Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Elderly pregnancy with Gestational Diabetes Mellitus A2 with fetal…

- - - - ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
        ช่วยการเจริญพันธุ์
    - - ความต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
        เป็นค่านิยมที่ทำให้สตรีและบุรุษให้ความสำคัญ
        มากกว่าการแต่งงาน
    - - สตรีที่มีระดับการศึกษาสูงมักแต่งงานช้ากว่าสตรีที่มีการศึกษาต่ำหรือสตรีที่ต้องใช้ทักษะและความรู้สูงในการทำงานมักแต่งงานช้ากว่าสตรีที่ใช้แรงงาน
        
        มารดาจบ ป.6
    - - สามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารที่ตนเองสนใจ
        ผ่านสื่อได้อย่างกว้างขวาง ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์
        สื่อโฆษณา สื่อออนไลน์และสื่ออื่นๆ
    - - การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
        ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานมากขึ้น
  - - - มารดาอายุ 39 ปี
  - - - ระยะตั้งครรภ์
        
        อธิบายขั้นตอนเกี่ยวกับกระบวนการคลอด
        และการปฏิบัติตัวในระยะคลอด
        
        การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
        
        เทคนิคการหายใจเพื่อลดปวด
        
        คอยให้กำลังใจ อยู่เป็นเพื่อนข้างเตียง
        และให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
        
        พยาบาลควรเฝ้าระวังและประเมินภาวะเสี่ยง
        ที่อาจเกิดขึ้นขณะคลอด
      - ระยะก่อนการตั้งครรภ์
        
        ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองโรคที่ถ่ายทอด
        ทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย
        
        แนะนำการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเป็นก่อนการตั้งครรภ์ เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน หรือไวรัสตับอักเสบบี
        
        แนะนำการเตรียมตัวและ
        วางแผนการตั้งครรภ์
        
        ให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน
        ของการตั้งครรภ์ที่พบได้ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก
      - ระยะคลอด
        
        กลุ่มที่ยังมีบุตรไม่เพียงพอ
        หรือมีบุตรที่ต้องพึ่งพา
        
        การดูแลสุขภาพของตนเอง
        
        การมาตรวจติดตามหลังคลอด
        อย่างต่อเนื่อง
        
        การเลี้ยงดูทารก
        
        การวางแผนการคุมกำเนิดแนะนำ
        ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนใน
        การตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
        
        กลุ่มที่มีบุตรเพียงพอ
        
        ควรเน้นเกี่ยวกับการวางแผนการคุมกำเนิด
        
        กระตุ้นและส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมารดา
  - - - ภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ สตรีที่มีอายุมากกว่า 35 ปี มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์มากกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อย โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่
        
        รกเกาะต่ำ
        
        ความดันโลหิตสูง
        
        โรคเบาหวาน
        
        มารดารายนี้เป็น GDMA2
      - การแท้งบุตร
        
        การสูญเสียทารกในระหว่าง
        20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ
      - ปัญหาในระยะคลอด
        
        การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง สตรีตั้งครรภ์อายุมากมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะคลอดติดขัด (labor dystocia) ซึ่งเกิดจากภาวะมดลูกหดรัดตัวผิดปกติ (uterine dysfunction) ดังจะเห็นจากสถิติว่าความยาวนานของระยะที่สองของการคลอดจะแปรผัน ตามอายุของสตรีตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้สตรีกลุ่มนี้มักลงเอยด้วยการผ่าตัดคลอด จากสถิติในสหรัฐอเมริกาปี 2003 - 2012 อัตราการผ่าตัดคลอดบุตรในครรภ์แรก เพิ่มขึ้นตามอายุ 26% ในสตรีตั้งครรภ์อายุ 35 - 39 ปี 31% และ 36% ในสตรีตั้งครรภ์อายุ 40-44 ปี และ 45-49 ปี ตามลำดับ (ปวีณา พังสุวรรณ และเกษมศรี ศรีสุพรรณ ดฐิ, 2560)
        
        มารดาได้รับการผ่าตัดเนื่องจากทารกในครรภ์มีภาวะ Fetal distress
        
        การคลอดก่อนกำหนด
      - ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
        
        สตรีตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี
        มีโอกาสตั้งครรภ์แฝดถึงร้อยละ 3.5
        
        การตั้งครรภ์นอมดลูก
    - - ความผิดปกติทางโครโมโซมของทารก
        
        Down syndrome
      - อัตราการตายปริกำเนิดของทารก(Perinatal mortality rate) หรือ
        จำนวนการตายของทารกที่มีน้ำหนักอย่างน้อยระหว่าง 500-1,000 กรัม
        หรืออายุครรภ์อย่างน้อย 22 สัปดาห์เต็มถึงน้อยกว่า 7 วันหลังคลอด
      - ทารกมีน้ำหนักน้อย
  - - - การรับบทบาทใหม่
      - การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์
      - การคลอด
      - สุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์สตรีตั้งครรภ์ที่อายุมากส่วนใหญ่จะรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
        
        มารดารอคลอดบอกว่าวิตก กังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดคลอด ทางหน้าท้องและ ภาวะแทรกซ้อนจาก โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- - - - มารดาอายุ 39 ปี
    - - ยายเป็นเบาหวาน
  - - - ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเทอโรนที่สร้างจากรกจะกระตุ้นให้มีการสร้างอินซูลินเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลลดลง ระยะนี้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย ทำให้สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) (กนกวรรณ ฉันธนะมงคล, 2555)
    - - จะมีการหลั่งฮอร์โมนเพิ่ม ได้แก่ Cortisol, Prolactin, HPL ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เกิดการดื้อต่ออินซูลิน ลดความทนต่อกลูโคส ทำให้มารดามีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (กนกวรรณ ฉันธนะมงคล, 2555)
        
        ปัสสาวะมาก (Polyuria)
        
        ปัสสาวะ12 - 15/วัน
        
        รับประทานอาหารจุ (Polyphagia)
        
        กินบ่อย กินจุ
        
        ดื่มน้ำมาก (Polydipsia)
        
        หิวน้ำบ่อย
        
        น้ำหนักลด (Weight loss)
  - - - ทารกมีโอกาสเป็นเบาหวานได้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
        
        ยายเป็นเบาหวาน
      - ทารกตายระหว่างคลอดและหลังคลอด
      - การหายใจติดขัด
      - ความพิการอย่างรุนแรง
      - ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
      - ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ
      - การกระทบกระเทือนจากการคลอด
      - มีเม็ดเลือดแดงมาก
      - มีบิลิรูบินในเลือดสูง
      - มีเชาว์ปัญญาต่ำ พบในรายที่เกิดภาวะ ketosis
    - - ทารกในครรภ์ขาดอาหารและออกซิเจน
        
        Fetal distress โดย On EFM cat 2: FHS 170-190/min trachycardia marked variability
        
        CC :มารดามาฝากครรภ์ตามนัด On NST พบว่ามี U/C ร่วมกับ trachycardia
      - ถ้ามารดามีน้ำตาลในเลือดสูง กลูโคสจากมารดาจะผ่านรกสู่ทารกในครรภ์ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
      - มีผลทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด พบได้ร้อยละ 5 - 10 ของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน ความพิการนี้เกิดขึ้นก่อนอายุครรภ์ 7 สัปดาห์
        
        ความพิการของระบบประสาท พบความผิดปกติของหลอดประสาท เช่น ทารกหัวบาตร
        
        ความพิการของระบบไหลเวียนโลหิต เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
        
        ความพิการของระบบกระดูก พบมากที่กระดูกสันหลังและแขนขา มีลักษณะท่าคล้ายกบ
        
        ความพิการอื่นๆ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ง
      - ทารกคลอดก่อนกำหนด
  - - - ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในระยะหลังคลอดความต้องการอินซูลินจะลดลง เพราะฮอร์โมนต้านอินซูลินจากรกหมดไป และต้องตรวจ 75 gm. OGTT ควรตรวจหลังคลอด 6 - 12 สัปดาห์หลังคลอด หรือหลังจากงดการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา เพื่อติดตามภาวะน้ำตาลในเลือด และหลังจากได้รับประทานกลูโคส 75 gm. แล้วเจาะเลือดดูระดับน้ำตาลหลังจากรับประทานกลูโคสครบ 2 hr. ถ้า FBS มากกว่าหรือเท่ากับ 126 mg/dl และ 2 - hr. pp มากกว่าหรือเท่ากับ 200 mg/dl แปลว่าเป็นโรคเบาหวาน
        (นันทพร แสรศิริพันธ์, 2560)
        
        มารดามีนัดติดตามผล OGTT วันที่ 27 ธค 62 ที่ รพช.โซ่พิสัย
      - ป้องกันการตกเลือดในระยะหลังคลอด โดยการตรวจประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและการฉีกขาดของช่องคลอด
      - ทารกแรกเกิดอยู่ภายใต้การดูแลของกุมารแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การหายใจถูกกด แคลเซียมต่ำ บิลลิรูบินในเลือดสูง
      - การให้นมบุตร มารดาที่เป็นเบาหวาน สามารถเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดาได้ แต่ต้องระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
        
        ทารกสามารถเข้าเต้าได้ ประเมิน LATCH score = 10 คะแนน
      - การคุมกำเนิด มารดาที่เป็นเบาหวานที่มีบุตรเพียงพอแล้ว หรือมีอาการของโรคที่รุนแรง ควรแนะนำให้ทำหมัน
        
        มารดาได้ผ่าตัดทำหมัน
      - การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้าน เกี่ยวกับอดาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป การรักษาที่ได้รับ การปฏิบัติตัว และการมาตรวจตามนัด
      - การพยาบาล
        
        ป้องกันการตกเลือดในระยะหลังคลอด การดูแลเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดปกติ ให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวในระยะหลังคลอด เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดปกติ การให้นมบุตรควรแนะนำให้มารดาเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดา แต่ควรระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วง 30 - 40 min หลังให้นมบุตร ป้องกันโดยแนะนำให้ดื่มนมก่อนให้นมหรือระหว่างให้นมบุตร
        
        การคุมกำเนิด มารดาที่เป็นเบาหวานที่มีบุตรเพียงพอแล้ว หรือมีอาการของโรคที่รุนแรง ควรแนะนำให้ทำหมัน
    - - การกำหนดเวลาคลอด ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการคลอด คือ 38.5 - 40 wks. ขึ้นอยู่กับการควบคุมโรคและภาวะแทรกซ้อน
      - วิธีการคลอด ในรายที่ปากมดลูกยังไม่พร้อม ดูแลให้ชักนำการคลอดอย่างระมัดระวัง การใช้สูติศาสตร์หัตถการช่วยคลอด หรือการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง สามารถทำได้เมื่อมีข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์ (มณีกรณ์ โสมานุสรณ์, 2555)
        
        ไม่มีความก้าวหน้าของการคลอด ให้ Cytotec 1/8 tab On 5%DN/2 1000 ml +syntocinon 10 U rate 6 drop/hr, On EFM cat 2: FHS 170-190/min trachycardia marked variability และ ทำIUR On EFM cat2 trachycardia marked variability แพทย์ Set C/S
      - การให้อินซูลินระหว่างคลอด ในรายที่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน ทั้งในรายที่จะต้องให้คลอดทางช่องคลอด หรือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ต้องปรับเปลี่ยนขนาดยาให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย คือ ในเช้าวันที่จะคลอดควรได้รับ RI แทน NPH เพราะสามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า เพื่อรักษาระดับพลาสมากลูโคสในระยะคลอดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียง (80 - 120 mg/100ml)
      - การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ควรได้รับ 5% D/W 100-120 ml./hr. อย่างเพียงพอ เนื่องจากระยะคลอดมักจะให้ผู้คลอดงดน้ำงดอาหารทางปาก
      - การพยาบาล
        (นันทพร แสรศิริพันธ์, 2560)
        
        ดูแลจัดให้นอนท่าตะแคง หลีกเลี่ยงท่านอนหงาย เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำจากการกดทับเส้นเลือด Inferior vena cava
        
        ดูแลให้ได้รับยาอินซูลินตามแผนการรักษา เช่น แพทย์อาจให้ RI 10 U ใน 5%D/W 1000 ml หยดทางโลหิตดำอัตราละ 1-2 U เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ระหว่าง 80 - 120 mg/100ml ซึ่งปรับให้พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย
        
        ประเมินความก้าวหน้าของการคลอด เช่น การหดรัดตัวของมดลูก ความก้าวหน้าของการคลอดภายใน โดยการตรวจช่องคลอด ถ้าพบความก้าวหน้าการคลอดผิดปกติ รายงานแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้
        
        ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก I = 3-4', D = 35'', S = +
        PV : ปากมดลูกเปิด 1 cm. Eff = 50%, station -1, MI
        
        ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในระยะคลอด เช่น การลูบหน้าท้อง เทคนิคการหายใจ เพื่อลดการใช้พลังงาน ถ้าไม่ได้ผล ผู้คลอดเจ็บครรภ์มาก รายงานแพทย์ให้ยาตามแผนการรักษา
        
        แนะนำให้มารดาลูบหน้าท้อง นวดหลัง สอนเทคนิคการหายใจให้มารดา โดยมารดาสามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง
        
        ประเมินสัญญาณชีพและอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออกมาก เป็นต้น และภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ มีอาการเหนื่อย และอ่อนเพลีย ผิวหนังแห้งและคัน กระหายน้ำ ปวดศีรษะ หรือตาพร่ามัว เป็นต้น
        
        เตรียมผู้คลอดและช่วยเหลือแพทย์เมื่อมีการใช้สูติศาสตร์หัตถการในการช่วยคลอด
        
        เตรียมมารดา C/S โดย ให้ NPO จองเลือด 2 U เจาะ CBC เตรียม Cefazolin 1 g. ไป OR ดูแล Retained foley’s cath และ Pep skin and perineum
        
        เตรียมอุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพมารดาและทารก
        
        ฟัง FHS ทุก 5 - 10 min เพื่อประเมินสภาพของทารก เพราะอาจเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ง่าย เนื่องจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี
    - - การควบคุมอาหารให้ได้รับแคลลอรี่ วันละ 30 - 35 kcal/kg/day โดยให้คาร์โบไฮเดรตวันละประมาณ 200 gm./day โปรตีนประมาณ 100 - 120 gm./day ไขมันประมาณ 60 - 80 gm./day
        
        จากการซักถาม พบว่ามารดาไม่ได้คำนวนพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
      - การควบคุมน้ำหนักตัว ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้เวลาครั้งละ 20 - 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าการควบคุมอาหาร
        
        มารดาออกกำลังกายโดยการเดินเท้า วันละ 10 - 20 นาที และทำงานบ้าน เช่น กวาดบ้าน ทุกวัน
      - การใช้ยาเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด โดยการควบคุมอินซูลิน เช่น การให้ NPH ที่ออกฤทธิ์ปานกลาง หลังฉีด 2 - 4 hr. และอยู่ได้นาน 28 - 34 hr. เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารใกล้เคียงกับคนที่ไม่เป็นเบาหวาน คือ 100 mg./dl. โดยจะออกฤทธิ์ในช่วงเย็นและค่ำ สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ และ RI ออกฤทธิ์สั้น หลังฉีด 30 - 45 min. และอยู่ได้นาน 2 - 4 hr. ความต้องการอินซูลินในสตรีตั้งครภ์ไตรมาสที่ 1 = 0.7 U/kg ไตรมาส 2 = 0.8 U/kg. และไตรมาส 3 = 0.9 U/kg. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดของแต่ละราย (นิตยา สินสุกใส, 2557)
        
        มารดาได้รับ RI 4-4-4 U ตลอดการตั้งครรภ์ โดยมารดาเริ่มได้รับ RI เมื่ออายุครรภ์ 23 สัปดาห์ ซึ่งมีสูตรในการให้ RI คือ ในไตรมาส 2 จะให้ 0.8 U/kg. และไตรมาส 3 จะได้รับ 0.9 U/kg. โดยมารดารายนี้มีน้ำหนักตัวในแต่ละไตรมาส คือ 49 - 52.5 kg., 51.9 - 55 kg. ซึ่งมารดารายนี้ควรได้รับ RI = 3.92- 4.2, 4.67 - 4.95 ตามลำดับของแต่ละไตรมาส ซึ่งจะพบว่าการให้ RI 4 U ตลอดการตั้งครรภ์นี้ ไม่เหมาะสมตามแต่ละไตรมาส เนื่องจากระยะแรกได้รับ RI มาก และในไตรมาส 2 และ 3 ได้รับน้อย ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะ Hypoglycemia และ Hyperglycemia ตามลำดับ
        
        ในเคสนี้ไม่ได้รับ NPH เนื่องจากไม่นิยมใช้ เพราะปรับยาลำบาก และทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อีกทั้งยังผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ ทำให้มีผลต่อทารกแรกเกิด คือ มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย (มณีกรณ์ โสมานุสรณ์, 2555)
      - การตรวจก่อนคลอดเพื่อประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
        
        U/S ตรวจเพื่อประเมินอายุทารกในครรภ์ และการเจริญเติบโตของทารก
        
        U/S วันที่ 26 มิ.ย. 62
        GA 19+3 wks. EFW 230 gm.
        
        NST มักทำเมื่ออายุครรภ์ 32 wks. โดยตรวจสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง
        
        ครั้งแรก NST วันที่ 2 ต.ค. GA 32 wks. ผล NST reactive
        
        การนับลูกดิ้น เริ่มนับเมื่ออายุครรภ์ 28 - 30 wks.
      - การพยาบาล
        
        ควรงดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพื่อจำกัดจำนวนน้ำตาลที่เข้าสูร่างกาย
        
        ควรมีการจัดมื้ออาหารเวลาที่รับประทาน ปริมาณและส่วนประกอบของออาหารแต่ะมื้อต้องคงที่ เพื่อสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามขนาดอินซูลิน ดังนี้ ถ้าฉีด RI ควรแบ่งอาหารเป็น 3 มื้อ เท่าๆกัน
        
        แนะนำการฉีดอินซูลิน ควรเปลี่ยนตำแหน่งที่ฉีดยาไปเรื่อยๆ เพื่อให้การดูดซึมอินซูลินได้ดี
        
        แนะนำให้ตรวจหาน้ำตาลในเลือดและปัสสาวะ เพื่อช่วยให้การควบคุมเบาหวาน ได้ผลดีตามแผนการรักษา
        
        ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้หลอดเลือดฝอยของกล้ามเนื้อที่กำลังทำงานถูกเปิดกลูโคสนำไปใช้มากขึ้น และอินซูลินดูดซึมได้เร็วขึ้น เริ่มออกกำลังกายในระยะเวลาสั้น แต่สม่ำเสมอ โดยแบ่งทำวันละ 3 - 4 ครั้ง ครั้งละ 5 - 10 นาที
        
        แนะนำให้มาตรวจตามนัด เพื่อประเมินอาการเป็นระยะ และให้การพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
        
        การรักษาความสะอาดร่างกาย รวมทั้งการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ เพระในระหว่างการตั้งครรภ์ อาจมีตกขาวมากและปัสสาวะบ่อย จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาในปัสสาวะเป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรีย
- - - - 26/06/62 FBS = 84 mg/dl
        13/08/62 FBS = 90 mg/dl
    - - 02/08/62 HbA1c = 5.0
    - - 23/04/62 พบ Sugar 4+
    - - การทดสอบความทนต่อกลูโคส :GTT โดยการทดสอบกินกลูโคสทางปาก
        
        29/04/62 OGTT = 79, 214, 225, 163
      - การทดสอบหาปริมาณน้ำตาลในเลือดหลัง 2 ชั่วโมง
        
        28/05/62 Blood sugar after 2 hr. 191 mg/dl
        10/06/62 Blood sugar after 2 hr. = 276 mg/dl 26/06/62 Blood sugar after 2 hr. 230 mg/dl