เคมีอินทรีย์

click to edit

ทฤษฏีพันธะเวเลนต์ (Valent Bond Theory) เป็นทฤษฎีที่ใช้ในการอธิบายการเกิดพันธะที่ซ้อนเหลื่อมกัน กล่าวคือ C ได้รับพลังงานในถ่ายเถ e- 1ตัวจากออร์บิทอล 2s ไปสู่ 2p (1s2 2s1 2px1 2py1 2pz1 ) เกิดการผสมกันของ e- ในออร์บิทอล 2s และ 2p จะเรียกการผสมแบบนี้ว่า ไฮบริไดเซชัน (Hydridization)

click to edit

ประเภทของปฏิกริยาในเคมีอินทรีย์

click to edit

click to edit

ระบบชื่อสามัญ (Common Names)  

click to edit

แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ (Intermolecular Forces)

click to edit

click to edit

พันธะเคมี (Chemical Bonding)

click to edit

คุณสมบัติของสารอินทรีย์

คุณสมบัติของสารอินทรีย์

  • สารประกอบเคมีอินทรีย์เป็นสารประกอบที่เกิดจากการดึงดูดกันระหว่างอะตอมของธาตุต่างๆ ด้วยพันธะโคเวเลนต์
  • สารประกอบเคมีอินทรีย์จะหลอมเหลวหรือสะลายตัวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 300 °C
  • ประกอบด้วยธาตุ C เป็นหลัก และธาตุอื่นๆเช่น H , N , O , S , Cl , Br

ทฤษฏีพันธะ (Chemical Bonding Theory) เป็นการศึกษาสมบัติทางกายภาพ และสมบัติทางเคมีของสารอินทรีซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบด้วยพันธะ C ที่เกิดจากการใช้คู่อิเล็กตรอนร่วมกันเรียกว่า พันธะโคเวเลนต์ (Covalent bond) โดย C จะมีการจัดเรียงตัวของ e- ดังนี้ 1s2 2s2 2p2 ซึ่งจากการตัดเรียนตัวดังกล่าวจะพบว่า C มีอิเล็กตรอนเดี่ยว 2 ตัวก็น่าจะสร้างได้เพียง 2 พันธะ แต่ในความเป็นจริง C กลับสร้างได้ถึง 4 พันธะ ทฤษฏีที่ใช้อธิบายหลังการดังกล่าวเรียกว่า ทฤษฏีพันธะเวเลนต์ (Valent Bond Theory)

click to edit

click to edit

แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

  1. แรงลอนดอน ( london foece ) เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงอ่อนๆ ซึ่งเกิดขึ้นในสารทั่วไป และจะมีค่าเพิ่มขึ้นตามมวลโมเลกุล
  1. แรงดึงดูดระหว่างขั้ว ( dipole – dipole force ) เป็นแรงยึดเหนี่ยนทางไฟฟ้าระหว่งสารประกอบโคเวเลนต์ที่มีขั้ว
  1. พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond , H – bond ) เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่มี H เป็นองค์ประกอบ

click to edit

click to edit

  1. สูตรโครงสร้างลิวอิส ใช้เส้นตรงแทนพันธะระหว่างธาตุ [องค์ประกอบทุกพันธะภายในโมเลกุลของสารอินทรีย์]
  1. สูตรโครงสร้างแบบย่อ ไม่แสดงพันธะเดี่ยวระหว่างธาตุองค์ประกอบ แต่จะแสดงพันธะคู่และพันธะสามในโมเลกุลของสารอินทรีย์
  1. สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม ใช้เส้นตรงแทนพันธะภายในโมเลกุล มุมของแส้นตรงแสดงทิศทางของพันธะ ไม่เขียนสัญลักษณ์ของธาตุ C และ H

click to edit

image

click to edit

click to edit

click to edit

  1. ปฏิกิริยาการแทนที่ (Substitution Reaction) เกิดเฉพาะสารประกอบคาร์บอนที่อิ่มตัวแล้ว เช่น Alkane, Alkylhalides

CH3 - CH2 - CH3 + Br2 CH3 - CH2 - CH2 - Br + HBr

  1. ปฏิกิริยาการเติม (Addition Reaction) เกิดเฉพาะสารประกอบคาร์บอนที่ยังไม่อิ่มตัว เช่น Alkane, Alkyne
  1. ปฏิกิริยาการขจัดออก (Elimination Reaction) เป็นการดึงเอาอะตอมใดๆ ออกจากโมเลกุล
  1. ปฏิกิริยาการเรียงตัวใหม่ (Rearrangement Reaction) เกิดสารประกอบคาร์บอนที่จัดเรียงตัวใหม่ แต่มีสูตรโมเลกุลเหมือนเดิมกับสารตั้งต้น
  1. ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน (Polymerization Reaction) เกิดสารประกอบคาร์บอนที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้นโดยมีหมู่ซ้ำๆกัน
  1. ปฏิกิริยาการแตกตัว (Cracking Reaction) ทำให้สารประกอบคาร์บอนโมเลกุลใหญ่มีโมเลกุลเล็กลง

click to edit

click to edit

click to edit

click to edit

ใช้เรียกชื่อโมเลกุลเล็กๆ ที่ไม่ซับซ้อน ถ้าโมเลกุลใหญ่ขึ้นอาจจะต้องเติมคำนำหน้า  เช่น n- , iso- , หรือ neo-   ลงไปด้วย ตัวอย่างเช่น

CH4 เรียกมีเทน

CH3 - CH2 - CH3 เรียกโพรเพน

CH3 - CH2 - CH2 - CH2 - CH3 เรียกนอร์มอลเพนเทน

CH3 - CH2 - CH2 - CH2 - CH2 - CH3 เรียกนอร์มอลเฮกเซน

click to edit

click to edit

click to edit

click to edit

click to edit

เรียกชื่อ

การเรียกชื่ออัลไคน์

click to edit

click to edit

  CHC - CH2 - CH3             ethylacetylene
        CH3 - C C - CH3              dimethylacetylene

CHC-CH3 methylacetylene

click to edit

ก. ชื่อสามัญ ใช้เรียกชื่อแอลไคน์ในโมเลกุลเล็กๆ โดยเรียกเป็นอนุพันธ์ของอะเซทิลีน ให้โครงสร้างของอะเซทิลีนเป็นหลักและถือว่าส่วนที่ต่ออยู่กับ C C เป็นหมู่แอลคิล การเรียกชื่อสามัญให้เรียกชื่อหมู่แอลคิลก่อนแล้วลงท้ายด้วยอะเซทิลีน ตัวอย่างเช่น

 CHCH                           acetylene

นางสาวอิศริยา วงศ์เจริญ รหัส 62011410112 (PHE)

อันไคน์

click to edit

. ชื่อ IUPAC ใช้เรียกโมเลกุลที่ใหญ่และซับซ้อนได้ โดยใช้หลักการอย่างเดียวกับการเรียกชื่อแอลคีน แต่เปลี่ยนคำลงท้ายเป็น -yne

เลือกโครงสร้างหลักยาวที่สุดที่มีพันธะสามก่อน บอกตำแหน่งของพันธะสามด้วยเลขที่น้อยที่สุด หลังจากนั้นจึงจะพิจารณาส่วนอื่นๆ ที่มาต่อกับโครงสร้างหลัก

click to edit

click to edit

click to edit