Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ANC (พยาธิสภาพของโรคGDM (อาการ (1.ไตรมาสที่1 อยากรับประทานอาหารลดลง…

- - - - แนะนำหญิงตั้งครรภ์ในการปฏิยัติตัวดังนี้
        1.ควบคุมอาหารให้ได้รับแคลอรี่วันละ30-35กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนักตัว1 กิโลกรัม
        ให้ได้แคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรต 40-50% โปรตีน 20-25% ไขมัน 20-30%
        2.ควบคุมน้ำหนักตัวโดยการออกกำลังกาย
        -ออกกำลังกายระยะเวลาสั้น สม่ำเสมอ วันละ3-4ครั้ง ครั้งละ5-10นาที
        -ไม่ควรออกกำลังกายเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เหนื่อยมากหายใจไม่สะดวก ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยผิดปกติ
        3.การแบ่งอาหารตามหมวดหมู่
        -นมให้ทานนมที่มีโปรตีนสูง แคลเซียมมาก นมชนิดพร่องมันเนย
        -ผักให้ทานที่มีวิตามิน เกลือแร่ เส้นใยอาหารสูง คาร์โบไฮเดรต พลังงานต่ำ
        -ผลไม้ เช่น กล้วยน้ำว้า1ผล แคนตาลูป 1ผล แตงโม10ชิ้น เป็นต้น ระวังผลไม้รสหวานจัด ผลไม้เชื่อม แช่อิ่ม ทุเรียน ลำไย ขนุน องุ่น มะม่วงสุก
        -ควรงดอาหารที่มีน้ำตาลสูงเพื่อจำกัดจำนวนน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
        4.ควรจัดแบ่งมื้ออาหาร เวลาที่รับประทาน ปริมาณและส่วนประกอบของอาหารแต่ละมื้อ หลายๆมื้อโดยลดจำนวนอาหารแต่ละมื้อโดยลดจำนวนอาหารแต่ละมื้อลง เช่น รับประทานอาหาร 6 มื้อ เช้า เที่ยง เย็น โดยมีอาหารว่าง สาย บ่าย ก่อนนอน
        5.เน้นให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด เพื่อตรวจประเมินอาการได้อย่างเหมาะสม คือตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์-28wks ตรวจทุก4สัปดาห์ 29-31 wks ตรวจทุก 2 wks และ 32wks ตรวจทุกสัปดาห์
        6.แนะนำภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ปัสสาวะแสบขัด ถ้ามีอาการผิดปกติควรมารับการตรวจทันที
        7.การรักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธ์ุ เพราะขณะตั้งครรภ์ผิวหนังแห้งเกิดแผลง่าย มีตกขาวมาก ปัสสาวะบ่อย ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาจากปัสสาวะเป็นอาหารอย่างดีทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้
        8.แนะนำให้นับการนับลูกดิ้นของทารกในครรภ์ โดยการนับการดิ้นของทารกในครรภ์ หลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ นั่งพักและนับการดิ้นของทารก 1 ชม. ในแต่ละมื้อต้องได้3ครั้ง ใน1วันต้องได้ 10 ครั้งขึ้นไป
        9.น้ำหนักที่เพิ่มตลอดการตั้งครรภ์ทั้งหมดคือ7-11.5กิโลกรัม
  - - - ความหมาย
        ภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ คือภาวะที่มี Hbน้อยกว่าปกติ ทำให้ความสามารถในการนำออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกายลดลง ใช้เกณฑ์ 10.5หรือ11 g/dL ส่วน Hct น้อยกว่าร้อยละ33
        เป็นภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้การขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ของเนื้อเยื่อในร่างกายลดลง ทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ มีการเผาผลาญสารอาหารในเซลล์แบบไม่ใช้ออกซิเจน ทำให้พลังงานน้อย ส่วนจากความเข้มข้นในเลือดต่ำ ทำให้ร่างกายมีการปรับตัวเพื่อนำออกซิเจนไปเนื้อเยื่อมากขึ้น ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้นอาจเกิดหัวใจล้มเหลวได้
        อาการและอาการแสดง
        1.เยื่อบุตา เล็บ เยื่อบุช่องปาก ซีดมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
        2.อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ใจสั่น หายใจไม่สะดวก ชีพจรเร็ว
        3.ปวดหัว ตาพร่า เป็นลม
        4.เบื่ออาหาร แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาหารไม่ย่อย
        5.ไตเสื่อมหน้าที่ บวม พบโปรตีนในปัสสาวะ
        6.แสบลิ้น มีแผลที่มุม
        สาเหตุ
        1.ขาดธาตุเหล็ก กรดโฟลิค วิตามินบี12 ทำให้มีความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง
        2.การเสียเลือดแบบเฉียบพลัน เกิดจากการได้รับการได้รับการบาดเจ็บ
        3.มีความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง
    - - 1.ประเมินสาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจาง จากการซักประวัติครอบครัว ประวัติโรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม ประวัติการเสียเลือด ประวัติการรับประทานอาหาร จากการตรวจร่างกายเพื่อพบเยื่อบุตาซีด และจากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        2.ส่งเสริมการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าให้ครบ5หมู่ เน้นอาหารจำพวกเนื้อปลา ไข่ ไก่ ผักใบเขียว ผลไม้ นม อาหารที่มีธาตุและกรดโฟลิคสูง เพื่อช่วยในการสร่างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น เพิ่มการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
        3.แนะนำอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง มี2กลุ่มคือ
        -ธาตุเหล็กในรูปของฮีม พบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดง ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลา เป็ด ไก่ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู เครื่องใน ไข่
        -ในรูปไม่ใช่ฮีม พบพืชผักต่างๆโดยเฉพาะผักใบเขียวเข้ม ได้แก่ ผักกูด ดอกโสน โหระพา มะเขือพวง ผักกะเฉด ธัญพืช ได้แก่ ข้าว ถั่วเมล็ดแห้ง
        การทานอาหารที่มีธาตุเหล็กที่จะดูดซึมได้ดีควรทานคู่กับอาหารที่มีวิตามินซี เช่น อาหารรสเปรี้ยว ส้ม สัปรส เป็นต้น แต่ไม่ควรกินคู่กับแคลเซียม ชา กาแฟ
        4แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดการใช้ออกซิเจนและลดการทำงานหนักของหัวใจ ประคับประคองให้การตั้งครรภ์ครบกำหนดมากที่สุด
        5.แนะนำการออกกำลังกายพอสมควร
        6.ดูแลความสะอาดของร่างกาย เพื่อป้องกันและลดการติดเชื้อ
        7.แนะนำให้นับการนับลูกดิ้นของทารกในครรภ์ โดยการนับการดิ้นของทารกในครรภ์ หลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ นั่งพักและนับการดิ้นของทารก 1 ชม. ในแต่ละมื้อต้องได้3ครั้ง ใน1วันต้องได้ 10 ครั้งขึ้นไป
        8.แนะนำภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ปัสสาวะแสบขัด ถ้ามีอาการผิดปกติควรมารับการตรวจทันที
  - - - การฝากครรภ์ที่ดีมีคุณภาพควรฝากครรภ์ก่อน 12 สัปดาห์
        การฝากครรภ์ครั้งแรกก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ มีความสาคัญเพราะเป็นการค้นหาภาวะเสี่ยงด้านมารดาที่ส่งผลต่อทารกในครรภ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การฝากครรภ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดแก่ทารกในครรภ์ ทำให้มารดาและทารกมีสุขภาพแข็งแรง จึงควรพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์
        -ไอโอดีนมีผลต่อพัฒนาการทางด้านสมองของทารกในครรภ์
        ช่วงชีวิตที่กาลังมีการพัฒนาของสมองเป็นช่วงที่วิกฤติที่สุด คือเมื่อตัวอ่อนอายุ 8 สัปดาห์จนถึงช่วงอายุ 3 ปี หลังคลอดการพัฒนาและเจริญเติบโตของสมองของตัวอ่อนในครรภ์และทารกแรกเกิด จำเป็นต้องรับไทรอยด์ฮอร์โมนที่เพียงพอจากมารดา ไอโอดีนที่แม่ได้รับจากอาหาร จะถูกนำไปสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน และไทรอยด์ฮอร์โมนจากแม่จะถูกส่งไปยังตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์ โดยผ่านทาง placenta
        
        -“ทารกพิการแต่กำเนิด” เพราะแม่ท้องขาด “โฟเลต”
        เป็นสารอาหารที่สำคัญในการสร้างเซลล์ต้นกำเนิดของทารก นับตั้งแต่ช่วงเริ่มปฏิสนธิจนกลายเป็นตัวอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 28 วันแรก หลังจากปฏิสนธิ ที่เป็นช่วงของการสร้างระบบประสาท ทั้งสมองและกระดูกสันหลัง รวมถึงระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การรับประทานโฟเลตที่ถูกต้อง จะต้องรับประทานอย่างน้อย 1 ถึง 2 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ จึงจะสามารถป้องกันการพิการแต่กำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และควรรับประทานโฟเลต ขนาด 400 ไมโครกรัม หรือวันละ 1 เม็ด ต่อเนื่องกันเพื่อให้มีระดับโฟเลตภายในร่างกายอยู่ในระดับที่พอเหมาะต่อการเติบโตของตัวอ่อน รวมถึงรับประทานต่อเนื่องไปถึงช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
        ความพิการแต่กำเนิดมีทั้งแบบที่ป้องกันได้และป้องกันไม่ได้ทั้งนี้การป้องกันความพิการแต่กำหนดควรทำตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ หรือทำโดยเร็วที่สุดเมื่อตั้งครรภ์ ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ความพิการที่สามารถป้องกันได้
        -การตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย
        -การตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ ซินโดรม (Down Syndrome) ในกรณีที่มีภาวะเสี่ยง
        -การตรวจคัดกรองหาภาวะการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ เช่น Asymptomatic bacterial vaginosis , Asymptomatic bacteriuria,เชื้อ HIV, โรคซิฟิลิส
        -การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์
        -เน้นให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด เพื่อตรวจประเมินอาการได้อย่างเหมาะสม คือตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์-28wks ตรวจทุก4สัปดาห์ 29-31 wks ตรวจทุก 2 wks และ 32wks ตรวจทุกสัปดาห์
  - - - -คุมน้ำหนักตัวให้ขึ้นตามเกณฑ์ที่แพทย์กำหนดไว้
        -เลือกที่นอนที่ไม่อ่อนยวบจนเกินไป โดยเฉพาะที่นอนที่ยุบไปตามน้ำหนักตัว จะทำให้คุณแม่ปวดหลังมากยิ่งขึ้น
        -เปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง โดยงอเข่าและวางขาลงบนหมอนข้างที่มีความแข็งและหนา พอให้ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนหมอนข้างกำลังพอดี ช่วยให้น้ำหนักตัวและครรภ์ถูกถ่ายลงไปยังหมอนข้าง ลดภาระการทำงานของกล้ามเนื้อหลังได้มากขึ้น
        -คุณแม่ตั้งครรภ์ควรใส่รองเท้าที่มีส้นไม่เกิน 1 – 2 นิ้ว เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในช่วงกลางลำตัวและมีความสมดุล
        -ไม่ควรยกของหนัก
        -หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ
        -ฝึกท่านั่งให้ถูกต้อง หลังตรง เอน พิงพนักเก้าอี้เล็กน้อยและควรมีเก้าอี้เตี้ยๆ รองรับเท้า ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังและเบาะนั่งที่ไม่นุ่มเกินไป และไม่ควรนั่งไขว่ห้าง รวมถึงไม่ควรนั่งนาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
        -
    - - -น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นและการถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน หลังต้องแบกรับน้ำหนักตัวมากขึ้นจนทำให้คุณแม่มีอาการปวดหลัง
        -ฮอร์โมนเปลี่ยน ฮอร์โมนรีแลกซิน (Relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ ขณะตั้งครรภ์ ช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกราน ให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้ รวมถึงเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไป
        -กล้ามเนื้อส่วนกลางของลำตัวแยกตัว เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ทารกมีการเจริญเติบโต มดลูกขยายใหญ่ขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อตรงส่วนกลางของลำตัวเกิดการแยกตัว
        -การแอ่นตัวรวมถึงการนั่งหรือก้มหยิบสิ่งของไม่ถูกวิธี