Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Birth Asphyxia (การพยาบาล (1.การดูแลเรื่องการหายใจและการให้ออกซิเจน …
Birth Asphyxia
การพยาบาล
1.การดูแลเรื่องการหายใจและการให้ออกซิเจน การดูแลการหายใจของทารก คือทําทางเดินหายใจให้โล่งอยู่เสมอ โดยดูดเสมหะในท่อหลอดลมคอ ปากและจมกู โดยใช้ความดันระหว่าง 60-80 มิลลิเมตรปรอท การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 15 วินาที โดยตลอดวงรอบของการดูดเสมหะไม่ควรนานเกิน 10-15 นาทีและให้ออกซิเจนก่อนและหลังดูด เสมหะทุกครั้ง
1.1 จัดท่านอนของทารกให้มีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนอย่างเหมาะสมและ เต็มที่ โดยใช้ผ้าหนุนบริเวณคอและไหล่ เพื่อให้ทางเดินหายใจตรงอากาศผ่านเข้าออกได้สะดวก
1.2 การให้ออกซิเจน เนื่องจากเด็กทารกมีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ออกซิเจนได้ง่าย การปรับให้ออกซิเจนจึงควรตรวจสอบให้แรงดนัออกซิเจนในเลือดแดงอยู่ระหว่าง 50-80 มิลลิเมตรปรอท และให้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
- การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.8-37.2 องศาเซลเซียส จัดให้ทารกนอนอยู่ในตู้อบ เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากผิวกายของทารก การแผ่รังสี สวมหมวก ถุงมือและถุงเท้า และเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้งเมื่อทารกถ่ายอุจจาระและ ปัสสาวะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ
- การดูแลให้ทารกได้รับสารน้ํำและสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของ ร่างกาย โดยให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา และให้นมทางสายยางโดยต้องตรวจสอบตําแหน่งของสาย ยางให้อยู่ในกระเพาะอาหารเสมอ บันทึกจํานวนนมที่ได้รับในแต่ละมื้อ ตรวจดูความสามารถในการ ทํางานของกระเพาะอาหารด้วยการตรวจสอบดูปริมาณของนมหรือน้ำย่อยก่อนให้นมทุกครั้ง
-
5.การช่วยเหลือครอบครัวให้เผชิญกับความเครียด ความวิตกกังวลได้และสามารถปรับตัว แสดงบทบาทการเป็นบิดามารดา โดยให้บิดามารดามีส่วนร่วมในการดูแลทารก พูดคุยกับบิดามารดา เกี่ยวกับอาการของทารกตลอดจนความก้าวหน้าในการรักษาพยาบาล โดยใช้คําพูดที่เข้าใจง่าย ให้ข้อมลูที่ตรงตามความเป็นจริง แสดงสีหน้าท่าทางที่แสดงออกถึงความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อบิดามารดา
-
การรักษา
- การรักษาประคับประคองและรักษาตามอาการ เมื่อทารกอาการดีขึ้นต้องติดตาม อาการต่อเนื่อง
- การรักษาในระยะแรกคลอด โดยการช่วยกู้ชีพในทารกแรกเกิด (neonatal resuscitation)
พยาธิสภาพ
ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด ทําให้เกิดการหายใจทางปาก หายใจไมสม่ํ่าเสมอและหัวใจเต้นช้าลง ส่งผลให้เกิดภาะเลือดเป็นกรด ค่าความเป็นกรด (pH) ต่ำลง ค่าความดันออกซิเจนในเลือด (PaO2) ลดลง ค่าความดันคาร์บอนไดออกไซด์(PaCO2) เพิ่มขึ้น การกระจายของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป จากเดิม เพื่อให้หัวใจและสมองได้รับเลือดและออกซิเจนอย่างสม่ํ่าเสมอ ปริมาณของเลือดที่ไปสู่ปอด ไต ลําไส้ และลําตัวจะลดลง ทําให้หลอดเลือดฝอยในปอดหดตวัมีเลือดไหลลัดผ่าน foramen ovale และ ductus arteriosus เข้าสู่ระบบหลอดเลือดของร่างกาย เพื่อไปเลี้ยงส่วนที่จําเป็นของร่างกาย คือ สมองและ หัวใจ ถ้าภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด นานเกิน 5 นาที หัวใจและสมองก็จะขาดออกซิเจน ถ้าทารกไม่ได้ รับการช่วยเหลืออย่างทันทวงทีจะทําให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดมากขนึ้ ทําให้เกิดหลอดเลือดฝอยในปอด หดตัวมากยิ่งขึ้น ทําให้การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
กรณีศึกษา
สำหรับผู้ป่วยรายนี้มีApgar Score ในวินาทีที่ 1 =0,วินาทีที่ 5 = 7
เป็น Severe Birth Asphysia
มีอาการ ไม่หายใจหลังคลอด เขียวและไม่มีHR
ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการคลอดท่าก้นและคลอดก่อนกำหนด
การรักษาได้ PPV *2 Cycle (CPR 15Min)และได้On ETT (Keep O2 saturation 93-95%)
ความหมาย
ภาวะที่ประกอบด้วย เลือดขาดออกซิเจน (hypoxemia) คารืบอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapnia) และภาวะกรดจากเมตาบอลิซึม หรือจากไม่มีการระบายอากาศที่ปอด (ventilation) และปริมาตรเลือดที่ผ่านปอด (pulmonary perfusion) น้อย หรือมีไม่เพียงพอ หลังจากการคลอด ส่งผลให้อวัยวะที่สำคัญ ขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ทำ ให้เกิดการสูญเสียหน้าที่และเสื่อมประสิทธิภาพของอวัยวะนั้นๆ และเกิดความพิการต่างๆทางสมองตามมา
-
สาเหตุการเกิด
3) ปัจจัยเสี่ยงด้านทารก ได้แก่ คลอดก่อน กำหนด ครรภ์แฝด ภาวะน้ำคร่ำมีขี้เทาปน ภาวะคับขันของ ทารกในครรภ์ และภาวะทารกเจริญต่ำกว่าปกติ
2) ปัจจัยเสี่ยงด้านการ คลอด ได้แก่ การคลอดท่าก้นทางช่องคลอด ภาวะผิดสัดส่วนของศีรษะทารกกับช่องเชิงกราน ภาวะสายสะดือถูกกดทับ
ระยะเวลา การคลอดยาวนาน
1) ปัจจัยเสี่ยงด้านมารดา ได้แก่ อายุมากกว่า 35 ปี ภาวะรกลอก
ตัวก่อนกำหนด ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนคลอดนาน และภาวะแทรกซ้อนเช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน
-
-