Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Antenatal Care (ข้อมูลทั่วไป :star: (LAB (Urine Protien/Sugar :…

- - - - เป็นการตั้งครรภ์ในสตรีที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 35 ปี
      - ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
        
        ภาวะเบาหวานร่วมกับการตั้งครรภ์
        
        ภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์
        
        การตั้งครรภ์นอกมดลูก การแท้ง
        
        รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด
        
        หลอดเลือดดำขอดพอง ริดสีดวงทวาร การอักเสบของหลอดเลือดดำ
        
        ระยะการคลอดยาวนาน เสี่ยงต่อการใช้สูติศาสตร์หัตถการในการช่วยคลอด
        
        ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด ภาวะน้ำคร่ำน้อย
        
        ความผิดปกติของรกการตกเลือดในระยะหลังคลอด
      - ผลกระทบต่อทารก
        
        ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือเกินกำหนด
        
        ความพิการแต่กำเนิดของทารกโดยเฉพาะ down's syndrome ซึ่งอัตราเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติทางโครโมโซมจะเพิ่มตามอายุของสตรีมีครรภ์
        
        ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
        
        ทารกตัวโตและคลอดไหล่ยาก
        
        อัตราทุพพลภาพและอัตราตายปริกำเนิดสูงขึ้น
      - การตรวจคัดกรองทารกที่มีความผิดปกติ
        
        การเจาะน้ำคร่ำและนำเซลล์ที่เจาะได้จากน้ำคร่ำมาตรวจทางพันธุกรรม
        
        เจาะเลือดจากแม่ โดยหลักการจะเป็นการหาเซลล์ของทารกที่หลุดออกมาและผ่านตัวรกเข้าสู่กระแสเลือดของแม่
        
        triple screening หรือ Quadruple screening เป็นการหาสารชีวเคมีในร่างกายเมียบกับค่าของหญิงตั้งครรภ์ปกติ ผลที่ได้จะมีความแม่นยำประมาณ 70 - 80 %
      - การดูแล
        
        ไตรมาส 1 และไตรมาส 2
        
        สตรีตั้งครรภ์ควรรับทราบความเสี่ยงของการเกิดทารกมีความผิดปกติของโครโมโซม
        
        Invasive methods - เจาะน้ำคร่ำ/เจาะชิ้นเนื้อรก
        
        Non - Invasive methods - เจาะเลือดมารดาเพื่อหาระดับฮอร์โมน และตรวจหาเซลล์จากทารก
        
        ไตรมาส 3
        
        ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ - ช่วงอายุครรภ์ 38-39 wks เพื่อประเมินน้ำคร่ำ ควรทำ antepartum testing อาทิตย์ละ 2 ครั้งสลับกับ NST/BPP พร้อมกับนับลูกดิ้น
  - - - คำแนะนำ
        
        ให้หญิงตั้งครรภ์ระบายความรู้สึกที่มีอยู่ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์สบายใจขึ้น
        
        ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเครียดที่จะส่งผลกระทบ
        ต่อมารดาและทารก และตระหนักในการดูแลตนเองและทารกในครรภ์มากขึ้น
        
        3.แนะนำการใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียดหรือจัดการกับความเครียด โดยควรแนะนำหญิงตั้งครรภ์ ให้เลือกวิธีการผ่อนคลายความเครียดวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น
        
        การฝึกการหายใจหรือการทำโยคะ ช่วยให้ร่างกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อ
        
        การนวดคลายเครียดจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
        
        การทำสมาธิ เป็นการจัดการกับความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด เพราะจะทำให้จิตใจสงบ โดยใช้วิธีการนับลมหายใจ
        
        4.ให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์และสนับสนุนการตัดสินใจ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์สามารถตัดสินใจ ทบทวนเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด และจัดการกับความเครียดในแนวทางที่เหมาะสมแก่ตนเอง
        
        การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง
    - - คำแนะนำ
        
        รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่มากขึ้นกว่าเดิม
        
        กินอาหารที่สะอาด ไม่กินอาหารรสจัด ไม่หวานเกินไป และอาหารหมักดอง
        
        งดการดื่มสุรา ชา กาแฟ และงดสูบบุหรี่
        
        ชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์ โดยหญิงตั้งครรภ์จะต้องมีน้ำหนักเพิ่ม 0.3 kg/wks และน้ำหนักตลอดการตั้งครรภ์ 7-11.5 kg
        
        ข้าว สลับอาหารแป้ง เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน
        
        นม ไข่ เนื้อสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ถั่วเมล็ดแห้ง
        
        ผักทุกชนิด โดยเฉพาะผักใบเขียว
        
        ผลไม้ตามฤดูกาล
    - - คำแนะนำ
        
        แนะนำให้พาสามีมาตรวจเลือดเพื่อหาหมู่เลือด Rh
        
        ส่งแพทย์ทันทีที่ทราบผลเลือดหรือก่อนอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ เพื่อวางแผนรับยา Rh-immunoglobulin ตามแผนการรักษาของแพทย์
- - - - การตรวจหาการปนเปื้อนของเลือดทารกในมารดา
        
        เพื่อประเมินโอกาสที่มารดาจะถูกกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี จึงมีการตรวจ rosette test หากให้ผลบวก แปลได้ว่า มีภาวะ feto-maternal hemorrhage ขึ้น ควรจะทำการตรวจหาปริมาณ เลือดทารกที่ปนเปื้อนนั้นต่อด้วยวิธี Kleihauer-Betke (acid/ elution) test หรือ flow cytometry ใช้สำหรับการประเมินขนาด ยา RhIG ที่จะฉีดให้ในกรณีมารดา Rh(D) ลบ กำลังตั้งครรภ์ ทารก Rh(D) บวกอยู่ เพื่อป้องกันการสร้าง anti-D
      - Antibody screening และ antibody identification
        
        ควรตรวจในการฝากครรภ์ครั้งแรกหรือช่วงอายุครรภ์ 10-16 สัปดาห์ หากให้ผลเป็นบวกจะต้องทดสอบต่อเพื่อระบุชนิดของ แอนติบอดีนั้นและพิจารณาว่ามีความสำคัญต่อภาวะเม็ดเลือดแดง แตกในทารกหรือไม่ ถ้าไม่พบแอนติบอดีควรตรวจอย่างน้อยอีก 1 ครั้งที่อายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
      - Antibody titer
        
        หากแอนติบอดีที่พบมีความสำคัญต่อภาวะเม็ดเลือดแดง แตกในทารกควรทำการตรวจหาความแรงของแอนติบอดีนั้น เช่น anti-D, anti-c, anti-K แล้วรายงานเป็น titer หากความแรงเกิน กว่าค่าวิกฤติ จะต้องส่งมารดาให้แพทย์เฉพาะทางประเมินทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด
      - การอัลตร้าซาวด์ (ultrasonography)
        
        สามารถวินิจฉัยทารกที่มีภาวะบวมน้ำได้ดี โดยการตรวจ หาน้ำในช่องท้อง ช่องเยื่อหุ้มปอด ช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ผิวหนังชั้น subcutaneous และภาวะ polyhydramnios
      - การตรวจ middle cerebral artery Doppler
        
        เป็นการวัดการไหลเวียนของเลือดในสมองของทารก ในรายที่มีปัญหา uteroplacental insufficiency ถึงแม้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายจะลดลง แต่การไหลเวียนที่ไปยังสมองจะเพิ่มขึ้นตรงข้ามกันกับ umbilical artery เป็นผลของ brain sparing effect ที่เลือดพยายามไหลเวียนไปยังอวัยวะที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต จึงทำให้การไหลเวียนที่สมอง หัวใจ ต่อมหมวกไต ต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้น
    - - หากสามารถนำเลือดบิดามาตรวจ red cell phenotype เพื่อหาหมู่เลือดที่ตรงกับแอนติบอดีของ มารดาได้ จะมีประโยชน์อย่างมากในการทำนายโอกาสของทารก ที่จะได้รับถ่ายทอดหมู่เลือดของบิดาไป ซึ่งอาจตรงกับแอนติบอดี ของมารดาแล้วทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได้
    - - Fetal genotyping
        
        ตรวจหาหมู่เลือดจากสิ่งส่ง ตรวจที่มาจากการเจาะน้ำคร่ำ (amniocentesis) หรือจากการเจาะ ตรวจรก (chorionic villus sampling) แล้วนำไปทำ PCR (polymerase chain reaction) เพื่อหาหมู่เลือด
      - DAT (direct antiglobulin test)
        
        การตรวจหาแอนติบอดีต่อเม็ดเลือดแดงชนิด IgG ที่อยู่ บนผิวเม็ดเลือดแดงของทารก โดยใช้น้ำยา anti-human globulin มาทดสอบ หากให้ผลบวกแสดงว่าเม็ดเลือดแดงของทารกถูก sensitized ด้วยแอนติบอดี้
      - Elution test
        
        สามารถตรวจหาแอนติบอดีที่เกาะอยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงทารกได้ โดยการทำให้เม็ดเลือดแดงแตกด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ปล่อยแอนติบอดี ที่เกาะอยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ เช่น freezethaw, heat, acid elution เพื่อนำ eluate ที่ได้ไปทดสอบต่อ เพื่อระบุชนิดของแอนติบอดีที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะดังกล่าว
  - - - รักษาด้วยการให้เลือดในทารกเพื่อทดแทนเม็ดเลือดแดง ที่ถูกทำลายไปและยับยั้ง erythropoiesis ของทารกเอง โดยการ ใช้เข็มเจาะผ่าน umbilical vein อาศัย color Doppler ultrasound นำทาง
    - - ทารกหลังคลอดที่มีอาการตัวเหลืองจากภาวะเม็ดเลือดแดง แตก หากพบค่าบิลิรูบินสูงเกินกว่าค่าที่ยอมรับได้ในแต่ละช่วงอายุ แล้ว สามารถรักษาด้วยการส่องไฟเป็นอันดับแรกซึ่งมีประสิทธิภาพ ดีมากในปัจจุบัน
    - - การให้ IVIG ในกรณีทารกที่มีอาการตัวเหลืองจากภาวะเม็ด เลือดแดงแตกนั้น เหมาะสำหรับสาเหตุจากหมู่เลือด Rh(D) ซึ่ง จะสามารถลดความจำเป็นที่ต้องถ่ายเลือดในทารกลงได้
    - - เพื่อป้องกันทารกจากภาวะ kernicterus ใน กรณีทารกไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการส่องไฟและการให้ IVIG นั้น
- - - - เป็นฮอร์โมนในกลุ่มสเตียรอยด์สร้างและหลั่งจากต่อมหมวกไต
      - คอร์ติซอลจะกระตุ้นให้เกิดความหิว
        
        แม่ท้องเครียดทำให้น้ำหนักขึ้น
      - ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
        
        แม่ท้องเครียดทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และเสี่ยงเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - เพิ่มอัตราการสูบฉีดเลือดและเพิ่มความดันโลหิตในร่างกาย
        
        ภาวะความดันสูงระหว่างตั้งครรภ์
      - Catecholamine
        
        กลุ่มฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต ซึ่งอยู่บริเวณส่วนบนของไต โดยมีโดพามีน (Dopamine) เอพิเนฟริน (Epinephrine) หรืออะดรีนาลีน (Adrenaline) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine)
        
        หลั่งมาก
        
        เลือดไปเลี้ยงมดลูกลดลง
        
        กระตุ้น
        
        Prostaglandin
        
        กระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว
        
        1 more item...