Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ทฤษฎีการเรียนรู้ (ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (3.2. รอเจอร์ส…

- - - - ทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนี้ (1.) พัฒนาการทางสติปัญญาจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่างๆเป็นลำดับขั้น ดังนี้
        1.1) ขั้นประสาทรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส(0-2ปี) ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
        1.2) ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (2-7 ปี) ยังไม่ใช้เหตุผล แต่ใช้สัญลักษณ์ได้ แบ่งการใช้ภาษาได้เป็น ขั้นก่อนเกิดสังกัป (2-4 ปี) เป็นช่วงที่เริ่มมีเหตุผล และขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ (4-7 ปี)
        1.3) ขั้นการคิดด้านรูปธรรม (7-11 ปี) สร้างภาพในใจ คิดย้อนกลับได้ 1.4 ขั้นการคิดด้วยนามธรรม (11-15 ปี) เริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ สามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่
        (2.) ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
        (3.)การบวนการทางสติปัญญา มี 3 ลักษณะดังนี้ 3.1)การดูดซึมข้อมูลเก็บไว้ 3.2)การปรับและจัดระบบ เชื่อมปสก.เดิมกับใหม่เข้าด้วยกัน เกิดโครงสร้างทางปัญญาขึ้น 3.3)เกิดสมดุล เกิดจากปรับเข้ากันได้
      - หลักการจัดการศึกษา ดังนี้ 1) จัดประสบการณ์ไห้เด็กเหมาะสมกับพัฒนาการทางสติปัญญา โดยจัดสภาพแวดล้อม ไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก และใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม
        2) ควรความสนใจและสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิด
        3) สอนเด็กเล็ก ๆ เด็กจะรับรู้ส่วนรวม ได้ดีกว่าส่วนย่อย
        4) ในการสอนสิ่งใดให้กับเด็ก ควรเริ่มจากสิ่งที่เด็กคุ้นเคย แล้วจึงเสนอสิ่งใหม่ที่มีความสัมพันธ์กันจะช่วยซึมซับและจัดระบบได้ดี
        5) การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมาก ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
    - - เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง
        ทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนี้ 1) การจัดโครงสร้างของความรู้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
        2) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ
        3) การคิดแบบหยั่งรู้ เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระ ช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
        4) แรงจูงใจภายในช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้
        5) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ขั้นใหญ่ ๆ คือ1.ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ2.ขั้นการเรียนรู้จากความคิด 3.ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม
        6) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการสร้างความคิดรวบยอด
        7) การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุด คือ การให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
      - หลักการจัดการศึกษา ดังนี้ 1) กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเองสำคัญ
        2)ก่อนสอนควรการวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสม
        3)การจัดหลักสูตรแบบเกลียว (Spiral Curriculum) ช่วยให้สามารถสอนเนื้อหารวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้
        4)ให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระ
        5)การสร้างแรงจูงใจภายในจำเป็นในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน
        6)การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน และได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
        7)การสอนความคิดรวบยอดให้แก่ผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็น
- - - - กฎการเรียนรู้ ได้แก่
        1.) กฎแห่งความพร้อม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
        2.) กฎแห่งการฝึกหัด ด้วยความเข้าใจจะทำให้คงทนถาวร
        3.) กฎแห่งการใช้ ทำให้เกิดความมั่งคงของการเรียนรู้
        4.) กฎแห่งผลที่พึงพอใจ โดยให้รางวัลเด็ก
  - - - การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค = สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข(กระดิ่ง) + สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข(ผงเนื้อ) = การเรียนรู้(สุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล) เป็นการเชื่อมโยงทั้งสามสิ่งเพื่อเกิดการเรียนรู้การเรียนรู้ต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
      - ทฤษฎีการเรียนรู้ พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ เป็นดังนี้
        1.) จากการวางเงื่อนไขที่ตอบสนองต่อความต้องการทางธรรมชาติ
        2.) สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ
        3.) เกิดจากสิ่งเร้าทั้งสองจะลดลงเรื่อย ๆ และหยุดลงในที่สุดหากไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ
        4.) สิ่งเร้าทั้งสองจะลดลงและหยุดไปเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ และจะกลับมาโดยไม่ต้องใช้สิ่งเร้าตามธรรมชาติ
        5.)คนจะรับรู้สิ่งเร้าที่คล้ายๆกันและตอบสนองเหมือนๆกัน
        6)คนมีแนวโน้มที่จะจำแนกและตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ต่างกันได้
        7.)กฎแห่งการลดภาวะ เช่น การให้แต่เสียงกระดิ่งอย่างเดียว โดยไม่ให้ผงเนื้อบดตามมา จะทำให้สุนัขเกิดปฏิกิริยาน้ำลายไหลลดลงเรื่อย ๆ
        8.)กฎแห่งการฟื้นคืนสภาพ การตอบสนองลดลงเพราะได้รับแต่สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว จะกลับปรากฎเพิ่มมากขึ้น ๆ ถ้ามีการเรียนรู้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องมีสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขมาเข้าคู่ช่วย
        9.)กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อื่นๆ เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้ำลายไหลจากการสั่นกระดิ่งแล้ว เมื่อสุนัขตัวนั้นได้ยินเสียงระฆังหรือเสียงฉาบจะมีอาการน้ำลายไหลทันที
        10.)กฎแห่งความแตกต่าง สุนัขไม่ตอบสนองต่อเสียงอื่นนอกจากเสียงของกระดิ่งเนื่องจากเกิดการเรียนรู้แล้ว
      - หลักการจัดการศึกษา ดังนี้
        1) การนำความต้องการทางธรรมชาติมาใช้เป็นสิ่งเร้า
        2) ใช้วิธีเสนอสิ่งที่จะสอนไปพร้อม ๆ กับสิ่งเร้าที่ชอบตามธรรมชาติ
        3) การนำเรื่องที่เคยสอนไปแล้วมาสอนใหม่
        4) การจัดกิจกรรมการเรียนให้ต่อเนื่องและมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
        5) การเสนอสิ่งเร้าให้ชัดเจน
        6) ควรมีการใช้สิ่งเร้าหลายแบบ
    - - หลักการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
        1) การสร้างพฤติกรรมควรคำนึงถึงสิ่งเราที่เหมาะกับภูมิหลังและความต้องการควบคู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
        2) การลบพฤติกรรมที่ไม่ดี โดยใช้สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขมาช่วย
      - ทฤษฎีการเรียนรู้ (หนูขาว) ดังนี้ 1) พฤติกรรมควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จะคงทนถาวรสิ่งเร้าสัมพันธ์กันเสมอ
        2) สามารถทำให้เกิดละลดพฤติกรรมได้
    - - ทฤษฎีการเรียนรู้ (สกินเนอร์) ดังนี้ 1) การกระทำที่ได้รับการเสริมแรงจะเกิดขึ้นอีก ส่วนการกระทำที่ไม่มีการเสริมแรงความถี่ของการกระทำจะลดลงและหายไป
        2) การเสริมแรงที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัว
        3) การลงโทษทำให้เรียนรู้ได้เร็วและลืมเร็ว
        4) การให้แรงเสริมหรือให้รางวัลช่วยปรับหรือปลูกฝังนิสัยที่ต้องการได้
      - หลักการจัดการศึกษา ดังนี้ 1)การให้การเสริมแรงหลังการตอบสนองที่เหมาะสมของเด็กจะช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนอง
        2) การเปลี่ยนรูปแบบการเสริมแรงจะช่วยให้การตอบสนองของผู้เรียนคงทนถาวร
    - - กฎการเรียนรู้ (ปล่อยแมวที่หิวจัดเข้าไปในกล่องปัญหา) ดังนี้1) กฎแห่งความต่อเนื่อง เมื่อมีสิ่งเร้าที่เกิดพร้อมกับอาการเคลื่อนไหว เมื่อสิ่งเร้านั้นเกิดขึ้นอีก อาการเคลื่อนไหวเดิมก็จะเกิดตามมา
        2) กฎของการกระทำครั้งสุดท้าย ถ้าการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการกระทำครั้งสุดท้าย เมื่อเกิดขึ้นอีกก็จะทำเช่นเดิม
        3) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้แม้จะครั้งเดียว
        4) หลักการจูงใจ เน้นมากกว่าการเสริมแรง คล้ายพาฟลอฟและวัตสัน
      - หลักการจัดการศึกษา ดังนี้ 1) ขณะสอนครูควรสังเกตการกระทำของเด็ก ถ้าครูให้สิ่งเร้าที่น้อยกว่าก็จะเปลี่ยนการกระทำเด็กไม่ได้
        2) ควรวิเคราะห์งานออกเป็นส่วนย่อย ๆ
        3) ไม่ควรปล่อยให้นักเรียนจบการเรียนโดยได้รับคำตอบผิด
        4) การสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้เรียนต้องมี
- - - - สมรรถภาพการเรียนรู้ของมนุษย์ไว้ 5 ประการ ดังนี้ 2.1) สมรรถภาพในการเรียนรู้ข้อเท็จจริง เรียนรู้โดยอาศัยความจำและความสามารถระลึกได้ 2.2) ทักษะเชาว์ปัญญา เป็นความสามารถในการใช้สมองคิดหาเหตุผล โดย ความสามารถในการจำแนก / การคิดรวบยอกเป็นรูปธรรม / การให้คำจำกัดความของความคิดรวบยอด /การเข้าใจกฎและใช้กฎ / การแก้ปัญหาควรได้รับการฝึก 2.3) ยุทธศาสตร์ในการคิด ทำงานภายในสมองของมนุษย์ 2.4) ทักษะการเคลื่อนไหว 2.5) เจตคติ
      - 1.ประเภทของการเรียนรู้ จากง่ายไปยากไว้ 8 ประเภท ดังนี้
        1.1) สัญญาน เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ(พาฟลอฟ) 1.2) สิ่งเร้า-การตอบสนอง สามารถควบคุมพฤติกรรมตนเองได้ เพราะได้รับแรงเสริม (ธอร์นไคด์ และสกินเนอร์) และเป็นพื้นฐานของ1.3และ1.4 ด้วย 1.3) การเชื่อมโยงแบบต่อเนื่อง จาก1.2ที่ต่อเนื่องกันตามลำดับ เกี่ยวกับการกระทำ และการเคลื่อนไหว 1.4) การเชื่อมโยงทางภาษา คล้าย1.3 แต่เป็นการใช้ภาษา 1.5) ความแตกต่าง แยกแยะความต่างได้1.6) ความคิดรวบยอด จัดกลุ่มสิ่งเร้าที่มีความเหมือนหรือแตกต่างกัน โดยระบุลักษณะได้ และขยายความรู้ได้ 1.7) กฎ เกิดจากการรวมความคิดรวบยอดตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป และตั้งเป็นกฎเกณฑ์ 1.8) แก้ปัญหา เกิดภายในตัวผู้เรียน ใช้แก้ปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน