Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Acute kidney injury on top Chronic kidney Disease (ไตวายเฉียบพลันที่เกิด…

- - - - S: เหนื่อยบางครั้ง
      - O:ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ
      - O: มีประสิทธิภาพการ หายใจที่ลดลงเมื่อนำเครื่องช่วยหายใจออก
    - - ผู้ป่วยได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอต่อร่างกาย
      - -ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจ เหนื่อยหอบ อัตราการหายใจอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 16-20 ครั้งต่อนาที
        -Spo2 ได้มากกว่า 95%
    - - 1.จัดท่านอนศีรษะสูง 30-45 องศาเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด และสังเกตอาการเหนื่อยหอบ นอนราบ ไม่ได้
      - 2.ประเมินสัญญาณชีพทุก4ชั่วโมงเพื่อ ติดตามความผิดปกติและช่วยเหลือได้
      - 3.ดูแลไม่ให้สายเครื่องช่วยหายใจหลุดหรือ หักพับงอที่ทำ ใหผู้ป่วยได้รับออกซิเจนไม่ เพียงพอ
      - 4.ดูแลเรื่องปริมาณการให้ออกซิเจนที่ เหมาะสม
      - 5.ลดการทำกิจกรรมบนเตียงที่ทำให้ผู้ป่วย รู้สึกเหนื่อย
    - - -ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อยหอบลดลง อัตราการหายใจ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563ได้ 20 ครั้งต่อนาที
        +ค่า Spo2 ได้ 95-100%
  - - - วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
        
        -ระดับน้ำตาลในเลือดได้ 144 สูงกว่าปกติ
        
        ชีพจร128 ครั้ง/นาที
    - - ดูแล check vital sign ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะพบว่ามีอุณหภูมิสูงขึ้น ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง อัตราการหายใจจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้อง
      - แนะนำญาติให้คอยสังเกตอาการน้ำตาลในเลือดสูงของผู้ป่วย เช่น หน้าแดง ตัวร้อน ปัสสาวะออกมาก หากพบอาการผิดปกติตามที่ได้ให้คำแนะนำให้ญาติรีบแจ้งพยาบาลทันทีเพื่อให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
      - ติดตามผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการอย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจ urine examination เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในปัสสาวะ
      - 1.ประเมินผู้ป่วยโดยค่า DTX Statประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย และอาการ ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น อ่อนเพลีย มึนงงศีรษะ
      - เจาะ DTX ตามแผนการรักษาของแพทย์ เวลา 7.00 น.และ 15.00 น. เพื่อประเมินภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและเพื่อให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
      - ดูแลให้ Regular insulin 8-10 unit sc ตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตอาการภาวะน้ำตาลในเลือด เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่า ชาตามปลายมือปลายเท้าเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีค่าสูงเป็นชนิดอ่อนถึงปานกลางและแนะนำญาติสังเกตอาการข้างเคียงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่าให้แจ้งพยาบาล
      - ดูแลให้ NPH insulin 26 unit sc ตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตอาการภาวะน้ำตาลในเลือด เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่า ชาตามปลายมือปลายเท้าเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีค่าสูงเป็นชนิดอ่อนถึงปานกลางและแนะนำญาติสังเกตอาการข้างเคียงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่าให้แจ้งพยาบาล
      - แนะนำเกี่ยวกับชนิดอาหารที่ควรรับประทานดูแลให้รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ลดอาหารระหว่างมื้อ เช่น รับประทานโจ๊ก ข้าวต้ม นมกล่อง ส้ม โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด อาหารประเภทแป้งและน้ำตาลให้น้อยลงและผลไม้รสจัด เช่น ลำไย ทุเรียน
      - ติดตามผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการดังนี้ คือค่า urine analysis ได้แก่ sugar,ketone และค่า glucose ในเลือด เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในปัสสาวะและในเลือด
      - Record ปริมาณ I/O ของร่างกาย เพื่อประเมินความสมดุลของปริมาณสารน้ำเข้า-ออกร่างกาย
      - คำแนะนำดูแลผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลิน
        
        เวลาฉีดอินซูลินไม่ควรฉีดอินซูลินบริเวณกล้ามเนื้อที่ใช้ออกกำลังกาย
        เพราะจะทำให้ดูดซึมอินซูลินได้จากบริเวณที่ฉีดเร็วกว่าปกติซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
        
        แนะนำญาติให้คอยสังเกตหากเกิดรอยบุ๋มหรือนูนตรงบริเวณที่ฉีดยา
        ให้รีบแจ้งพยาบาลเพื่อไม่ให้การดูดซึมของอินซูลินลดน้อยลง
        และเพื่อให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
    - - ระดับน้ำตาลในเลือดเกณฑ์ปกติระหว่าง70 – 120 mg/dl
        
        ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
      - ป้องกันการเกิดภาวะช็อคจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
    - - O : DTX 273
      - O : ให้ยา Regular Insulin Actrapid® HM 10 u ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง
      - O : ให้ยา Intermediate Acting Insulins (NPH) 26 u ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง
      - O : ชีพจร 126 ครั้ง/นาที
  - - - เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
    - - 2.สังเกตลักษณะปริมาณและสีของน้ำปัสสาวะ
      - 3.ดูแลให้ผู้ป่วยได้น้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย
        (ผู้ป่วยจำกัดน้ำวันละ 500 cc/วัน)
      - 1.ดูแลทำความสะอาดบริเวณรอบๆ Perineum อยู่เสมอโดยเฉพาะบริเวณรอบๆสายสวนปัสสาวะ
      - 4.บันทึกปริมาณน้ำที่ผู้ป่วยได้รับและปริมาณปัสสาวะที่ออกทุก 8 ชั่วโมง
      - 5.ประเมินวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะอุณหภูมิเนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อทำให้มีไข้ได้
      - 7.ดูแลถุงรองรับน้ำปัสสาวะให้อยู่ต่ำกว่ากระเพราะปัสสาวะเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากน้ำปัสสาวะจากถุงรองรับน้ำปัสสาวะไหลย้อนกลับเข้าไปสายสวนปัสสาวะ
      - 6.ดูแลสาย foley’s catheter ให้อยู่ในระบบปิดโดยไม่ปลดข้อต่อระหว่างสายสวนปัสสาวะกับถุงรองรับน้ำปัสสาวะ
      - 8.ดูแลให้น้ำปัสสาวะไหลลงถุงรองรับน้ำปัสสาวะได้สะดวกไม่ค้างตามสายสวนปัสสาวะและดูแลไม่ให้สายสวนปัสสาวะบิดงอหรือถูกกดทับ
      - 9.เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะและถุงรองรับน้ำปัสสาวะถุง 2-4 สัปดาห์หากประเมินว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการติดเชื้อควรเปลี่ยนใหม่ทันที
      - 10.ใช้หลัก Aseptic technique ในการเทน้ำปัสสาวะออกทุกครั้งและปิดท่อที่เทน้ำปัสสาวะออกตลอดเวลา
    - - O : ผู้ป่วยไม่สามารถดูแลความสะอาด
        บริเวณที่ใส่สายสวนปัสสาวะเองได้
        
        O:WBC H 11.83
        
        O : %Neutrophil H 82.3
        
        O : %Lymphocyte L 8.4
    - - วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
        
        -บริเวณ Perineum สะอาด
        
        -น้ำปัสสาวะใส ไม่มีตะกอนขุ่น ไม่มีลิ่มเลือด
        
        -WBC ได้ 11.83 10*3/UL สูงกว่าปกติ
  - - - S : ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อย นอนราบไม่ได้
      - S : ญาติให้ผู้ป่วยจิบน้ำบ่อยๆ
      - O :BUN H 203.0
      - O : Creatinine H 4.49
      - O : Sodium L 133
    - - เพื่อลดปริมาณที่คั่งในร่างกาย
      - -ผู้ป่วยได้รับน้ำในปริมาณที่แพทย์จำกัดคือ 500 cc/วัน
        -ไม่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย และนอนราบไม่ได้
        O :BUN ได้ 7.0-18.7
        O : Creatinine ได้ 0.55-1.02
        O : Sodium ได้ 136-145
    - - 1.จัดท่านอนศีรษะสูง 30-45 องศาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด และสังเกตอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้
      - ดูแลให้ยาขับปัสสาวะ ตามแผนการรักษา
      - 3.จำกัดน้ำดื่ม 1,000 cc/วัน เวรเช้า 300 cc เวรบ่าย 500 cc เวรดึก 200 cc
      - 5.บันทึกสารน้ำเข้า - ออก ทุก 8 ชม.
        เพื่อประเมินความสมดุลของน้ำเข้าและออก ถ้าน้ำเข้ามากกว่าน้ำออกทำให้ร่างกายเกิดภาวะน้ำเกินได้
      - 4.ดูแลจำกัดอาหารเค็ม เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว อาหารหมักดอง และอาหารแปรรูปเป็นต้น
        เพราะถ้ารับประทานอาหารเค็มจะทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำอวัยวะต่างๆ
      - 6.วัด Vital sign ทุก 4 ชม.เพราะเป็นการวัดสัญญาณชีพโดยเฉพาะความดันโลหิตซึ่งภาวะน้ำเกินอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย น้ำท่วมปอดและความดันโลหิตสูงได้
      - 7.ติดตามผล Lab BUN Cr
        เพราะเป็นการประเมินการทำงานของไตในการกรองของเสีย
    - - -ผู้ป่วยได้รับน้ำในปริมาณที่แพทย์จำกัดคือ 500 cc/วัน
        -ไม่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย และนอนราบไม่ได้
        ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
        O :BUN ได้ 203 ยังสูงกว่าปกติ
        O : Creatinine ได้ 4.49ยังสูงกว่าปกติ
        O : Sodium ได้ 139 อยู่ในค่าปกติ