Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน (การพยาบาล (การปฏิบัติตัวเพื่อควบค…
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน
การดูแลรักษา
สำหรับมารดาที่เป็น GDM A1
ควบคุมอาหาร
BMI ปกติ:ได้รับแคลอรี 30-35 kcal/kg/day
BMI >30kg/m2 :จำกัดแคลอรี 25kcal/kg/day
งดอาหารจำพวก น้ำผึ้ง น้ำตาล มะม่วงสก ทุเรียน ลำไย อาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง
ออกกำลังกาย
สำหรับมารดาที่เป็น GDM A2
การให้คำปรึกษาก่อนการตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ควรมีการวางแผนล่วงหน้า ควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ดีเสียก่อนแล้วจึงตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการในทารก เนื่องจากภาวะพิการโดยกำเนิดของทารกในมารดาที่เป็นเบาหวานมีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์
การดูแลระหว่างตั้งครรภ์
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ ในระหว่างตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม
การควบคุมอาหาร ส่วนใหญ่จะจำกัดปริมาณอาหารวันละ 30-35 กิโลแคลอรี่ต่อ ideal body weight แบ่งเป็น คาร์โบโฮเดรทร้อยละ 55 โปรตีนร้อยละ 20 และไขมันร้อยละ 25 และควรมีอาหารว่างระหว่างมื้อและก่อนนอน เพิ่มจากอาหาร 3 มื้อใหญ่ตามปกติ
การใช้อินสุลิน นิยมให้อินสุลินผสมระหว่าง intermediate - actingin sulin (NPH) และ shortactingin sulin (RI) ขนาดโดยทั่วไป 20-30 ยูนิตต่อวัน แบ่งออกเป็นสองครั้งโดยให้ก่อนมื้อเช้าเป็นปริมาณ 2/3 ของทั้งวัน (สัดส่วน NPH : RI = 2 : 1) และก่อนมื้อเย็นเป็นปริมาณ 1/3 (NPH : RI = 1 : 1)
ยาเม็ดลดระดับน้ำตาล (Oral hypoglycemic agent) ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากยาสามารถผ่านรกไปสู่ทารกได้ ทำให้ทารกแรกคลอดเกิด hypoglycemia ได้ง่ายและอาจทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดได้
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น เช่น การว่ายน้ำ ปัั่นจักรยาน เดิน
ใช้การตรวจ 2-hour postprandial blood sugar (2hrpp) ในการเฝ้าระวังระดับน้ำตาลในกระแสเลือดทั้งใน GDMA1 และ GDMA2 โดย ต้องงดน้ำและอาหารก่อนตรวจ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วเจาะเลือดตรวจ FBS แปลผลปกติ : ก่อนอาหาร พบกลูโคสในเลือด 60 – 105 mg%
หลังอาหาร 2 ชม. พบกลูโคสในเลือด < 120 mg%
การบันทึกจำนวนการเคลื่อนไหวของทารกทุกวันโดยมารดา เมื่ออายุครรภ์ 30-32 สัปดาห์
การดูแลระยะคลอด
วิธีการคลอด โดยทั่วไปสามารถให้คลอดทางช่องคลอดตามปกติ แต่ในรายที่ทารกตัวโตมากอาจพิจารณาผ่าตัดทางหน้าท้อง
ในกรณีที่มีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด อาจพิจารณายับยั้งการเจ็บครรภ์เหมือนทั่วไป แต่ต้องหลีกเลี่ยงการให้ beta-sympathomimatic เนื่องจากยาเหล่านี้จะทำให้ประสิทธิภาพการควบคุมน้ำตาลในมารดาลดลง และทำให้เกิด ketoacidosis ได้ง่าย
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติอยู่ระหว่าง 80-120 มก./ดล. ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 1-2 ชม. และให้อินสุลินตามระดับน้ำตาลในเลือดโดยเปลี่ยนเป็น regular insulin หยดเข้าทางหลอดเลือดดำและหยุดให้อินสุลินเมื่อรกคลอด
ตรวจหาการฉีกขาดของช่องทางคลอด เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดในรายที่คลอดทางช่องคลอด และระวังการติดเชื้อหลังคลอด
การดูแลในระยะหลังคลอด
จำเป็นต้องเน้นการควบคุมน้ำตาลในเลือดต่อไป การ
ให้อินสุลินต้องระมัดระวัง เพราะความต้องการอินสุลินจะลดลงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนคลอด
การคุมกำเนิด หลีกเลี่ยงยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูง เนื่องจากทำให้การควบคุมเบาหวานยากขึ้น การให้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีโปรเจนเตอโรนอย่างเดียว, ยาฉีดคุมกำเนิด และยาฝังคุมกำเนิดสามารถใช้ได้ เนื่องจากมีผลต่อคาร์โบไฮเดรต เมตาเบอลิซึมน้อย
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา สามารถให้อินสุลินได้แต่ควรแนะนำให้มารดารับประทานอาหารเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 400 กิโลแคลลอรี่ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในช่วงที่ให้นมบุตร
นื่องจากผู้ที่เกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดเบาหวานในอนาคต จึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจน้ำตาลก่อนอาหาร หรือตรวจ OGTT เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นปกติ หรือมีน้ำตาลผิดปกติเล็กน้อย หรือกลายเป็นเบาหวานจริงๆ
การพยาบาล
ได้รับการตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์
1.1 ประวัติการเป็นเบาหวานมาก่อน การตรวจ HbA1c ในช่วงไตรมาสแรก เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วง 4 -6 สัปดาห์
1.2 การตรวจคัดกรองเบาหวานตั้งแต่ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ และเมื่อายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
3.ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและช่องคลอด
3.1 การดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และซับให้แห้งทุกครั้งหลังทำความสะอาด
3.2 สังเกตอาการและอาการแสดงการติดเชื้อทางช่องคลอด ได้แก่ ตกขาวมีกลิ่น เหม็น และมีอาการคันร่วมด้วย
3.3 สังเกตอาการและอาการแสดงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะเป็นเลือด มีไข้ ปวดบั้นเอว
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารก
4.1 มาตรวจตามนัดทุกครั้ง
4.2 ได้รับการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ ได้แก่ USG NST
4.3 สังเกตการดอ้นของทารกในครรภ์เมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด
5.1 สังเกตอาการ hypoglycemia
5.2 สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ โดยตรวจดูสีและกิ่นน้ำคาวปลา
5.3 ป้องกันการตกเลือดหลังคลอด โดยตรวจดูการหดรัดตัวของมดลูก
5.4 เลี้ยงลูกด้วยนมมารดา เพราะจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
การปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะตั้งครรภ์
2.1 ควบคุมการรับประทานอาหาร โดยน้ำน้ำระหว่างตั้งครรภ์ควรเพิ่มขึ้น 10-12 kg.
2.2 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2.3 ในรายที่ได้รับอินซูลินแนะนำเกี่ยวกับการฉีดยาอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง
2.4 แนะนำการตวจปัสสาวะและคีโตนด้วยตนเอง รวมทั้งการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วพร้อมการอ่านผล
2.5 แนะนำการสังเกตอาการแทรกซ้อน ได้แก่ hyperglycemia (อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย) hypoglycemia (เหงื่ออก เหนื่อยง่ายตาพร่ามัว ใจสั่น หิว)