Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Retinopathy of Prematurity (ROP)…
Retinopathy of Prematurity (ROP)
สาเหตุ
ในระยะแรก ค.ศ. 1950 Campbell คาดว่าอาจจะเกิดจากการได้รับออกซิเจนในระยะปริกำหนด แต่การศึกษาระยะหลังพบว่า ทารกเกิดก่อนกำหนดเท่านั้นจึงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็น ROP
อายุครรภ์ < 33 สัปดาห์ หรือ น้ำหนัก < 1,500 กรัม
โดยเฉพาะทารกที่น้ำหนัก < 1,000 กรัม
ทารกที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและมีระดับออกซิเจนสูงเป็นเวลานาน
พยาธิสภาพ
จอประสาทตาปกติจะมีเส้นเลือดออกมาเลี้ยง เมื่ออายุครรภ์ได้ 16 wks. โดยเริ่มงอกจาก optic disc และเจริญออกไปด้านข้าง ไปถึงด้าน Nasal (ขอบประสาทตาด้านจมูก) เมื่ออายุครรภ์ได้ 32 wks. และเจริญออกไปด้าน temperal (ขอบประสาทตาด้านหางตา) เมื่อหลังคลอดปกติออกมาแล้วประมาณ 1 เดือน ในเด็กครบกำหนด เส้นเลือดที่เจริญเติบโตไม่เต็มที่จะไวต่อ O2
ในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดแทบทุกรายมักมีปัญหาเรื่องการหายใจจำเป็นต้องได้รับ O2 ในความเข้มข้นที่สูงกว่าในครรภ์ ส่งผลทำให้เส้นเลือดที่งอกออกจากจอประสาทตามีการหดตัวและตีบลง ในระยะแรกยังสามารถกลับคืนปกติได้แต่ถ้าได้รับนานๆ จะทำให้เส้นเลือดตีบและอุดตันหยุดการเจริญเติบโต ภาวะ Hypoxia ที่เกิดขึ้นกับทารกจะได้กะตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ของ Retina ที่ผิดปกติไป เส้นเลือดที่งอกใหม่จะเข้าไปในหลังเลนส์ตา Vitreous และดึงจอประสาทตาลอกหลุดได้ (Retina detachment) ตำแหน่งที่เกิดโรคคือตำแหน่งที่เส้นเลือดใหม่ไปถึง
ปัจจัยเสี่ยง
น้ำหนักแรกคลอด < 1,000 - 1,250 กรัม
อายุครรภ์น้อยกว่า 28 wks.
ได้รับ O2 เป็นเวลานานและได้รับความเข้มข้นสูง
Stage of disease
Stage 1
หลอดเลือด Retina ที่กำลังพัฒนาและอยู่ในระหว่างการงอกไปที่บริเวณขอบจอตา เกิดการหดตัวรุนแรงจากการกระตุ้นโดยออกซิเจนในเลือดที่มาก ถ้าระดับออกซิเจนสูงเพียงชั่วคราวการหดตัวนี้คลายออกได้ และไม่มีความผิดปกติ แต่ถ้าหากการหดรัดตัวนี้เป็นอยู่นานมากหรือเกิดขึ้นอย่างถาวรจอตาที่บริเวณส่วนปลายหลอดเลือดจะขาดเลือดไปเลี้ยงและจะเริ่มตายเห็นเป็นรอยต่อ (Demarcation line) ที่จอตา มีส่วนปกติสีเหลืองตัดกับจอตาที่ตายแล้วเห็นเป็นสีขาว
Stage 2
หลอดเลือดที่อุดตันเหล่านี้จะเริ่มมีการแบ่งตัวและมีการสร้าง Endothelium มากขึ้นเกิด Demarcation line เป็นเส้นหนาและยกตัวขึ้นเป็นสัน (Ridge) อาจเป็นสีขาวหรือสีครีม บริเวณเส้นรอต่อ
Stage 3
ระยะนี้ Ridge จะหนาตัวและสูงขึ้น มีสีชมพู หลอดเลือดบางส่วนจะเริ่มเดินทางทะลุจอตาเข้าไปในช่อง Vitreous ของลูกตา นำทั้งหลอดเลือด Fibroblast เข้าไปในน้ำของ Vitreous หลอดเลือดเหล่านี้อาจงอกเข้าไปจนถึงด้านหลังของเลนส์
Stage 4
เนื้อเยื่อผังผืด (Fibrous tissue) จะเริ่มหเตัวและดึงจอตาบางส่วนให้แยกออกจากชั้น Choroids (Partial retinal detachment) ทำให้การมองเห็นสูญเสียไป
Stage 5
จอตาแยกตัวจาก Choroids อย่างสมบูรณ์ โดยจอประสาทจาอาจห่อตัวเป็นลักษณะคล้ายกรวย ทำให้ตาบอดสนิท (Total Retinal Detachments)
การรักษา
การยิงเลเซอร์ (Laser photocoagulation)
การผ่าตัดด้วยวิธี Scleral Buckling
Cryotherapy การจี้ด้วยความเย็น เพื่อทำลายจอประสาทตาส่วนที่ขาดเลือดที่มีการงอกของเส้นเลือดผิดปกติ