Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การตรวจพิเศษ (ประเมินสุขภาพทารกภายในครรภ์) 10022-300x300 (3 :<3:Fetal…
การตรวจพิเศษ (ประเมินสุขภาพทารกภายในครรภ์)
1 :<3: :
Non stress Test (NST)
ข้อบ่งชี้ในการทำ NST
และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ทารกน้ำคร่ำน้อย ทารกโตช้าในครรภ์ ทารกดิ้นน้อยลง ทารกเกินกำหนด ครรภ์เกินกำหนด ถุงน้ำแตกก่อนกำหนด เป็นต้น
โรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
โรคหัวใจ
โรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์
ภาวะซีด
ควรเริ่มตรวจ NST เมื่อ GA > 32 wks. แต่ถ้าผิดปกติก่อนเริ่มตรวจเร็วกว่านั้นได้และ การตรวจ NST ได้ผลปกติก็ควรตรวจซ้ำทุกสัปดาห์
ถ้าเจอ IUGR , Postterm , PIH , DM และ Rh isoimmunization ควรตรวจถี่ขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
การแปลผลNST
Non reactive
การเพิ่มขึ้นของFHRไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของFHR เลยในการตรวจนาน40นาที
ผล nonreactive ให้ตรวจยืนยันด้วยวีธีอื่นเพิ่มเติม เช่น contraction stress tesr(CST) หรือ biophysical profile(BPP) หรือ Doppler ultrasound เป็นต้น ร่วมกับการตรวจ ultrasound ประเมินความผิดปกติของทารกในครรภ์ ปริมาณน้ำคร่ำ ร่วมด้วย
Suspicious
มีการเพิ่มของ FHR < 2 ครั้ง หรืออัตราเพิ่มขึ้น < 15 ครั้งต่อ นาที และอยู่สั้นกว่า 15 วินาที ควรทำ NST ซ้ำๆภายใน 24-48 ชั่วโมง หรือตรวจวิธีอื่นโดยเร็ว
Reactive
มีการเพิ่มขึ้นของ FHR > 15 ครั้งต่อนาทีและคงอยู่นานอย่าง น้อย 15 วินาที พบอย่างน้อย 2 ครั้ง ภายใน 20 นาที และ Baseline FHR ระหว่าง 110-160 ครั้งต่อนาที
ผล reactive ให้ตรวจติดตามสุขภาพทารกตามความเสี่ยงเดิม
Uninterpretable
ผลการบันทึก FHR มีคุณภาพไม่ดี อ่านผลไม่ได้ ควรตรวจซ้ำภายใน 24 ชั่วโมงหรือตรวจวิธีอื่นโดยเร็ว
ความหมาย
เป็นการตรวจดูการตอบสนองของ FHR เมื่อทารกเคลื่อนไหว บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ทางกายภาพ การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ระบบหัวใจและหลอดเลือดของทารก จึงเป็นการตรวจภาวะของทารกโดยตรง โดยอาศัยการรับรู้จาก มารดาหรือบันทึกการเคลื่อนไหวทารกโดยใช้เครื่องมือ Doppler
การพยาบาลขณะทำ NST
5 ใช้ Doppler FHR transducer คาดเข้ากับหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์ เพื่อบันทึก FHR ตลอดเวลาการทำ
4 ใช้ tocodynamometer ของ external monitor คาดหน้าท้องมารดาเพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูกที่เกิดเองหรือเด็กดิ้น
3 บันทึกความดันโลหิตก่อนทำ เพื่อตรวจสอบภาวะ supine hypotension
6 ให้หญิงตั้งครรภ์ กด mark ทุกครั้งเมื่อเด็กดิ้น
2 จัดหญิงตั้งครรภ์อยู่ในท่า Semi-fowler
7 เมื่อครบ 20 ครั้ง อ่านผลได้ และปลด tocodynomometer และ Doppler FHR transducer ออกจากหน้าท้องมารดา
1 อธิบายขั้นตอนการทำ NST อย่างคร่าวๆ
2 :<3:
Contraction stress test (CST)
ข้อบ่งชี้ในการทำ CST
ข้อบ่งชี้ในการทำ CST เหมือนกับ NST ควรเริ่มเมื่อ GA 32 wks. ตรวจซ้ำได้ทุก สัปดาห์ อาจเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถ้ามารดาเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ความดันโลหิตสูง Sickle cell ในระยะวิกฤติ หัวใจวาย หรือหอบหืดมากขึ้น ทารกดิ้นน้อยลง
การแปลผล CST
positive
ผลผิดปกติเป็นการทำนายว่าทารกอยู่ในสภาวะผิดปกติเช่นทารกอยู่ในภาวะพร่องออกซิเจน หมายถึง การมีlate deceleration มากกว่าร้อยละ 50 เมื่อมดลูกหดรัดตัว
negative
ผลปกติทารกอยู่ในสภาวะปกติหมายถึง ไม่มีlate deceleration เกิดขึ้นเลย เเนะนำการนับลูกดิ้นเเละมาตรวจซ้ำใน1สัปดาห์
Equivocal cst
suspicious
มดลูกหดรัดตัวจะพบlate deceleration มากกว่าร้อยละ 50
hyperstimulation
เกิด late deceleration ตามหลังการหดรัดตัวที่มากเกิน 90 วินาทีหรือ เกิด contraction มากกว่าทุก 2 นาที
หยุดให้oxytocinก่อน
คือผลทั้งหมดนี้ให้ข้อมูลที่ไม่อาจเเปลผลเป็นประโยชน์ทางคลินีค จะต้องทำการทดสอบซ้ำใน 24 ชม.
ความหมาย
เป็นการประเมินภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์ โดยดูจากความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเต้นของหัวใจทารกกับการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเอง หรือโดยกระตุ้นโดยให้ oxytocin ทางหลอดเลือดดำ ให้มีการหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้ง ใน 10 นาที
วัตถุประสงค์
เพื่อตรวจสอบภาวะสุขภาพทารกในครรภ์
เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์
การพยาบาลขณะทำCST
ให้หญิงตั้งครรภ์ กด mark ทุกครั้งเมื่อเด็กดิ้น
เมื่อครบ20ครั้ง อ่านผลได้และปลดtocodynamometerเเละdoppler FHS transducer ออกจากหน้าท้องมารดา
ใช้doppler FHS transducer คาดเข้ากับหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์เพื่อบันทึก FHSตลอดเวลาทำการ
7.เมื่อ มดลูกมีการหดรัดตัวเองหรือกระตุ้นด้วย Oxytocin ให้มดลูกหดรัดตัว3ครั้ง ใน10วินาที duration 40-60 วินาที เเต่ต้องหยุดให้Oxytocin เมื่อพบว่ามี Fetal distress เเละมดลูกหดรัดเเบบไม่คลาย
ใช้tocodynamometer ของ external monitor คาดหน้าท้องมารดาเพื่อบันทึกการหดรัดของมดลูกที่เกิดเองหรือเด็กดิ้น
1.จัดหญิงตั้งครรภ์อยู่ในท่า semi-fowler
2 .บันทึกความดันโลหิตก่อนทำ เพื่อตรวจสอบภาวะ supine hypotension
ข้อบ่งห้ามในการทำ CST
1)เคยได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
2)มีประวัติเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
3)ปากมดลูกหย่อนสมรรถภาพ
4)ตั้งครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดนํ้า
5)มีเลือดออกขณะตั้งครรภ์
6)ภาวะรกเกาะตํ่า
7)Premature Rupture Of Membranes
5 :<3:
การตรวจคัดกรองเเละวินิจฉัยภาวะดาวซินโดรม
กลุ่มอาการดาวน์ (down’s syndrome) เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางด้านจำนวนของโครโมโซม โดยมีอัตราการเกิดประมาณ 1 ต่อ 800-1,000 การเกิดมีชีพและอุบัติการณ์ยังเพิ่มขึ้นตามอายุของมารดาขณะตั้งครรภ์
1.การตรวจคัดกรอง
การตรวจการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก
การตรวจอัลตราซาวน์ในช่วง 11 ถึง 13 สัปดาห์ หากเด็กมีความผิดปกติ จะตรวจพบของเหลวสะสมอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณลำคอของเด็กมากกว่าปกติ
การตรวจเลือด หาความผิดปกติของโปรตีนเอ (PAPP-A) และระดับโกนาโดโทรปิน (hCG) ในมนุษย์
การทดสอบนี้ตรวจพบการตั้งครรภ์ดาวน์ซินโดรม 80-90% การทดสอบนี้ไม่เหมาะสำหรับคุณถ้าคุณตั้งครรภ์นานกว่า 14 สัปดาห์
การตรวจการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่สอง
ในสัปดาห์ที่ 16 ถึง 19 จะมีการตรวจเลือด หาความผิดปกติของระดับสารเคมีในเลือดที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ คือ ตรวจหาอัลฟา-ฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) อีสไทรออล (Estriol) ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์อย่างเอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน (hCG) และอินฮีบิน เอ ในเลือด (Inhibin A)่ตรวจพบว่ามีการตั้งครรภ์ดาวน์ซินโดรมประมาณ 80%
การตรวจแบบ NIPs หรือ NIPT – เป็นการตรวจ DNA ของทารกที่มาจากรก และหมุนเวียนอยู่ในเลือดของมารดา โดยแนะนำให้ตรวจหลังอายุครรภ์ถึง 10 สัปดาห์แล้ว โดยเฉพาะมารดาที่อายุมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ทารกจะมีโครโมโซมที่ผิดปกติสูง
2.การตรวจวินิจฉัย
3.การเจาะเลือดจากสายสะดือทารก
แพทย์จะเจาะนำตัวอย่างเลือดจากเส้นเลือดบริเวณสายสะดือของทารก เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม ใช้ตรวจในอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงกว่าการเจาะน้ำคร่ำและการตรวจเนื้อเยื่อจากรก จึงเป็นวิธีที่แนะนำต่อเมื่อการตรวจด้วยวิธีการอื่นข้างต้นแล้วไม่ทราบผลที่ชัดเจน
วิธีการตรวจ
2ใช้ยาชาเฉพาะที่ และเทคนิคปราศจากเชื้อ
3ใช้เข็มเจาะผ่านลงไปที่สายสะดือเหนือที่เกาะกับรกประมาณ 2-3 เซนติเมตร
1ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจดูตำแหน่งที่เจาะ
4นิยมเจาะที่หลอดเลือดดำ (Umbilical vein) มากกว่า เพราะมีขนาดของหลอดเลือดใหญ่กว่า
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกไม่หยุด
สายสะดือบาดเจ็บ
ภาวะหัวใจทารกเต้นช้า การคลอดก่อนกำหนด
ภาวการณ์ปะปนของเลือดมารดาสู่ทารกในครรภ์
การพยาบาลหลังทำ
1การประเมินภาวะเลือดออกจากสายสะดือจากเครื่อง Ultrasound และ Fetal mornitoring 30-60 นาที ภายหลังตรวจ
2ตรวจนับอัตราการเต้นของหัวใจทารก
3เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
4ตรวจสอบภาวะเด็กดิ้น
5Electronic mornitoring
2.การตรวจโครโมโซมจากรกเด็ก
แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากรกมาตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติ ใช้ตรวจในอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป แต่เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงกว่าการเจาะน้ำคร่ำ
ภาวะแทรกซ้อน
มีความพิการของทารกในครรภ์ชนิดมีแขนขาไม่ครบ (Transverse digital defect)
แท้งบุตร ร้อยละ 2-4
การแตกของถุงน้ำคร่ำ การตกเลือดและการติดเชื้อ
การพยาบาลหลังทำ
ภายหลังตรวจให้พักผ่อนเต็มที่ งดการทำงานทุกชนิด 1 วันที่บ้าน
งดการมีเพศสมัพันธ์อย่างน้อย 2-3 วัน
สังเกตอาการผิดปกติ เช่นเดียวกับการเจาะน้ำคร่ำ
วิธีการตรวจ
2 สามารถเจาะผ่านทางปากมดลูก (transcervical) และผ่านทางหน้าท้อง (Transabdomen)
1 เหมือนการเจาะน้ำคร่ำส่งตรวจทุกประการ แต่ดูดชิ้นเนื้อรกส่งตรวจแทน
1.การเจาะน้ำคร่ำ
แพทย์จะเจาะเอาตัวอย่างน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวทารกในครรภ์ไปตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติ เป็นวิธีตรวจที่เสี่ยงเกิดการแท้ง ใช้ตรวจในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 และควรตรวจในอายุครรภ์มากกว่า 15 สัปดาห์ขึ้นไปเเละหญิงตั้งครรภ์อายุมากกว่า35ปี
การพยาบาลหลังจากเจาะน้ำคร่ำ
งดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง24ชม.หลังเจาะน้ำคร่ำ
ถ้าปวดเเผลบริเวณที่เจาะสามารถรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
งดกิจกรรมหนักหรือกิจกรรมที่ต้องออกเเรงมาก
ขึ้นลงบันไดบ่อย
เดินทางไกล24ชม.หลังตรวจ
ยกของหนัก
ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดแผลบริเวณที่เจาะน้ำคร่ำ สามารถอาบน้ำได้ปกติ
อาการผิดปกติเมื่อพบที่ต้องมาพบเเพทย์
ปวดท้องมาก
มีน้ำเดิน
เลือดออกทางช่องคลอด
มีไข้
หลังจากการที่เจาะเเล้วอาจเกิดถุงน้ำคร่ำติดเชื้อหรือรกเกิดการติดเชื้อได้
วิธีการตรวจ
1เริ่มด้วยการตรวจ Ultrasound ตรวจตำแหน่งของทารก การเกาะของรก
2 เตรียมหน้าท้องบริเวณที่เจาะน้ำคร่ำด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ
3ใช้เข็มเจาะหลัง เจาะผ่านหน้าท้อง มดลูก ถุงน้ำคร่ำ และดูดเอาน้ำคร่ำ 15-20 มล. บริเวณตำแหน่งด้าน Small part
4ภายหลังเจาะใช้พลาสเตอร์ปิดบริเวณที่เข็มเจาะและแกะออกเมื่อครบ 24 ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อน
น้ำคร่ำรั่ว และอาจเกิดแท้งบุตรหรือทารกตาย
ทารกบาดเจ็บจากการถูกเข็มเจาะ
คลอดก่อนกำหนด
การติดเชื้อ
การพยาบาลก่อนทำ
เเนะนำได้รับการเตรียมตั้งแต่ล่วงหน้าก่อนเจาะน้ำคร่ำ โดยไม่ต้องงดน้ำงดอาหารเเต่ถ่ายปัสสาวะก่อนเจาะน้ำคร่ำเเละก่อนตรวจควรบอกเหตุผล ความจำเป็นที่ต้องตรวจและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับมารดาและทารกหลังทำ
3 :<3:
Fetal Biophysical Profile (BPP)
ความหมาย
กรประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจวัดการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆของทารกที่ถูกกระตุ้นและควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง (Biophysical activity) 4 ตัวแปร (การหายใจ การเคลื่อนไหว แรงตึงตัวของกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจทารก) ร่วมกับการวัดปริมาณน้ำคร่ำอีก 1 ตัวแปร
การดูเเลรักษา/แปลผลของBPP
คะแนน 6-8 คะแนน แสดงว่า ให้พิจารณาตามปริมาณน้ำคร่ำ ถ้าน้ำคร่ำปกติ มีโอกาสเกิดasphyxia น้อย เเต่ต้องตรวจ BPP ซ่ำใน24ชม. เเต่ถ้าน้ำคร่ำน้อยโอกาสเกิด asphyxiaสูงขึ้น
คะแนน 0-4 คะแนน แสดงว่า ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ควรรีบให้คลอด
คะแนน 8-10 คะแนน แสดงว่า โดยที่ปริมาณน้ำคร่ำปกติ ทารกปกติดีไม่จำเป็นต้องรีบให้คลอด โอกาสเกิด asphyxia ใน 1 สัปดาห์ น้อยกว่า 1 ใน1000 ปกติ เเละควรตรวจซ้ำใน 1 สัปดาห์
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินภาวะขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์
วิธีการให้คะแนน Biophysical Profile
การเกร็งตัว
ปกติ (คะแนน 2)
เห็นแขน ขาหรือลำตัวเหยียดออกและหดเข้าหรือบิดไปมาแล้วคืนสภาพหรือเห็นมือแบออกและกำ
ผิดปกติ (คะแนน 0)
ไม่เห็นทารกเคลื่อนไหวหรือ เคลื่อนไหวตัว แขนขาเหยียดเข้าออก ช้า ๆ และ ไม่เข้ารูปเดิม
การนับอัตรา
FHR
ปกติ (คะแนน 2)
ในเวลา 20 นาที มีการเคลื่อนไหวของ ทารกและมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็ว ขึ้นมากกว่า 15 ครั้งต่อนาที นาน 15 วินาที เห็นอย่างน้อย 2 ครั้ง
ผิดปกติ (คะแนน 0)
ในเวลา 20-40 นาที มีอัตราการเต้นของ หัวใจเร็วขึ้นไม่ถึง 15 ครั้งต่อนาที และ เห็นน้อยกว่า 2 ครั้ง
2.การเคลื่อนไหวของลำตัวและแขนขา
ปกติ (คะแนน 2)
ใน 30 นาทีเห็นหมุนตัวหรือแขนขา เคลื่อนไหวไปมาอย่างน้อย 3 ครั้ง (เคลื่อนไหวไปมาจนหยุดนับเป็น 1 ครั้ง)
ผิดปกติ (คะแนน 0)
ใน 30 นาที เห็นลำตัวหรือแขน ขา เคลื่อนไหว 2 ครั้ง หรือน้อยกว่า
1.การเคลื่อนไหว ที่แสดงถึงการ หายใจ
ปกติ (คะแนน 2)
ใน 30 นาที เห็นการเคลื่อนไหว แสดง การหายใจนาน 30 วินาที อย่างน้อย 1 ครั้ง
ผิดปกติ (คะแนน 0)
ใน 30 นาทีไม่มีการเคลื่อน ไหวหรือมี การเคลื่อนไหวแสดง การหายใจ นานไม่ถึง 30 วินาที
ปริมาณน้ำครํ่า
ปกติ (คะแนน 2)
ในแนวดิ่งเห็นน้ำครํ่าอย่างน้อย 1
ช่อง มีขนาดไม่น้อยกว่า 2 ซม.
ผิดปกติ (คะแนน 0)
ไม่เห็นน้ำครํ่าเลยหรือมีขนาด น้อยกว่า 2 ซม. ในแนวดิ่ง
การพยาบาลขณะทำBPP
เตรียมหญิงตั้งครรภ์ในท่านอนsemi-fowler ตะเเคงซ้ายเล็กน้อย
ใช้ultrasound ตรวจวัดข้อมูล 5 ตัวแปรที่ต้องการการหายใจ การเคลื่อนไหว แรงตึงตัวของกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจทารก ร่วมกับการวัดปริมาณน้ำคร่ำ
กำหนดค่าคะเเนนของเเต่ละข้อมูลข้อละ 2 คะเเนน เมื่อพบว่าปกติใ้ห้ 2 คะเเนน เเละ 0 คะเเนนเมื่อพบว่าผิดปกติ
ความถี่ของการตรวจขึ้นกับภาวะของความเสี่ยง อาจจะสัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้ง หรือบ่อยกว่านั้น จนกระทั่งคลอด
ข้อบ่งชี้
จะตรวจในทารกที่อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์
ตั้งครรภ์แฝด
คนท้องที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด โรค SLE โรคไทรอยด์ โรคไต โรคหัวใจ
อายุครรภ์เกินกำหนดคลอด
เคยมีประวัติทารกเสียชีวิต
ทารกเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ หรือการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ
ปริมาณน้ำคร่ำมากหรือน้อยกว่าปกติ
มีปัญหาเรื่องกลุ่มเลือด Rh
มีปัญหาในการตรวจชนิดอื่น
4 :<3:
อัลตร้าซาวด์(Ultrasound)
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
การอัลตราซาวด์มีประโยชน์ต่อการตรวจครรภ์หลายอย่าง ในระยะแรกอาจใช้
เพื่อคำนวณวันคลอด ดูว่าเป็นลูกแฝดหรือไม่ รวมถึงการตรวจดูการตั้งครรภ์นอกมดลูก ช่วยตรวจปัญหาขณะตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความพิการแต่กำเนิดของทารก ความผิดปกติของรก ทารกไม่กลับหัว เป็นต้น
นอกจากนี้ พ่อแม่หลายคนที่ต้องการรู้ว่าเพศของลูกเป็นหญิงหรือชาย การตรวจอัลตราซาวด์สามารถช่วยบอกได้ ส่วนในภาวะคลอดก่อนกำหนด แพทย์ยังอาจใช้เครื่องมือนี้ช่วยประเมินน้ำหนักตัวของทารกได้ด้วย
ความหมาย
อัลตราซาวด์ (ultrasound) เป็นการตรวจวิเคราะห์โดยการใช้เคลื่อนเสียงความถี่สูง โดยมีหลักการคือ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกจากเครื่องอัลตราซาวด์ ผ่านผนังหน้าท้องเข้าไปภายในช่องท้อง เมื่อคลื่นเสียงไปกระทบอวัยวะที่ทึบหรือมีความหนาแน่นแตกต่างกัน ก็จะสะท้อนกลับมาที่เครื่องอัลตราซาวด์ และแปลงเป็นสัญญาณภาพปรากฎบนจอมอนิเตอร์ ซึ่งสามารถถ่ายเป็นภาพบนแผ่นเอ็กซเรย์เก็บไว้ได้
แปลผลการตรวจอัลตร้าซาวด์ในไตรมาสต่างๆ
ไตรมาสที่ 1
ทำการตรวจอัลตร้าซาวด์ในช่วงอายุ
ครรภ์ 11-13 + 6 สัปดาห์
เป็นการตรวจเพื่อยืนยันอายุครรภ์ โดยการวัดความยาวตั้งแต่ศีรษะถึงกระดูกก้นกบ
ทำให้ทราบกำหนดวันคลอดที่แน่นอนในมารดาที่ประจำเดือนไม่มาและยังสามารถใช้
ตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ โดยการวัดความหนาของต้นคอทารก และกระดูกจมูกของทารก ร่วมกับการตรวจสารชีวเคมีในเลือดมารดา
ทำให้เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยทารกกลุ่มอาการดาวน์ได้อีกด้วย
ไตรมาสที่ 2
ตรวจตั้งแต่
อายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์
เพื่อ
ยืนยันอายุครรภ์ในมารดาที่มาฝากครรภ์ช้า และไม่ได้รับการตรวจตั้งแต่ในไตรมาสแรก
สามารถตรวจอวัยวะต่างๆ สมอง กระดูกสันหลัง หัวใจ ตับ ไต ตรวจดูตำแหน่งรกและปริมาณน้ำคร่ำ
อีกทั้งยังสามารถตรวจการไหลเวียนโลหิตของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกซึ่งเชื่อมต่อมายังทารก ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็นพิษและภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ได้
ไตรมาส 3 ทำในช่วงอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
เพื่อตรวจดูพัฒนาการของทารกในครรภ์ ที่สำคัญ
สามารถตรวจดูอัตราการเจริญเติบโตของทารก โดยปกติภาวะทารกเติบโตช้าจะเกิดในช่วงนี้ ถ้าสามารถให้การวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีก็จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของทารก และยังช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงของทารกหลังคลอดได้อีกด้วย
ความถี่ในการตรวจอัลตราซาวด์
ทำการตรวจทุกครั้งที่ไปตรวจตามกำหนดเวลา หรือทำการตรวจ 2 - 3 ครั้งตามความจำเป็น
ประเภทการตรวจอัลตราซาวด์
ตรวจทางช่องคลอด
ใช้ตรวจครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก เพื่อที่ได้เห็นภาพ ของปากมดลูก มดลูก ถุงน้ำคร่ำ ตัวอ่อน และโครงสร้างลึกๆของอุ้งเชิงกราน
ตรวจทางหน้าท้อง
ใช้ในการตรวจครรภ์ในระยะไตรมาสที่ 2 – 3 เพื่อที่จะได้เห็นภาพของทารกและรกที่ชัดเจนมากขึ้น
วิธีการตรวจ ultrasound
ตรวจทางหน้าท้อง
2.ผู้ตรวจ เคลื่อนไหวหัวตรวจ (Transducer) ไปตามผนังหน้าท้องที่ทาด้วยสารหล่อลื่นใช้เวลาตรวจประมาณ 5-10 นาที
3.จอรับภาพจะแสดงผลให้เห็นในเวลาที่ตรวจ
1.จัดท่าให้มารดานอนหงายราบในกรณีตรวจทางหน้าท้องหรือนอนหงายราบชันเข่าในกรณีตรวจทางช่องคลอด
ตรวจทางช่องคลอด
2.ให้เตรียม position ท่า Lithotomy และถุงยางอนามัยปราศจากเชื้อไว้สำหรับสวม Vaginal probe และหลังจากตรวจเสร็จดูแลให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ด้วย
1.ให้ปัสสาวะทิ้งก่อนการตรวจ
ชนิดของ ultrasound
Advanced Ultrasound เป็น ultrasound ที่ออกแบบพิเศษสำหรับปัญหาที่ซับซ้อน
Doppler Ultrasound เป็น ultrasound ที่ใช้สำหรับวัดการไหลเวียนของเม็ดเลือด
3-D Ultrasound เป็น ultrasound ที่ออกแบมาเพื่อสร้างภาพสามมิติเพื่อการพัฒนาของทารก
4-D or Dynamic 3-D Ultrasound เป็น ultrasound เพื่อดูหน้าและการเคลื่อนไหวของอวัยวะ
Standard Ultrasound เป็น ultrasound มาตราฐานที่ตรวจทางหน้าท้อง
Transvaginal Scans เป็นultrasound ที่ออกแบบสำหรับสอดเข้าช่องคลอดเพื่อตรวจ โดยทั่วไปเหมาะสำหรับการตรวจตอนตั้งครรภ์ในระยะแรก
Fetal Echocardiography เป็น ultrasound เพื่อไว้ตรวจหัวใจเด็ก
การพยาบาล
4.ภายหลังแพทย์ตรวจ เช็ดหน้าท้องที่เปื้อนเจลให้สะอาด และให้หญิงตั้งครรภ์ตะแคงก่อนลุกจากเตียงช้าๆ เพื่อป้องกัน Supine hypotension
3.จัด Position ให้หญิงตั้งครรภ์นอนหงายศีรษะสูงเล็กน้อย หลังมีหมอนรองใต้เข่า และป้ายเจลบริเวณหน้าท้องเพื่อเป็นตัวนำคลื่นเสียงจากTransducer
5.ให้คำอธิบายผลการตรวจ
2.หญิงตั้งครรภ์ระยะไตรมาสที่ 1 แนะนำให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว และกลั้นปัสสาวะไว้จนกว่าจะตรวจเสร็จเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะเต็ม และมองเห็นตำแหน่งของมดลูกส่วนล่างที่ต้องการตรวจชัดเจน
1.อธิบายวัตถุประสงค์ของการตรวจ วิธีการตรวจและการปฏิบัติตนขณะตรวจให้หญิงตั้งครรภ์ และสามีเข้าใจเพื่อคลายความวิตกกังวล
Unsatisfactory
ไม่สามารถอ่านผลของ FHR ได้หรือการหดรัดหัวของ มดลูกไม่พอเพียงคือ น้อยกว่า 3 ครั้งใน 10 นาที
การตรวจวินิจฉัยจะทำหลังจากพบกว่ามีความเสี่ยงของอาการดาวน์ซินโดรมสูงจากการตรวจคัดกรอง :warning: