ANC
ข้อมูลทั่วไป
หญิงตั้งครรภ์ อายุ 22 ปี
G1 P0000
GA 38 wks by U/S
น้ำหนัก
EDC by date 23 มีนาคม 2563 GA 294 wks
ประวัติการเจ็บป่วย ปฏิเสธ
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว ปฏิเสธ
ประวัติการแพ้ยา ปฏิเสธ
ฉีดวัคซีนบาดทะยัก
ครั้งที่ 1: 7 ตุลาคม 2562
ครั้งที่ 2: 25 พฤศจิกายน 2562
น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ 64 kg ส่วนสูง 159 cm BMI 21.36 kg/m2
ตรวจร่างกายและตรวจครรภ์
Head to toe
ศีรษะ : หนังศีรษะสะอาด ไม่มีรังแค
ตา : เยื่อบุตาสีชมพู
จมูก : สมมาตรไม่มีบาดแผล
ช่องปาก : สุขภาพช่องปากปกติ ไม่มีฟันผุ
ลำคอ : คลำไม่พบก้อน ต่อมไทรอยด์ปกติ
เต้านม : หัวนม ลานนมปกติ
แขนขา : แขนและขาไม่บวม
การดู
ขนาดหน้าท้องสัมพันธ์กับอายุครรภ์ ทารกอยู่ในแนว longitudinal lie ทารกมีการเคลื่อนไหว พบ striae gravidarum สีชมพู และพบ linea nigra
การฟัง
FHS 150 bpm
การคลำ
ระดับยอดมดลูก ¾ > O LOT HE Vx.presentation
ผลตรวจทาางห้องปฏิบัติการ
Hb : 11.8
Hct : 36.1
VDRL : neg
HBeAg : Neg
ABO gr : A
Rh : +
Ab screening : Neg
ตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย
NST
Problem list
PV
อาจมีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสวะเนื่องจากมีเลือดปนปัสสาวะ
อาจเกิดภาวะเจ็บครรภ์คลอด
การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะในสตรีตั้งครรภ์
(Urinary Tract Infection in the Pregnant Women)
1.อธิบายหญิงตั้งครรภ์ความแตกต่างอาการเจ็บครรภ์จริงและอาการเจ็บครรภ์เตือน
อาการเจ็บครรภ์จริง
1.ลักษณะการเจ็บครรภ์
1.1 เริ่มต้นหดรัดตัวทุก 10-15 นาที เป็นจังหวะและสม่ำเสมอ
1.2 ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
1.3 สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก
1.4 เกิดบริเวณหลังส่วนล่างหรือบั้นเอว แล้วร้าว มาถึงหน้าท้องส่วนบนบริเวณยอดมดลูก
1.5 อาการเจ็บครรภ์ไม่หายไปแม้ใช้เทคนิคการ ผ่อนคลายความเจ็บปวดหรือยาแก้ปวด
- มีมูกหรือ มูกปนเลือด
- มีการบางและการเปิดขยายของปากมดลูก
- มีผลต่อการเคลื่อนต่ำของทารก
อาการเจ็บครรภ์เตือน
- ลักษณะการเจ็บครรภ์
1.1 เริ่มต้นหดรัดตัวน้อยมาก และระยะห่างมาก ไม่สม่ำเสมอ
1.2 ความรุนแรงคงเดิม หรือน้อยลง
1.3 ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก
1.4 เกิดขึ้นบริเวณหน้าท้องเท่านั้น
1.5 อาการเจ็บครรภ์จะหายไปได้ด้วยยาแก้ปวด - ไม่มีมูกปนเลือด
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
- ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทารก
2.แนะนำอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนกำหนดนัดคือ เจ็บครรภ์คลอด ไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะลำบาก ปวดท้องมาก เลือดออกทางช่องคลอด มีน้ำเดินทางช่องคลอด คลื่นไส้อาเจียนมาก ตกขาวมากผิดปกติ ปวดศีรษะตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ บวมหรือน้ำหนักเกินสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม เด็กไม่ดิ้นหรือดิ้นผิดไปจากปกติมาก
. ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ุให้สะอาดและแห้งเสมอภายหลังขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระให้ทำความสะอาดโดยล้างจากหน้าไปหลัง
GA 38 wks
สาเหตุ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย เกิดจากผลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น การถูกกดของกระเพาะปัสสาวะและท่อไตจาก การขยายตัวของมดลูก ตลอดจนปริมาณเลือด ไหลเวียนที่เพิ่มมากขึ้น โดยปกติความถี่ของการถ่ายปัสสาวะเพิ่มขึ้น ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์และช่วงท้ายของการตั้งครรภ์เนื่องจากท้องลดและ ศีรษะของทารกเคลื่อนต่ำลงทำให้เกิดความดัน เหนือกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้การเพิ่มขึ้น ของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขณะตั้งครรภ์ ยังมีผลทำให้ท่อไตมีขนาดใหญ่ขึ้นและกระเพาะ ปัสสาวะมีความจุเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1500 มิลลิลิตร มดลูกจะเอียงไปบริเวณด้านขวาของ ช่องท้องเพราะว่าลำไส้ใหญ่ได้ผลักดันให้มดลูกไป ในทิศทางนั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงดันบนด้านขวา ของท่อไตซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดนิ่งของปัสสาวะ ในท่อไต และกรวยไตอักเสบหากไม่ได้ระบาย ปัสสาวะออก และยังพบว่าแรงดันบนท่อปัสสาวะ อาจนำไปสู่ความยากลำบากในการขับปัสสาวะ ออกจากกระเพาะปัสสาวะให้หมดได้และ นำมาซึ่ง การติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะได้
ชนิดของการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
แบ่งตามตำแหน่งของการติดเชื้อ
การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (lower UTI) ได้แก่ การติดเชื้อ ที่กระเพาะปัสสาวะ (cystitis) และ การติดเชื้อที่ ท่อปัสสาวะ (urethritis)
การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนบน (upper UTI) ได้แก่ การติดเชื้อที่ไต (acute pyelonephritis, renal abscess) กรวยไต (renal pelvis) และ ท่อไต (ureter)
แบ่งตามภาวะของผู้ป่วยที่อาจมีร่วมด้วย
complicated UTI คือ การติดเชื้อของ ทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของ ท่อทางเดินปัสสาวะ สตรีมีครรภ์ผู้ป่วยที่มีโรค ประจำตัว เช่น เบาหวาน ผู้ป่วยภาวะภูมิคุ้มกัน ผิดปกติ และการติดเชื้อรักษายากบางชนิด
uncomplicated UTI คือ การติดเชื้อของ ทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่ไม่มีความผิดปกติของ ท่อทางเดินปัสสาวะทั้งกายวิภาคและหน้าที่
อาการและอาการแสดง
ทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
ปัสสาวะแสบขัด(dysuria)
ปัสสาวะขุ่น(turbid urine)
ปัสสาวะมีเลือดปนร่วมกับปวดบริเวณหัวเหน่า(suprapubic pain)
ปัสสาวะบ่อย(frequency)
ปัสสาวะกลางคืน(nocturia)
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่(urgency)
ปัสสาวะไม่พุ่ง(poor stream)
ปัสสาวะออกช้า(hesitancy)
ทางเดินปัสสาวะส่วนบน
ไข้สูง
หนาวสั่น
ปวดบั้นเอว
อาจมีอาการที่ทางเดินปัสสาวะส่วนล่างนำมาก่อน
ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีลักษณะทางคลินิกของการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วยเช่นซึมไข้สูงเจ็บบริเวณบั้นเอว ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างเมื่อถูกเคาะบริเวณดังกล่าว
การคัดกรองการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะในสตรีตั้งครรภ์
การตรวจปัสสาวะโดยทำการเพาะเชื้อ (urine culture)
การรักษาการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
สตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
ตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (urine analysis) ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ
ตรวจปัสสาวะเพื่อการเพาะเชื้อ (urine culture) ต่อ
แพทย์จะพิจารณายาประเภท cephalosporins รุ่นที่ 3 ชนิดรับประทาน(ได้แก่ cefdinir, cefixime เป็นต้น)
ให้รับประทานนาน 5 วัน จากนั้นนัด ติดตามอาการ และการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (urine analysis) ในสัปดาห์ที่ 2 ถ้ายังมีอาการ หรือมีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (pyuria) ส่งปัสสาวะ เพาะเชื้อซ้ำ
สตรีตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน
ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้ยา ต้านจุลชีพชนิดฉีดและเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
ยาที่ควรเลือกใช้จะต้องเป็นยาที่มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อก่อโรคและจะต้องไม่มีผลต่อทารกในครรภ์หรือมีผลน้อยที่สุด
ได้แก่ ceftriaxone, amoxicillin/clavulanate, ampicillin/sulbactam, cefixime นานประมาณ 10-14 วัน
เพาะหาเชื้อจากปัสสาวะซ้ำภายหลังการรักษาเพื่อยืนยันว่ากำจัดเชื้อได้หมด และ ควรตรวจหาเชื้อ จากปัสสาวะเป็นระยะ
การป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
สุขอนามัย (hygiene) จากที่สตรีตั้งครรภ์มีอาการปัสสาวะบ่อยครั้ง การทำความสะอาดภายหลังขับถ่ายปัสสาวะเสร็จ จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยก่อนเข้าห้องน้ำควรล้างมือให้สะอาด ทั้งนี้เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากมือสู่กระเพาะปัสสาวะ และเมื่อขับถ่าย ปัสสาวะเสร็จแล้ว ล้างอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาด และเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
การแต่งกาย (clothing) หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้ารัดรูป และการสวมถุงน่องเป็นเวลานาน แนะนำให้สวม กางเกงชั้นในที่เป็นผ้าฝ้าย (เพราะผ้าฝ้ายระบาย อากาศได้ดี) และ หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง เพราะ การกระทำเหล่านี้มักจะเบียดและพับผิวหนัง บริเวณช่องคลอดกับผิวหนังส่วนอื่นของร่างกาย และอาจนำเชื้อแบคทีเรียอื่นๆเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้
การดื่มน้ำ (drinking water) และ อาหาร (diet) ให้ดื่มน้ำมากขึ้นประมาณ 6-8 แก้ว ต่อวัน
การขับถ่ายปัสสาวะ (urination) ให้ขับถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งในแต่ละวัน (ทุก 2 ชั่วโมง) หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะควรขับถ่ายปัสสาวะทันที และ ควรขับถ่ายปัสสาวโดยเร็วภายหลังมีเพศสัมพันธ์(ภายใน 30 นาที) เพื่อช่วยขับไล่เชื้อแบคทีเรียไม่ให้เคลื่อนตัวขึ้นไป บริเวณท่อปัสสาวะ (urethra)
การใช้ยาปฏิชีวนะ(Antibiotics) กรณีที่ได้รับยาปฏิชีวนะจากแพทย์ ควรรับประทานให้ตรงตามแพทย์สั่งจนครบตาม จำนวน หากรับประทานยาไม่ครบขนาดตามแพทย์สั่งจะเกิดการดื้อยาและอาจเกิดการกลับเป็นซ้ำของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งจะมีความรุนแรงมากกว่าครั้งแรกได้
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง (Healthy body) ให้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน นอนหลับอย่าง เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีภาวะสุขภาพดี มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง สามารถเลี่ยงการเกิดการติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้
-Reassuring-
ปากมดลูกปิด พบdischarge สีขาวขุ่น
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล
มีเลือดปนปัสสาวะ
เหตุผลที่ทำ NST เพื่อประเมินดู contrction เพราะหญิงตั้งครรภ์ GA 38 wks. มาโรงพยาบาลด้วยอาการปัสสาวะปนเลือด
มีอาการไม่สุขสบาย ปวดหลัง ตะคริว ปัสสาวะบ่อย
การพยาบาาลปวดหลัง
การพยาบาลปัสสาวะบ่อย
การพยาบบาลตะคริว
แนะนำไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
อธิบายสาเหตุของปัสสาวะบ่อย เพราะมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะปัสสาวะให้มีความจุน้อยลง
แนะนำถ่ายปัสสาวะเมื่อปวด ไม่กลั้นปัสสาวะไว้นาน ๆ
สังเกตอาการได้แก่ มีปัสสาวะแสบขัด มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดหลัง อาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์
แนะนำหากมีอาการปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน ดื่มน้ำก่อนนอนน้อยลง
แนะนำรักษาควมสะอาดให้รักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก หลังขับถ่ายล้างให้สะอาด ซับให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง
แนะนำให้รับประทานให้ครบห้าหมู่ ดื่มนมให้มากขึ้น
หลีกเลี่ยงการยืน นั่ง นอนนานๆ เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เย็นจัดและการใช้กำลังมากเกินไป
ถ้าเกิดอาการตะคริวให้ใช้มือนวดกล้ามเนื้อส่วนนั้น ถ้าเป็นที่ต้นขาให้เหยียดขาตรง ยกเท้าให้พ้นจากพื้นเล็กน้อย แล้วกระดกปลายเท้าลงล่าง ถ้าเป็นที่น่องให้เหยียดขาให้ตรงแล้วกระดกปลายเท้าให้มากที่สุด แต่ถ้าเป็นตะคริวจากการนอน ให้ยกขาสูง ใช้หมอนรอง 2 ใบ
คุมน้ำหนักตัวให้ขึ้นตามเกณฑ์ที่แพทย์กำหนดไว้
เลือกที่นอนที่ไม่อ่อนยวบจนเกินไป โดยเฉพาะที่นอนที่ยุบไปตามน้ำหนักตัว จะทำให้ปวดหลังมากยิ่งขึ้น
เปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง โดยงอเข่าและวางขาลงบนหมอนข้างที่มีความแข็งและหนา พอให้ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนหมอนข้างกำลังพอดี ช่วยให้น้ำหนักตัวและครรภ์ถูกถ่ายลงไปยังหมอนข้าง ลดภาระการทำงานของกล้ามเนื้อหลังได้มากขึ้น
หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไปควรใส่รองเท้าที่มีส้นไม่เกิน 1 – 2 นิ้ว เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในช่วงกลางลำตัวและมีความสมดุล
หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ และการยืนบนพื้นแข็งๆ โดยควรหาผ้าหรือพรมเช็ดเท้ามารองพื้น และมีเก้าอี้เตี้ยๆ รองขาข้างหนึ่งไว้
ฝึกท่านั่งให้ถูกต้อง หลังตรง เอน พิงพนักเก้าอี้เล็กน้อยและควรมีเก้าอี้เตี้ยๆ รองรับเท้า ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังและเบาะนั่งที่ไม่นุ่มเกินไป และไม่ควรนั่งไขว่ห้าง รวมถึงไม่ควรนั่งนาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
แนะนำการสังเกตอาการผิดปกติที่แสดงถึงอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะมีเลือดปน
แนะนำการขับถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่ปวด ไม่กลั้นปัสสาวะ
กระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ 2-3 ลิตร
แนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หลีกเลี่ยงสิ่งที่รบกวนต่อทางเดินปัสสาวะ เช่น ชา กาแฟ เครื่องเทศ แอลกอฮอล์