Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดง ( Scarlet fever ) (อาการและอาการแสดง…
การพยาบาลผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดง
( Scarlet fever )
อาการและอาการแสดง
ทฤษฎี
แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน (อุณหภูมิราวๆ 38.3 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่า) หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว และเจ็บคอมาก
หลังจากมีไข้ภายใน 1-2 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นบริเวณรอบคอ หน้าอก และรักแร้ แล้วกระจายไปตามลำตัวและแขนขาอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง
ต่อมาผื่นจะปรากฏเด่นชัดขึ้น (มีสีเข้มมากขึ้น) ในบริเวณร่องหรือรอยพับตามผิวหนัง โดยเฉพาะที่คอ รักแร้ ข้อพับแขน ขาหนีบ และข้อพับขา
หลังจากนั้นในบริเวณเหล่านี้จะปรากฏเป็นจุดเลือดออกใต้ผิวหนังซึ่งเรียงกันเป็นเส้น (เกิดจากการแตกของหลอดเลือดฝอย) เรียกว่า "เส้นพาสเตีย" (Pastia's lines) ซึ่งเส้นเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีก
1-2 วันหลังจากผื่นตามตัวหายไป
อาการเจ็บคอจะเป็นมากจนกลืนอะไรไม่ค่อยได้
1-2 วันแรกของไข้อาจพบลิ้นมีฝ้าขาวปกคลุมและมีตุ่มแดงยื่นขึ้นเป็นตุ่ม ๆ สลับกันดูคล้ายผลสตรอว์เบอร์รีที่ยังไม่สุกดี เรียกว่า "ลิ้นสตรอว์เบอร์รีขาว" (White strawberry tongue)
ในช่วงหลังวันที่ 4 ของไข้ ฝ้าขาวที่ลิ้นจะลอกเป็นสีแดงดูคล้ายผลสตรอว์เบอร์รีที่สุกเต็มที่ เรียว่า "ลิ้นสตรอว์เบอร์รีสีแดง" (Red strawberry tongue) ส่วนทอนซิลเองก็จะบวมแดงและมีจุดหนองสีขาว ๆ อาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างลำคอโตด้วย
ผื่นจะเริ่มจางหายหลังขึ้นอยู่ประมาณ 3-4 วันหลังจากผื่นจางได้ประมาณ 1 สัปดาห์จะมีอาการลอกของผิวหนัง โดยมักเห็นได้เด่นชัดที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า
กรณีศึกษา
ผู้ป่วย มีอาการเจ็บคอ 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล มาตรวจที่โรงพยาบาล พบเป็น Strawberry tongue และ ทอนซิลอักเสบระยะแรก
การรักษา
ทฤษฎี
เมื่อมีอาการไข้สูง เจ็บคอมาก โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังมีผื่นแดงขึ้นร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา
เมื่อเริ่มมีไข้สูง ยังไม่มีผื่นขึ้น ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นโรคอะไร เพราะการมีไข้ขึ้นสูงเกิดได้จากหลายสาเหตุ ผู้ปกครองควรปฏิบัติดังนี้
เช็ดตัวบ่อย ๆ ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น
อาจให้รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol)
ผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กอยู่ที่บ้าน คือ เด็กมีไข้ต่ำ เด็กไม่ซึมหรือไอมาก ไม่หอบเหนื่อย แต่หากเด็กมีไข้สูง กินไม่ได้ คลื่นไส้ อาเจียน ผู้ปกครองก็ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว
การรักษาที่สำคัญ คือ ในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไข้อีดำอีแดงชัดเจน แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะทันที เช่น Penicillin V, Amoxicillin หรือ Erythromycin เป็นเวลานาน 10 วัน และแม้อาการจะหายไปภายใน 3-4 วัน ก็ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะต่อไปจนครบ 10 วัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดโรคไข้รูมาติกและหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อน (ถ้ารับประทานยาไม่ครบ 10 วัน จะฆ่าเชื้อได้ไม่หมด)
ให้การรักษาไปตามอาการอื่น ๆ ที่ตรวจพบ ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้ ถ้าผู้ป่วยกินได้น้อยดูแลเรื่องสารน้ำและอิเลคโทรลัยต์
ผู้ปกครองและผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำต่อไปนี้
5.1 ควรแยกตัวผู้ป่วยออกจากผู้อื่น จนกว่าจะให้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จึงจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น
5.2 นอนพักผ่อนอยู่กับบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
5.3 รับประทานอาหารอ่อน ๆ ดื่มน้ำให้มาก ๆ หรือดื่มน้ำหวานบ่อย ๆ
5.4 กลั้วคอด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง โดยการผสมเกลือป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำอุ่น 1 แก้ว
5.5 ผื่นที่กำลังลอกไม่ควรขัดให้หลุดออกเร็ว ๆ ควรปล่อยให้หลุดออกเองตามธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
5.6 ควรไปพบแพทย์เมื่อได้รับการรักษาแล้วกลับเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณลำคอโตขึ้น เจ็บและปวดหู หรือกลับมีไข้อีก ไอ หายใจเร็ว
5.7 หลังจากผู้ป่วยได้รับประทานยาปฏิชีวนะจนครบ 10 วัน และอาการต่าง ๆ กลับมาเป็นปกติดีแล้ว ก็ไม่ต้องมีการติดตามผลการรักษาอีก ยกเว้นในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา โดยที่ผู้ป่วยยังมีอาการผิดปกติต่อเนื่องหรือกลับมามีอาการผิดปกติอีก ก็ควรกลับมาพบแพทย์ตามนัด
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วย
Penicillin G (160,000 mu/kg/day) 1 million unit iv q 6 hr.
Paracetamol (325 mg) 1 tap prn for fever q 4 hr
ความหมาย
อีดำอีแดง หรือ ไข้อีดำอีแดง (Scarlet fever) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้มีผื่นแดงขึ้นตามตัวร่วมกับทอนซิลอักเสบ พบได้บ่อยในเด็กอายุ 5-15 ปี โดยเฉพาะในเด็กนักเรียน แต่ในเด็กแรกเกิดจะพบโรคนี้ได้น้อย เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ได้รับจากแม่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย เด็กในปัจจุบันพบโรคนี้ได้น้อยลงมาก เนื่องจากผู้ป่วยมักได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
พยาธิสภาพของโรค
ทฤษฎี
เกิดจากการติดเชื้อ group A streptococci ทำให้เกิดคออักเสบ แล้วตัวเชื้อปล่อยสาร erythrogenic toxin ทำให้เกิดอาการขึ้นในเด็ก ส่วนใหญ่มักพบในผู้ป่วยที่มีอายุ 4-8 ปี จะมีไข้สูง เจ็บคอ tonsil อักเสบ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นขึ้น 12-48 ชั่วโมง หลังจากมีอาการไข้ และเจ็บคอ ผื่นเป็นลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีแดง กดแล้วจางลง ลูบดูจะสากมือ (sandpaper like) ผื่นเริ่มที่คอ หน้า ลำตัวส่วนบน แล้วกระจายไปทั่วตัวในเวลา 2-3 วัน แต่จะไม่มีผื่นที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ผื่นหนาแน่น บริเวณข้อพับ เช่น ที่รักแร้ ข้อพับแขน ใน 2-3 วันแรก ทอนซิลจะแดง ลิ้นจะขาว แต่ tongue papillae จะแดง เรียก white strawberry tongue ในวันที่ 4-5 ฝ้าขาวที่ลิ้นหายไป เห็นลิ้นแดงมาก และ tongue papillae เป็นตุ่มนูนแดง เรียกว่า red strawberry tongue และมักมีจุด petechiae ที่เพดานอ่อนด้วย ในวันที่ 4-5 นี้ ผื่นที่ลำตัวจะจางลง ในสัปดาห์ที่ 2 ผิวหนังจะเริ่มลอก เป็นแผ่นบางๆ โดยเริ่มลอกที่หน้า ลำตัว แขนขาก่อน ส่วนมือและเท้าจะลอกหลังสุดในสัปดาห์ที่ 2-3
กรณีศึกษา
จากการสอบถามมารดาของผู้ป่วย ได้ข้อมูลว่าผู้ป่วยไม่ชอบทำความสะอาดร่างกาย ซึ่งอาจเป็นผลทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อ Steptococcus group A ทำให้หลั่งสาร erythrogenic toxin ผู้ป่วยจึงมีไข้ ปวดศีรษะ ทอนซิลอักเสบบวมแดงมีหนอง จากนั้นมีผื่นแดงคันขึ้นทั่วตัวกดแล้วจางลง ลูบดูจะสากมือ และมี strawberry tongue และผิวหนังเริ่มลอกเป็นแผ่น
การวินิจฉัย
ทฤษฎี
วินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการของผู้ป่วย และจากการตรวจร่างกาย ซึ่งมักจะวินิจฉัยได้ไม่ยาก และหากมีประวัติการอักเสบของคอจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอร่วมกับอาการออกผื่นด้วยก็จะวินิจฉัยได้ง่ายขึ้น
ในรายที่มีอาการไม่ชัดเจน อาจต้องส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม
2.1 การตรวจหาเชื้อจากบริเวณคอหอยและทอนซิลที่เรียกว่า Rapid strep test
2.2 การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งในลำคอของผู้ป่วย (Throat swab culture)
2.3 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เจาะเลือดหาสารก่อภูมิต้านทาน (Antigen) ต่อเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ
กรณีศึกษา
การวินิจฉัยโรค คือ สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วย
มีไข้ และต่อมทอนซิลอักเสบ
พบ Strawberry tongue
มีอาการคัน ผื่นขึ้นตามตัว 1 วันก่อนมาโรงพยาบาลหลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในวันที่ 3 มีผิวหนังลอกที่บริเวณปลายเท้าซ้ายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 cm
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
เชื้ออาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงทำให้หูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ฝีทอนซิล ปอดอักเสบ และเชื้ออาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน กระดูกอักเสบ นอกจากนี้ยังมีโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ
โรคไต ทำให้มีอาการบวม ปัสสาวะน้อยเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ความดันโลหิตสูง ถ้าเป็นมาก ๆ อาจมีอาการหัวใจวายหรือไตวายได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก
โรคไข้รูมาติก โรคนี้จะทำให้เกิดโรคหัวใจรูมาติก ผู้ป่วยจะมีอาการบวม เหนื่อยง่าย ลิ้นหัวใจรั่ว ปวดบวมตามข้อมือ เท้ากระตุก มีอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ถ้ามีอาการทางโรคหัวใจมาก อาจต้องทำการผ่าตัดลิ้นหัวใจหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
สาเหตุ/ปัจจัยเสริม/ปัจจัยเสี่ยง
กรณีศึกษา
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลขึ้นเป็น Normal Throat Flora. No Beta-Streptococci Isolated เพราะผู้ป่วยมารับการรักษาด้วย Scarlet fever เมื่อ 12 วันก่อนและได้รับยา Amoxicillin กลับไปรับประทาน ครั้งนี้ มารับการรักษาจึงตรวจไม่พบเชื้อดังกล่าว แต่ยังมีอาการของ Scarlet fever จึงกลับมารักษาในครั้งนี้
มารดาของผู้ป่วยให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยมีลักษณะนิสัยไม่ชอบทำความสะอาดร่างกาย
ทฤษฎี
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้อีดำอีแดง คือ
เด็กยากจน (อายุระหว่าง 5-15 ปี) เนื่องจากมีอาหารการกินที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เด็กขาดสารอาหาร จึงมีภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ น้อยลง
การติดต่อ : เชื้ออยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อได้โดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือติดต่อโดยการสัมผัสกับแผลที่ติดเชื้อโดยตรง หรือติดต่อโดยการสัมผัสกับมือผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ (เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หนังสือ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ
ระยะฟักตัวของโรค : ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนแสดงอาการจะใช้เวลาประมาณ 2-7 วัน
สาเหตุ : ส่วนใหญ่ไข้อีดำอีแดงเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า group A streptococcus หรือ Streptococcus pyogenes มีส่วนน้อยเกิดจากเชื้อ Staphylococcus โดยเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอนี้จะมีการสร้างสารชีวพิษ (Toxin) ออกมา ได้แก่ Erythrogenic toxin หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Pyrogenic exotoxin ชนิด A, B และ C) ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดผื่นในไข้อีดำอีแดง