Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด (Disseminated intravascular Coagulation: DIC)
การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด (Disseminated intravascular Coagulation: DIC)
สาเหตุ
โรคติดเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ
โรคติดเชื้อเชื้อไวรัส
โรคมาลาเรียจากการติดเชื้อพลาส
โมเดียมฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum)
โรคมะเร็ง
ภาวะทางสูติกรรม (การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือดแบบเฉียบพลัน) ได้แก่ ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placenta abruption) และภาวะน้ำคร่ำอุดตันในหลอดเลือด (Amniotic fluid embolism)
การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือดแบบเรื้อรัง เช่น ครรภ์เป็นพิษ (Eclampsia) การยุติการตั้งครรภ์ (Saline induce abortion) ที่เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออย่างรุนแรง (Severe tissue injury) เช่น ศัลยกรรม (Surgery) การบาดเจ็บ (Trauma) การกระแทก (Crush injuries) มีเนื้อร้ายขนาดใหญ่ (Massive tissue necrosis) หรือเป็นโรคลมแดด (Heatstroke) เป็นต้น
โรคตับ เช่น ตับอักเสบชนิดร้ายแรง ภาวะตับวายเฉียบพลัน
สาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Prosthetic valve) โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ภาวะแทรกซ้อนในเนื้อเยื่อ
(Greft Versus Host Disease: GVHD) ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากยาเฮปพาริน (Heparin-Induced Thrombocytopenia: HIT)
อาการ
มีผิวหนังคล้ำ และเย็นกว่าปกติ
มีรอยจ้ำๆ ตามผิวหนัง เมื่อกดแล้วจะจางลง
เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไม่พอ และมีเลือดคั่ง
มีเลือดออกจากรอยเจาะเลือด ผิวหนังทั่วร่างกาย
และเยื่อบุอวัยวะภายใน เช่น จากทางเดินอาหาร ไต ปอด และ สมอง
มีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
(Acute respiratory distress syndrome: ARDS)
มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน (Hypoxemia)
ภาวะไตวายเฉียบพลัน ระยะต่างๆ เช่น เอทีเอ็น (Acute Tubular Necrosis: ATN)
อาร์ซีเอ็น (Renal cortical necrosis: RCN)
ภาวะความตื่นตัวผิดปกติ (Stupor)
อาการบวมน้ำ (Edema)
อาการชัก (Convulsions)
ความผิดปกติของสมองเฉพาะแห่ง (Focal lesions)
เลือดออกในสมอง (Intracranial bleeding)
ภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
มีการอุดตันในหลอดเลือดใหญ่ กลาง และเล็ก
การวินิจฉัย
เริ่มจากสังเกตอาการแสดงทางคลินิกว่า มีการตายของส่วนปลายของอวัยวะต่างๆ หรือไม่ โดยบริเวณที่พบบ่อยคือ ผิวหนัง สมอง ไต และปอด นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการช็อกร่วมด้วย
การให้ยาโปรตาไมด์เพื่อต้านฤทธิ์ยายาเฮปพาริน (Protamine test) ตรวจทรอมบินในเลือด (Thrombin test) ตรวจการแข็งตัวของลิ่มเลือด ได้แก่ ทีที (Thrombin time: TT) ไฟบริโนเจน และพีที (Prothrombin time: PT)
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เช่น การเจาะเลือด
เพื่อตรวจค่าดีไดเมอร์
(FDP/D-dimer)
การนับเกล็ดเลือด (Platelet count)
การตรวจระยะเวลาการแข็งตัวของสารเคมีเมื่อหยดลงไปในเลือดแบบวินาที (Activated partial thromboplastin time: aPTT)
การพยาบาล
ดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ประเมินและระมัดระวังการเกิดเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ
ดูแลให้ได้รับอาหารอ่อน ย่อยง่าย
รสไม่จัดไม่ระคายเคืองต่อปาก และทางเดินอาหาร ควรมีธาตุเหล็ก โปรตีน และวิตามินซีสูง
สังเกตและติดตามผลการตรวจเลือดจากการตรวจค่าซีบีซี (Complete blood count: CBC) การแข็งตัวของโปรทรอมบิน เป็นต้น
ดูแลให้ได้รับเลือดตามแผนการรักษา และปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการ และอาการแสดงของภาวะเลือดออกผิดปกติ
ดูแลด้านจิตใจและความสุขสบายของผู้ป่วย
ช่วยเหลือผู้ป่วยและญาติในการเผชิญภาวะเลือดออก
และให้การช่วยเหลือเพื่อคลายความวิตกกังวลให้ผู้ป่วยและครอบครัว