Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกและสานักเคนส์ (แนวคิดเศรษฐศาสตร์เคนส์ (แนวคิด…
แนวคิดเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกและสานักเคนส์
แนวคิดเศรษฐศาสตร์นิโอคลาสสิก
ความหมาย
ความหมายที่แคบ เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกจะหมายถึงเศรษฐศาสตร์ของสํานักเคมบริดจ์ที่ก่อตั้งโดย Marshall
ความหมายกว้าง ซึ่งมักนิยมเรียกเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics) ที่เกิดขึ้นใหม่ตั้งแต่ทศวรรษ 1870 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่รวมทฤษฎีอรรถประโยชน์หน่วยสุดท้าย ทฤษฎีผลิตผลหน่วยสุดท้าย ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไป ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ ฯลฯ
ผู้นําทางความคิดของสํานักนีโอคลาสสิกกที่สําคัญที่สุดคือ
Alfred Marshal
ที่มา
นักเศรษฐศาสตร์ด้านประวัติแนวคิดเห็นว่าช่วงเวลาที่มีการจุดประกายทางความคิดของสํานักนีโอคลาสสิกและเริ่มมีการสร้างองค์ความรู้ตามแนวคิดนี้คือช่วงระหว่างปีค.ศ. 1870 – 1900 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศในยุโรป
แนวคิดเศรษฐศาสตร์เคนส์
ที่มา
เคนส์เป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการ
ฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสภาวะสงคราม ซึ่งเกิดปัญหา “เศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลก”
Great Depression (1930 – 1940)
ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของโลกยิ่งตกต่ําลง จนถึงจุดวิกฤตต่ําสุดในปีค.ศ. 1932 ที่อัตราการผลิตของโลกลดลงเหลือเพียงร้อยละ 62 และมีคนตกงานมากกว่า 30 ล้านคนหรือคิดเป็นอัตราการว่างงานประมาณร้อยละ 25
หลังจากสงครามโลกครั้งที่1 สหรัฐได้ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก มีการเจริญเติบโตขึ้นมากมาย แต่ในปลายปีค.ศ. 1929 ภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงของโลกได้ยุติลง เพราะผลผลิตส่วนเกินมีอยู่เป็นจํานวนมากทั้งการผลิตในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ให้ความสนใจใน 2 ประเด็น
ความผันผวนทางเศรษฐกิจ
รายได้ประชาชาติ
แนวคิด Keynes
ให้ความสนใจต่อทฤษฎีว่าด้วยการกําหนดระดับของการผลิต
เสนอว่าปัจจัยที่กําหนดระดับการจ้างงานและระดับการผลิตคือ “อุปสงค์ที่มีผล”(Effective Demand)
เสนอ นโยบายการคลัง” (Fiscal Policy) โดยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้องใช้งบประมาณแบบขาดดุล
แนวคิดของ Keynes ยังคงเชื่อในระบบทุนนิยม แต่เห็นว่า “รัฐ” ต้องมี
หน้าที่ในการรักษาระบบทุนนิยมให้คงอยู
การนําแนวคิดของ Keynes มาปฏิบัติใช้
การใช้นโยบายการคลัจากการลงทุนของรัฐ เพื่อช่วยคนตกงาน
ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ
ระบบประกันสังคม
เงื่อนไขภาวะสงคราม
เกิดการใช้จ่ายเงินจํานวนมากเพื่อฟื้นฟูยุโรป และเมื่อยุโรปฟื้นตัวก็จะเป็นคู่ค้าที่สําคัญกับสหรัฐฯ ซึ่งก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อสหรัฐฯ เพราะจะสามารถขายสินค้าให้กับประเทศต่างๆ ในยุโรปได้
ยุโรปไม่เป็นคอมมิวนิสต์
สหรัฐเข้าไปให้ความช่วยเหลือกับเยอรมนีดังนั้นเยอรมนีก็ต้องยอมรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นการทําลายลัทธินาซีในเยอรมนี