Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Pregnancy Induced Hypertension/ PIH ความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์…
Pregnancy Induced Hypertension/ PIH ความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์
การวินิจฉัย :pen:
Systolic ≥ 140 mmHg
Diastolic ≥ 90 mmHg
วัดอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกัน 6 ชั่วโมง
แต่ละครั้งต้องวัดหลังจากสตรีตั้งครรภ์ได้พักแล้ว
ประเภท :star:
ความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ (pregnancy induced hypertension)
มีความดันโลหิตสูงครั้งแรกในระยะตั้งครรภ์ (ก่อนตั้งครรภ์ความดันโลหิตปกติ)
เกิดในช่วงหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ไปแล้ว
ระดับความดันโลหิต ลดลงสู่ภาวะปกติภายใน 12 สัปดาห์หลังคลอด
BP ≥ 140/90 mmHg.
ชนิด
GESTATIONAL HYPERTENTION
ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์
ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ หรือ Trace หรือ protein urea < 300 mg.
PREECLAMPSIA
มีความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะ (protein urea)
แบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับ ตามอาการและอาการแสดง
Mild preeclampsia
BP ≥ 140/90 mmHg.
protein urea ≥ 300 mg./ ปัสสาวะ 24 hr. หรือ dipstick 1+
การรักษา
Admit โรงพยาบาล ประมาณ 1-2 วัน
ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น นํ้าหนัก ความดันโลหิต protein urea, serum creatinin, Hct, platelet, liver function test (ALT, AST)
ultrasound เพื่อดู ขนาดทารก ปริมาณนํ้าครํ่า
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ NST
ประคับประคองจนกว่าจะตั้งครรภ์ครบกำหนด ยกเว้น severe preeclampsia หรือ fetal distress
การพยาบาล
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องอยู่โรงพยาบาล
bed rest ให้ได้มากที่สุด
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ตรวจ protein urea อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
วัดความดันโลหิต ทุก 4 ชั่วโมง ยกเว้นหลังเที่ยงคืน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนการนอนหลับ
ส่งเลือดและปัสสาวะ 24 ชั่วโมง โดยอธิบายเหตุที่ต้องเจาะเลือด และแนะนำวิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อรับการตรวจต่างๆ เช่น ultrasound/NST และแนะนำสตรีตั้งครรภ์ให้นับจำนวนครั้งการดิ้นของทารกในครรภ์
ถ้ามีอาการปวดศีรษะ หน้ามืด ตาพร่ามัว ให้งดการให้ breast feeding
Severe preeclampsia
BP ≥ 160/110 mmHg.
protein urea ≥ 2 g./ ปัสสาวะ 24 hr.
มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือร่วมกันทั้งหมด ดังนี้ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ จุกแน่นลิ้นปี่ ปัสสาวะออกน้อย (< 25 mL./hr.)
serum creatinin > 1.2 g/dL.
เอนไซม์ของตับเพิ่มขึ้น (ALT, AST)
มีภาวะปอดบวมนํ้า (pulmonary edema)
urine dipstick 2+
การรักษา
ป้องกันภาวะชัก
การพิจารณาการคลอด
< 23 weeks = terminate
23 – 32 weeks = corticosteroid
33 – 34 weeks = corticosteroid 48 hr จึงให้คลอด
34 weeks = MgSO4 จนควบคุมความดัน โลหิตได้ ให้คลอดได้
ควบคุมความสมดุลของน้ำและ electrolyte ประเมินการทำงานของไต ตับ ความข้นของเลือดและเกร็ดเลือด
ให้ยาป้องกันชัก MgSO4
การให้ยาครั้งแรก (Loading dose) ใช้ 10 % MgSO4 ขนาด 5 กรัม ฉีดเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ นาน 5-10 นาที
การให้ยาเพื่อควบคุมการชักต่อไป (Maintenance Dose)
2 more items...
ในขณะฉีด MgSO4 ควรมียา 10% Calcium gluconate ไว้ข้างเตียงเสมอ โดยถ้าพบว่า หญิงตั้งครรภ์ หยุดหายใจ ให้ฉีด 10% Calcium gluconate 10 มิลลิลิตรเข้าหลอดเลือดเลือดดำโดยฉีดช้าๆ ประมาณ 3 – 5 นาที
ระดับ MGSO4
3 more items...
การให้ Hydralazine
เพื่อช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของไตให้ดีขึ้น จะใช้กรณีที่ความดันโลหิต Diastolic blood pressure มากกว่า 160/110 มิลลิเมตรปรอท
หลังฉีด ควรวัดความ ดันโลหิตทุก 5 –15 นาที ควบคุมให้ความดันโลหิต Diastolic blood pressure อยู่ระหว่าง 90 – 100 มิลลิเมตรปรอท
การพยาบาล
จัดให้นอนพักในห้องที่สงบ ไม่พลุกพล่าน ควรนอนตะแคงซ้ายเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ดีขึ้น
เตรียม MgSO4 และ Calcium gluconate ให้พร้อม
ก่อนให้ MgSO4 อธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องให้ยา อาการร้อนทั่วร่างกายขณะแพทย์ให้ยา
ขณะแพทย์ฉีด MgSO4 (loading dose) วัดความดันโลหิต ทุก 5 นาที หาก diastolic ตํ่ากว่า 90 mmHg.ต้องรายงานแพทย์ เพราะอาจเกิด fetal distress
ขณะหยด MgSO4 ทางหลอดเลือดดำ ให้เฝ้าระวังสิ่งต่อไปนี้ ทุก 1 ชั่วโมง
record urine ต้องออกไม่น้อยกว่า 25 ml/hr.
Diastolic > 90 mmHg.
อัตราหายใจ > 14 ครั้ง/นาที
Deep tendon reflex ไม่น้อยกว่า 1+ (Biceps reflex, Triceps reflex, Brachioradialis reflex, Achilles reflex, Patellar reflex)
รายที่ได้รับ Hydralazine ในขณะแพทย์ฉีดยา พยาบาลต้องวัดความดัน ทุก 5 นาที และสังเกตอาการข้างเคียง เช่น ใจสั่น ปวดศีรษะ อาเจียน
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยติด Doppler auscultation เพื่อประเมินการเต้นหัวใจของทารก
เตรียม O2 ให้พร้อม
ประเมินการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น placenta abruption (ปวดมดลูก, vital signs, fetal heart sound)
ดูแลสภาพจิตใจ โดยอยู่ใกล้ชิด ให้ความช่วยเหลือ ลดความไม่สุขสบายต่างๆ สร้างความอบอุ่นใจ
ประเมินอาการเตือน ที่จะเกิดอาการชัก เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
เตรียมคลอด เมื่อควบคุมความรุนแรงของโรคได้ตามความเหมาะสม
Eeclampsia
ชัก หรือ เกร็ง โดยไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น
เกิดได้ใน ระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด หรือ หลังคลอด
การรักษา
แก้ไขภาวะชัก
รักษาทางเดินหายให้โล่ง ด้วยการใส่ oral air way ป้องกันการกัดลิ้น
Suction clear air way
ป้องกันการชักซ้ำ ฉีด 10% MgSO4 5 g.
ให้ O2
NPO
ยุติการตั้งครรภ์ภายหลังควบคุมอาการชักได้แล้ว 1-2 ชั่วโมง
ขับถ่ายปัสสาวะจะมากขึ้นภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
โปรตีนในปัสสาวะ และอาการบวมมักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
ความดันโลหิตมักจะกลับสู่ปกติภายใน 2 สัปดาห์
การชักอาจเกิดขึ้นได้อีกในช่วง 48 ชั่วโมงหลังคลอด และอาจดำเนินต่อไปถึง 12 สัปดาห์หลังคลอด หลังจากนี้ความดันโลหิตต้องกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หากยังสูงอยู่ถือว่าเป็น chronic hypertension
การพยาบาล
ให้ความช่วยเหลือโดยใช้อุปกรณ์กดลิ้นเพื่อมิให้สตรีตั้งครรภ์กัดลิ้น หรือกันมิให้ลิ้นไปอุดทางเดินหายใจ พร้อมทั้ง ช่วยแพทย์ในการดูดเสมหะ และให้ออกซิเจน
จัดให้สตรีตั้งครรภ์นอนตะแคงซ้ายเพื่อมิให้สำลักน้ำลาย
เตรียม 10% MgSO4 เพื่อฉีดให้กล้ามเนื้อคลายตัวและป้องกันการชักซ้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
ให้การดูแลสตรีตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากในระยะหลังชักสตรีตั้งครรภ์จะอยู่ในภาวะ semi-coma ระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 1-4 ชั่วโมง
ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด เพราะทารกอาจขาดออกซิเจนได้ขณะที่มารดาชัก และขณะเดียวกันก็อาจเกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก เพราะ อาการเจ็บครรภ์มากอาจกระตุ้นให้เกิดการชักซ้ำได้อีก
เตรียมพร้อมเพื่อช่วยในการคลอดภายหลังควบคุมอาการชักได้แล้ว
ควรระวังการตกเลือดภายหลังคลอดโดยเฉพาะในรายที่มี placental abruption หรือผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ
ในระยะหลังคลอดยังคงต้องให้มารดาพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในรายที่ความดันโลหิตยังสูงอยู่ การจำกัดผู้ที่มาเยี่ยมเป็นสิ่งจำเป็น
หากมารดาอยู่ในภาวะรู้สึกตัวดี ควรให้มารดาได้พบทารกบ้าง และพยาบาลควรอยู่กับมารดาและทารกด้วย ไม่ควรปล่อยให้มารดาและทารกอยู่กันตามลำพัง เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้
เมื่อความดันโลหิตลดลง จึงให้การแนะนำในการดูแลตนเองและบุตร
ความดันโลหิตสูงชนิดเรื้อรัง (chronic hypertension)
ภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดก่อนตั้งครรภ์ หรือ เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์แต่อายุครรภ์น้อยกว่า 20 สัปดาห์
ภาวะความดันโลหิตสูงดำเนินต่อไปเกิน 12 สัปดาห์หลังคลอด
มักนำไปสู่ Superimpose preeclampsia (มีความดันโลหิตสูงชนิดเรื้อรังมาก่อนแล้ว มี protein urea ≥ 300 mg./ ปัสสาวะ 24 hr. หรือ dipstick 1+ )
สาเหตุ
TWO – STAGE DISORDER
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ (preclical stage)
เซลล์ของรก (trophoblasts) ไม่สามารถฝังตัวหรือฝังตัวไม่ดี ในเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) ทำให้หลอดเลือดของรก ไม่สามารถเชื่อมต่อกับหลอดเลือดของมดลูก (spiral artery)
หลอดเลือดของมดลูก (spiral artery) อาจมีลักษณะตีบกว่าปกติและไม่สามารถแตกแขนง (angiogenesis) เข้าสู่รกได้
ระยะนี้ไม่แสดงอาการผิดปกติ
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ (clinical stage)
sFlT – 1 (soluble fms – like tyrosin kinase - 1) คือ สารชนิดยับยั้งการสร้างหลอดเลือดในรก (สูง)
FlT – 1 (fms – like tyrosin kinase - 1) คือ สารที่ส่งเสริมการสร้างหลอดเลือด ในรก
vascular endothelial growth factor (VEGF) คือ สารที่ส่งเสริมการสร้างผนังหลอดเลือด อยู่ในกระแสเลือด
placental growth factor (PlGF) คือ สารที่ส่งเสริมการสร้างหลอดเลือดในรก (ตํ่า)
จากผลของความไม่สมดุลของสารที่ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดและสารที่ส่งเสริมการสร้างหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดของรก ไม่สามารถเชื่อมต่อกับหลอดเลือดของมดลูก และ รกขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง (placenta oxidative) ทำให้ ผนังหลอดเลือดเสื่อมลงและมีการหดรัดตัวของหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ :fire:
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจาก มีนํ้ารั่วออกนอกเส้นเลือด (capillary leak) ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี เลือดไหลเวียนเข้าสู่รกลดลง เกิดเนื้อตายของรก ทำให้ทารกเจริญเติบโตช้าหรือเสียชีวิตในครรภ์
การแข็งตัวของเลือด
จากเซลล์บุผนังหลอดเลือดเสื่อมลง กระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือด (coagulation system) และเกิดลิ่มเลือดกระจายทั่วร่างกาย ภาวะเช่นนี้ทำให้เกร็ดเลือดและสารที่ช่วยในการแข็งเลือดตํ่ามาก ทำให้เกิดภาวะ DIC (disseminated intravascular coagulopathy)
สมอง
เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว และชักในที่สุด
ตับ
ในรายที่รุนแรง เลือดจะไปเลี้ยงตับได้ไม่ดี และภาวะเกร็ดเลือดตํ่า(<100,000/ cm3) ทำให้เกิด hemorrhagic necrosis ได้ ระดับเอนไซม์ตับจะเพิ่มขึ้น ในรายที่มีภาวะ severe preeclampsia หรือ eclampsia
อาจเกิด HELLP syndrome
เม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis)
เอนไซม์ตับสูงขึ้นมาก (elevated liver enzyme)
เกร็ดเลือดลดตํ่าลง (low platelet)
อาการเตือน
คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นลิ้นปี่ กดเจ็บบริเวณชายโครงขวา
เกร็ดเลือด < 100,000 mm3
SGOT > 36 U/L
AST > 72 IU/L
LDH > 600 IU/L
Bilirubin > 20 micro mol/L
ไต
เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง ประสิทธิภาพการกรองของไตลดลง โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์ :!:
ทารกในครรภ์เจริญเติบช้า (IUGR)
ทารกขาด O2 ทั้งในระยะตั้งครรภ์และระยะคลอด
เกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placenta abruption)
คลอดก่อนกำหนด และเสี่ยงที่จะได้รับการกู้ชีพ
ปัจจัยเสี่ยง :explode:
ครรภ์แรกหรือตั้งครรภ์แรกกับคู่สมรสใหม่
ตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
ระยะห่างของการตั้งครรภ์ห่างจากครรภ์ก่อนมากกว่า 10 ปี
สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ครั้งก่อน
สตรีตั้งครรภ์ที่มีญาติพี่น้องสายตรงมีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวก่อนการตั้งครรภ์ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไต ไตเรื้อรัง ลูปัส/SLE
สตรีตั้งครรภ์แฝด
อาการ :warning:
ปวดหัวตลอดเวลา
ความดันโลหิตสูง
เกล็ดเลือดต่ำ
การทำงานของตับผิดปกติ
มีโปรตีนในปัสสาวะ
ปัสสาวะออกลดลง
หน้าหรือมือบวม
มองเห็นเป็นจุดดำๆและมองภาพเปลี่ยนแปลงไป
ปวดบริเวณลิ้นปี่
คลื่นไส้และอาเจียนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว
หายใจลำบาก