ์
1.การส่งเสริม(facilitation)
2.การทำความเข้าใจ(clarification)
3.การสะท้อนกลับ(reflection)
4.การกล่าวซำ้(restatement )
5.การแปลความหมาย(interpretation)
6.อาการเงียบ(silence)
หัวข้อในการซักประวัติ
1.รายละเอียดทั่วไป(Inroductory data)
2.อาการสำคัญ(Chief complaint)
3.ประวัติปัจจุบัน(Present illness)
4.ประวัติเจ็บป่วยในอดีต(Past history)
5.ประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว(Family history)
6.ประวัติส่วนตัว(Personal history)
7.การทบทวนอาการตามระบบอวัยวะ(Review of system)
การสังเกต(Observation)
ใช้ความรู้สึกของพยาบาลในการรวบรวมข้อมูลด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ
พยาบาลต้องฝึกเป็นคนช่างสังเกต ผู้รับบริการมีรูปร่าง ลักษณะอย่างไร กำลังทำอะไร แสดงอาการอะไรที่เป็นการบ่งบอกสิ่งผิดปกติ
เมื่อเข้าใกล้ผู้ป่วย ให้สังเกตผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วย
การตรวจร่างกาย(physical examinations)
ให้ข้อมูลปรนัย(Objective data)
การตรวจร่างกายแบบสมบูรณ์
วิธีตรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า(head to toe)
วิธีตรวจตามระบบ
วิธีตรวจตามกรอบแนวคิดของศาสตร์ทางการพยาบาล
เทคนิคการตรวจร่างกาย
1.การดู(inspection)
2.การคลำ(palpation)
3.การเคาะ(percussion)
4.การฟัง(auscultation)
การตรวจสอบข้อมูล(validating data)
ความสำคัญ
เพื่อไม่ให้พลาดข้อมูลที่ถูกต้องและสำคัญกับปัญหาของผู้ป่วย
เพื่อกำจัดความผิดพลาดของผู้ประเมิน ความอคติ
ไพื่อไม่ให้รีบสรุป หรือเน้นในทางที่ผิด
สาเหตุ
ควรตรวจสอบเมื่อข้อมูลอัตนัยและปรนัยไม่สอดคล้องกัน
ผู้รับบริการให้ข้อมูลเรื่องเดียวกันในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน
ควรตรวจสอบเมื่อข้อมูลที่ได้มาผิดปกติมากๆและมีปัจจัยบางประการที่ทำให้ข้อมูลไม่ตรง
วิธีการ
ตรวจสอบข้อมูลอย่างน้อย2ครั้ง โดยตรวจซำ้และเปรียบเทียบกับข้อมูลเดิม โดยเฉพาะข้อมูลอัตนัยกับปรนัย
หาปัจจัยส่งเสริมหรือยับยั้ง
ถามผู้เชี่ยวชาญ/ญาติ ผู้ใกล้ชิด/ผู้มีประสบการณ์
ทำความเข้าใจข้อมูลด้วยการถามซำ้หรือสังเกตพฤติกรรม
การจัดระบบข้อมูล(organizing data)
นำข้อที่รวบรวมและตรวจสอบแล้ว มาจัดหมวดหมู่ เชื่องโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน จัดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันไว้ด้วยกัน(ตามแนวคิด/ทฤษฎีและเครื่องมือประเมินที่ใช้เป็นแนวทาง)
ช่วยให้มองเห็นปัญหาสุขภาพ ปัจจัยเสี่ยง และส่วนดีที่มีอยู่ของผู้รับบริการในขณะที่มีปัญหา
อาจจัดระบบข้อมูลตามกรอบแนวคิดที่แตกต่างกัน เช่น กรอบแนวคิดทางการพยาบาล และ กรอบแนวคิดที่ไม่ใช่ทางการพยาบาล
กรอบแนวคิดทางการพยาบาล
ได้แก่ กรอบแนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน กรอบแนวคิดการดูแลตนเอง กรอบแนวคิดการปรับตัว กรอบแนวคิดความสามารถในการดูแลตนเอง เป็นต้น
กรอบแนวคิดที่ไม่ใช่ทางการพยาบาล
ได้แก่ ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์
การรายงาน/บันทึกข้อมูล(reporting and recording data)
ต้องบันทึกสิ่งที่ประเมินได้ เพื่อจะได้สื่อสารให้ผู้อื่น(ที่เกี่ยวข้องกับทีมการดูแลรักษา)ได้รับรู้ และ/หรือ รายงานความผิดปกติที่พบ เพื่อให้การดูแลรักษาทันที
การบันทึกและรายงาน
เป็นปัจจัยที่จะให้การวินิจฉัยและรักษาในทันที ช่วยให้การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องลดลง แต่อาจทำให้การดูแลรักษาไม่ได้ผล จากการบันทึกและการรายงานที่ขาดความระมัดระวัง รอบคอบ
การรายงานสิ่งสำคัญที่พบ อาจทำก่อนบันทึกทั้งหมดได้ เช่น วัดอุณหภูมิกายได้ 39.5 องศาเซลเซียส ต้องรายงานแพทย์ก่อนแล้วจึงบันทึกลงในแบบฟอร์ม เป็นต้น
ประโยชน์ของกระบวนการพยาบาล
ประโยชน์สำหรับผู้รับบริการ
ได้รับการดูแลที่ต่อเนื่อง
ป้องกันการละเลยการพยาบาลและการพยาบาลที่ซ้ำซ้อน
ได้รับการดูแลเฉพาะบุคคล
ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการรักษา
ประโยชน์สำหรับพยาบาล
มีความพึงพอใจในงาน
เกิดการเรียนรู้ต่อเนื่อง
เพิ่มความเชื่อมั่นในตัวเอง
ช่วยในการมอบหมายงาน
ประโยชน์ต่อวิชาชีพ
สนับสนุนการทำงานร่วมกัน
เพิ่มคุณค่าของวิชาชีพ
สร้างความเข้าใจในวิชาชีพ
จุดเน้นของพยาบาล
วินิจฉัยและบำบัดปฏิกิริยาตอบสนองของมนษุย์ (human response)
ดูแลช่วยเหลือพยาบาลผู้รับบริการ (บุคคลครอบครัวและชุมชน)
3.เน้นองค์รวม–ผลกระทบของความเจ็บป่วยต่อคนทั้งคน
4.สอนผู้รับบริการให้ดูแลตนเองได้และสามารถ ช่วยตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
การประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาล
กระบวนการพยาบาลสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผู้ที่สุขภาพดีและสุขภาพเจ็บป่วยทั้งรายบุคคล ครอบครัว และชุมชน
พิจารณาให้ครอบคลุม4มิติ
การดูแลรักษา
การส่งเสริม
การป้องกันโรค
การฟื้นฟู
กรณีผู้รับบริการมีภาวะสุขภาพเบี่ยงเบน
ประยุกต์ได้ทุกวัน
ภาวะเร่งด่วน
เฉียบพลัน
เรื้อรัง
ตั้งเเต่เกิดจนวาระสุดท้ายของชีวิต
การตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายจะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ผู้ป่วยบอกเล่า หรือปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงข้อมูลการตอบสนองต่อกิจกรรมการพยาบาลและการรักษาของแพทย์
เทคนิคการตรวจร่างกาย
การดู(inspection)
เป็นการดูและสังเกตที่เน้นพฤติกรรมเฉพาะ หรือส่วนต่างๆของร่างกาย
เป็นระบบและละเอียดมากกว่าการสังเกต (ดูขนาด รูปร่าง ท่าทาง ตำแหน่งทาง กายวิภาค สี องค์ประกอบ รูปร่างภายนอก การเคลื่อนไหว ความสมมาตร)
อาจใช้เครื่องมือช่วยในการดู
เครื่องตรวจหู (otoscope)
เครื่องตรวจตา(opthalmoscope)
การคลำ(palpation)
ใช้การสัมผัสตัดสินคุณลักษณะของโครงสร้างร่างกายที่อยู่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วย
ทำให้สามารถประเมินขนาด รูปร่าง องค์ประกอบ อุณหภูมิ ความชื้น การเต้นเป็นจังหวะ การสั่นไหว การติดแน่นหรือเคลื่อนที่ได้โดยใช้มือ
มือใช้เป็นเครื่องมือในการคลำ
หลังมือ
ใช้แยกแยะความแตกต่างอุณหภูมิ
ปลายนิ้ว
ใช้ตัดสินองค์ประกอบหรือแนวกล้ามเนื้อและขนาดของสิ่งที่คลำ
ผิวฝ่ามือ
ไวต่อการสั่นไหว ใช้คลำบริเวณเหนือหัวใจ คอ
มี2ลักษณะ
คลำเบา(lightly palpation)
ตรวจเกือบทุกส่วนทั่วร่างกายกดอย่างนุ่มนวล และอาจวนๆมือไปด้วย มักใช้ตรวจเต้านม กระเพาะปัสสาวะ คลำชีพจร ตรวจอัตรการเต้นของหัวใจ
คลำลึก(deeply palpation)
ตรวจท้อง เพื่อหาตำแหน่ง และขนาดของอวัยวะหรือหาก้อนผิดปกติ วิธีนี้ต้องใช้2มือ มือที่ถนัดมือหนึ่งกดอีกมือวางซ้อนมือที่กดเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกโดยใช้การเพิ่มแรงกด สังเกตการแสดงสีหน้าและการเคลื่อนไหวของร่างกายผู้ป่วยระหว่างคลำจะได้ข้อมูลช่วยประเมินความรุนแรงของความเจ็บปวด หรือความไม่สุขสบายได้
การเคาะ (percussion)
เป็นการเคาะบนผิวของร่างกายด้วยนิ้วมือเดียว หรือหลายนิ้ว ให้เกิดเสียงหรือความรู้สึก เพื่อตัดสินขนาด ความ หนาแน่น ขอบเขตของอวัยวะและตำแหน่ง
การเคาะมี2วิธี
เคาะโดยตรง(direct percussion
ใช้นิ้วมือเดียวหรือหลายนิ้ว เคาะบนผิวหนังของร่างกายบริเวณที่ตรวจ เคาะโพรงอากาศบริเวณกระดูกใบหน้าดูความเจ็บป่วย
เคาะโดยอ้อม(indirect percussion)
การวางนิ้วชี้หรือนิ้วกลางของมือหนึ่ง ลงบนผิวหนังบริเวณที่ตรวจ แล้วเคาะปลายนิ้วของอีกมือลงบนข้อต่อของนิ้วที่วางบนผู้ป่วย
เสียงที่เกิดจะเป็น
เสียงทึบมาก(flat)
เป็นเสียงความถี่ต่ำ เกิดจากการเคาะบนกระดูกหรือกล้ามเนื้อ
เสียงทึบ(dull)
เป็นเสียงความถี่ปานกลาง เสียงหนักและอาจได้ยินเมื่อเคาะบนตักหรือม้าม
เสียงโปร่ง(resonant)
เป็นเสียงที่ได้ยินชัด เกิดจากการเคาะบนปอดที่มีลม
เสียงก้อง(tympanic)
เป็นเสียงดังความถี่สูง ฟังได้ยินเมื่อเคาะบนกระเพาะอาหารที่มีลม หรือกระพุ้งแก้มที่ถูกทำให้โป่ง
การฟัง(auscultion)
เป็นการตรวจด้วยการฟังเสียงที่สร้างจากอวัยวะของร่างกาย
โดยตรง
ไม่ใช้เครื่องมือในการตรวจหาดสียง
โดยอ้อม
ฟังโดยใช้หูฟัง(stethoscope)
มักใช้ตรวจคุณลักษณะของปอด หัวใจ และเสียงลำไส้ ทำให้สามารถบอกได้ถึงความถี่ ความแรง คุณภาพ และช่วงเวลาของเสียงที่ได้ยิน เช่น ดสียงวีดส์ (wheeze)