Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีการพยาบาล (ทฤษฎีการพยาบาล
Transtheoretical model (TTM) (จุดเน้น /…
ทฤษฎีการพยาบาล
-
ทฤษฎีการพยาบาลของไนติงเกล
-
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
ความต้องการเพื่อความปลอดภัยและป้องกันสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เพื่อจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย
-
-
แนวทางการประยุกต์ใช้
1.การประเมินสุขภาพอนามัยของบุคคลสังเกตสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยทั้งด้านกายภาพและจิตใจ สังคมและสืบค้นหาความสัมพันธ์หรือผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพความเป็นเจ็บป่วยของบุคคล
2.การวินิจฉัยทางการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูล สังเกตสิ่งแวดล้อมและบุคคลทำให้สามารถมองเห็นกิจกรรมการพยาบาล
3.การวางแผนการพยาบาล จัดการกับสิ่งแวดล้อมทั้งกายภาพ จิตใจ และสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยได้อยู่ในสภาพที่กระบวนการชีวิตตามธรรมชาติเกิดขึ้นจะช่วยบรรเทาทุกข์และหายจากโรค
-
-
-
ทฤษฎีการพยาบาลของรอย
-
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
1) การปรับตัวด้านร่างกาย(Physiologicalmode)เป็นการปรับตัวเพื่อรักษาความ มั่นคงของร่างกาย หมายถึงความสำเร็จในการปรับตัสต่อการเปลี่ยนแปลงในความต้องการด้าน สรีระค่อนข้างจะมีความเป็นรูปธรรมสูง มีพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดเจน เขา้ ใจง่าย พฤติกรรมการ ปรับตัวด้านน้ีจะสนองตอบต่อความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ 5 ด้าน คือ ความต้องการออกซิเจน ภาวะโภชนาการ การขับถ่าย กิจกรรมและการพักผ่อนการป้องกัน และ กระบวนการที่ซับซ้อน 4 ประการ คือ การรับความรู้สึกและอิเลคโตรไลท์ การทำหน้าท่ีของ ระบบประสาทและการทำหน้าท่ีของระบบต่อมไร้ท่อ
2) การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (Self- concept mode) เป็นการปรับตัวเพื่อความมั่นคงทางจิตใจและจิตวิญญาณ อัตมโนทัศน์เป็นความเชื่อและความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเองในช่วงเวลาหน่ึง เกิดจากการรับรู้ภายในตนเอง และการรับรู้จากปฏิกิริยาของบุคคลอื่นท่ีมีต่อตนเองอตั มโนทศั น์มีผลสะทอ้ นต่อพฤติกรรมที่แสดงออกของแต่ละบุคคลแบ่งเป็น2แบบย่อย
2.1 อัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย (Physical self) เป็นความรู้สึกของตนเอง ต่อร่างกายเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา การทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ภาวะสุขภาพ และสมรรถภาพทาง
เพศอัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย
2.2 อัตมโนทัศน์ด้านส่วนบุคคล (Personal self) เป็นความรู้สึกของตนเอง
เกี่ยวกับความคาดหวังค่านิยม อุดมคติ การให้คุณค่า ปณิธานที่ตนเองยึดถือ
3) การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ (Role function mode) เป็นการปรับตัวเพื่อความ
มั่นคงทางสังคมเก่ียวข้องกับการทำหน้าท่ีตามบทบาทท่ีตนดำรงอยู่ในสังคมซึ่งต้องเป็นไปตาม ความคาดหวังของสังคมเก่ียวกับสิ่งท่ีบุคคลควรกระทำต่อผูอื่นในสังคมตามตาแหน่งหน้าที่ในบทบาทของตน บุคคลจึงต้องมีการปรับตัว หรือแสดงบทบาทของตนให้เหมาะสม เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงทางสังคมได้อย่างมีความสุข
4)การปรับตัวด้านการพึ่งพาระหว่างกัน(Interdependentmode)เป็นการปรับตัสเพื่อความมั่นคงทางสังคมในด้านความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างงบุคคลหรือกลุ่มคน โดยมุ่งประเด็นไปที่การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมที่เกี่ยวข้องกับการให้และรับความรัก ความนับถือ และการยกย่องซึ่งกันและกันอย่างเต็มใจ ความต้องการพื้นฐานในการปรับตัวด้านน้ีมี 3 องค์ประกอบ คือ การได้รับความรักอย่างเพียงพอ การได้รับบการเรียนรู้และการเจริญเติบโตตาม พัฒนาการ และการได้รับการตอบสนองความต้องการในเรื่องแหล่งประโยชน์ของบุคคล เพื่อที่จะให้บรรลุถึงความรู้สึกมั่นคงในความสัมพันธ์ระหว่างกันบุคคลท่ีสามารถปรับตัวด้านการ พึ่งพาระหว่างกัน(Interdependence) ได้อย่างเหมาะสมจะต้องมีความสมดุลระหว่างการพึ่งพาตนเอง (Independence) และการพึ่งพาผู้อื่น (Dependence) รวมทั้งต้องมีพฤติกรรมทั้งการเป็นผูใ้ห้ (contributive behaviors) และพฤติกรรมการเป็นผู้รับ (Receiving behaviors) อย่างเหมาะสม จึงจะทพให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ด้วยความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย
สิ่งเร้า (stimuli)
สิ่งเร้าตรง (Focal stimuli)
สิ่งเร้าที่บุคคลเผชิญโดยตรงและมีความสำคัญมากที่สุดที่ทำให้บุคคลต้องปรับตัว เช่น ได้รับการฉายรังสี
สิ่งเร้าร่วม (Contexual stimuli)
สิ่งเร้าอื่นๆที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากสิ่งเร้าตรงและมีความเกี่ยวข้องกับการปรับตัวของบุคคล เช่น คุณลักษณะทางพันธุกรรม เพศ สัมพันธภาพทางสังคม ความเครียดทางร่างกายและจิตใจ ศาสนา ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
สิ่งเร้าแฝง(Residual stimuli)
สิ่งเร้าที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีตเกี่ยวกับทัศนคติ อุปนิสัย บุคลิกภาพ
-
-
แนวทางการประยุกต์ใช้
ขั้นตอนที่ 1การประเมินสภาวะ ( Assessment )
1.1 ประเมินพฤติกรรมของผู้ป่วย (Assessment of behaviors) ที่เป็นปฏิกริยาตอบสนองของผู้ป่วยต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้า ซึ่งก็คือพฤติกรรมการปรับตัวทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านสรีระ ด้านอัตมโนทัศน์ ด้านบทบาทหน้าที่ ด้านการพึ่งพาระหว่างกัน พฤติกรรมของผู้ป่วยอาจจะได้มาจากการสังเกต การสัมภาษณ์และการตรวจวัดอย่างมีระบบเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน นำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาว่า ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่ดี หรือมีปัญหาในการปรับตัว การปรับตัวที่ดีได้แก่การที่บุคคลเกิดความมั่นคงในเรื่องการอยู่รอด การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ และการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้
1.2 ประเมินองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัว (Assessment of influencing factors) นั่นคือ การประเมินหรือค้นหาสิ่งเร้าหรือสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาการปรับตัวซึ่งได้แก่ สิ่งเร้าตรง สิ่งเร้าร่วมและสิ่งเร้าแฝง ตามปกติสิ่งเร้าตรงจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดปัญหาจึงมักมีเพียงสาเหตุเดียว ส่วนสิ่งเร้าร่วมและสิ่งเร้าแฝงมักมีหลายสาเหตุร่วมกัน
ขั้นตอนที่ 2 การวินิจฉัยการพยาบาล ( Nursing diagnosis)
การวินิจฉัยการพยาบาล ( Nursing diagnosis) เป็นขั้นตอนที่สองของกระบวนการพยาบาลที่จะกระทำหลังการประเมินสภาวะ แต่ถือเป็นขั้นตอนย่อยที่ 3 ตามแนวคิดของรอย โดยการระบุปัญหาหรือบ่งบอกปัญหาจากพฤติกรรมที่ประเมินได้ในขั้นตอนที่1และระบุสิ่งเร้าที่เป็นสาเหตุของปัญหา เมื่อได้ปัญหาและสาเหตุแล้วจะสามารถให้การวินิจฉัยการพยาบาลได้ เช่น ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากเคมีรักษา
ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการพยาบาล ( Nursing plan ) เป็นขั้นตอนที่ 3 ของกระบวนการพยาบาลแต่ตามแนวคิดของรอยขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ 4 คือการกำหนดเป้าหมายการพยาบาล (Goal setting)พยาบาลจะกำหนดเป้าหมายการพยาบาลหลังจากที่ได้ระบุปัญหาและสาเหตุแล้ว จุดมุ่งหมายของการพยาบาลคือการปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปสู่พฤติกรรมที่เหมาะสม ส่วนพฤติกรรมที่เหมาะสมแล้วต้องคงไว้หรือส่งเสริมให้ดีขึ้น การตั้งเป้าหมายการพยาบาลนั้นอาจจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นๆได้ เช่น ผู้ป่วยบรรเทาอาการปวดภายใน 1 ชั่วโมง หรือเป้าหมายระยะยาวได้
ขั้นตอนที่ 4การปฏิบัติการพยาบาล ( Nursing Intervention )
ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาลเป็นขั้นตอนที่ 5 ตามแนวคิดของรอย โดยเน้นจัดการกับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการปรับตัว โดยทั่วไปมักจะมุ่งปรับสิ่งเร้าตรงก่อนเนื่องจากเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหา ขั้นต่อไปจึงพิจารณาปรับสิ่งเร้าร่วมหรือสิ่งเร้าแฝง และส่งเสริมการปรับตัวให้เหมาะสม
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผล (Evaluation)
ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาลคือ การประเมินผลการพยาบาล โดยดูว่าการพยาบาลที่ให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่
ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม
แนวทางการประยุกต์ใช้
เป็นหลักเกี่ยวกับคน สุขภาพ สิ่งแวดล้อมและการพยาบาล แนวคิดที่สร้างขึ้นมีจุดเน้นเรื่องการดูแลตนเองระดับบุคคลและความสามารถในการนำทฤษฎีไปประยุกต์ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
ขั้นที่1วินิจฉัยและพรรณนา เป็นขั้นตอนที่ระบุถึงความบกพร่องในการดูแลตัวเอง
ขั้นที่2ขั้นวางแผน เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องเมื่อทราบถึงข้อบกพร่องในการดูแลตนเองแล้ว
ขั้นที่3ขั้นปฏิบัติการพยาบาลและควบคุม เป็นขั้นตอนที่พยาบาลได้นำกิจกรรมไปลงมือ ปฏิบัติตามแผนพยาบาล โดยมีจุดมุ่งหมายในการดูแลตนเองทั้งหมด
มโนมติหลักประกอบด้วย
เป็นการปฏิบัติกิจกรรมที่บุคคลริ่เริ่มกระทำอย่างมีเป้าหมายเป็นกิจกรรมที่สามารถเรียนรู้ได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม ดำรงชีวิต. และความผาสุกในขึวิต
- ความพร่องในการดูแลตนเอง (self-care deficit)
-
- ความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด (therapeutic self-care demand)
เป็นกิจกรรมดูแลตนเองทั้งหมดที่จำเป็นต้องกระทำในระยะเวลาหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการดูแลตนเองที่จำเป็น
- ความสามารถในการดูแลตนเอง (self-care agency)
เป็นความสามารถที่พัฒนาขึ้นอย่างซับซ้อนของบุคคล เพื่อตอบสนองความต้องการการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง ในการคงไว้ซึ่งการดำรงชีวิต
- ความสามารถในการดูแลบุคคลที่ต้องพึ่งพา (Dependent care agency)
-
- ความสามารถทางการพยาบาล ระบบการพยาบาล (nursing system)
- ปัจจัยพื้นฐาน (Basic conditioning factors)
-
-
เเนวคิดหรือหลักการสำคัญ
การกระทำทั้งหมดที่ประกอบเป็นระบบการพยาบาลเกิดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยครอบครัวและกลุ่มบุคคลที่มีข้อจำกัดในการดูแลตัวเองหรือดูแลบุคคลที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบโดยใช้ความสามารถทางการพยาบาลในการปฏิบัติกิจกรรม ภายใต้ความสัมพันธ์และข้อตกลงระหว่างพยาบาลและบุคคลที่มีความเบี่ยงเบนทางสุขภาพที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเพียงพอเเละมีประสิทธิภาพเพื่อให้แน่ใจว่าความต้องการดูแลตนเองได้รับการการตอบสนองตลอดจนความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยได้รับการปกป้องหรือนำมาใช้หรือได้รับการพัฒนา
ทฤษฎีการพยาบาลของวัตสัน
ประวัตความเป็นมา
ดร.จีน วัตสัน (Dr.Jean Watson) เริ่มอาชีพพยาบาลในปี ค.ศ.1964 โดยได้รับปริญญาตรีทางการพยาบาล ปริญญาโททางด้านการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช และปริญญาเอกทางด้านจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว นอกจากนั้นวัตสันยังศึกษาในสาขามนุษยวิทยา และได้เดินทางไปยังหลายประเทศเพื่อค้นแก่นแท้ทางความรู้เพื่อพัฒนาศาสตร์ทางการพยาบาล วัตสันเชื่อว่าองค์ความรู้ทางการพยาบาลต้องพัฒนาจากศิลปศาสตร์ (Art) บนพื้นฐานความเชื่อมนุษยนิยม (Humanism) มากกว่าการพัฒนามาจากความรู้ทางด้านวิทยศาสตร์ (Science) และความรู้ทางการแพทย์ (Medical) เพียงอย่างเดียว (Watson, 2008) วัตสันเชื่อในพลังภายในของความเป็นมนุษย์ ที่มีชีวิตอยู่บนโลกที่เชื่อมต่อกับจักรวาล นอกจากนั้น วัตสันยังได้รับแรงจูงใจในการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีการดูแล จากความต้องการที่จะทำความเข้าใจบทบาทในการบำบัดทางการพยาบาล รวมทั้งความรู้สึกผูกพันต่อบทบาทการดูแลเพื่อการฟื้นหายของผู้ป่วยที่วัตสันประจักษ์ด้วยตัวเอง
-
-
จุดเน้น/ข้อตกลงเบื้องต้น
-
-
-
รักศักดิ์ศรีของตนเอง พยาบาลจึงจะสามารถเคารพและให้การดูแลผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน และเคารพในศักดิ์ศรีของผู้อื่น
-
-
-
ค่านิยมเกี่ยวกับการดูแลของพยาบาลถูกบดบังไว้จากการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นค่านิยม/อุดมคติที่เน้นความเป็นมนุษย์จึงอยู่ในภาวะวิกฤติ
-
-
ประโยชน์ของวิชาชีพการพยาบาลต่อสังคมโดยรวมอยู่ที่การยึดมั่นในการดูแลเชิงมนุษย์นิยมทั้งด้านทฤษฎี การปฏิบัติ และการวิจัย
-
-
การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม
-
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
-
-
การดูแลทางวัฒนธรรม ( Cultural care ) เป็นการสนับสนุน
ประคับประคอง เอื้ออำนวย ช่วยเหลือ รวมถึงเพิ่มความสามารถของบุคคลให้คงไว้
-
-
ความเป็นพื้นบ้าน ( Generic,folk )
-
-
-
-
แนวทางการประยุกต์ใช้
-
ให้บุคคลทีโอกาสบ่งชี้ถึงวัฒนธรรมที่ต้องการปรับเปลี่ยนหรือใช้ในการต่อรอง เพื่อให้เกิดผลประโยชน์หรือความพึงพอใจในผลลัพธ์ด้านสุขภาพ
-
-
-
โอเรมเริ่มการทำงานในวิชาชีพการพยาบาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1971 ได้มีการจัดพิมพ์เผยแพร่แนวความคิดโดยมีชื่อว่า Nursing : Concept of Practice และมีการพัฒนาเผยแพร่ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 1980 , 1985, 1991 ตามลำดับ
-