Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการถ่ายภาพ (ค.ศ. 1888 (บริษัท Eastmanไดป้ระดิษฐฟ์…
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการถ่ายภาพ
ค.ศ. 1676
โยฮานน์ สเตอร์ม(Johann Sturm) ประดิษฐก์ลอ้งรีเฟลกซ์เป็นกลอ้งแรกของโลก โดยใชก้ระจกเงาวางต้งั
ให้ได้มุม 45 องศาเพื่อรับแสงแลว้สะทอ้นเขา้ฉากรับภาพ ซ่ึงจะไดภ้าพหวัต้งัสะดวกต่อการมองภาพของผถู้่าย
ค.ศ. 1550-1573
ม่านบงัคบั ช่องรับแสง เพิ่มเติมในกลอ้งถ่ายภาพ
ปรากฏวา่ ภาพที่ชดัข้ึนกวา่ เดิมและใชก้ระจกเวา้เพื่อช่วย
ไดภ้าพที่สวา่ งข้ึนแต่ภาพยงัไม่คมชดั ตอมาได้ประดิษฐ์ ่
นูนและนา ไปใส่ไวใ้นช่องรับแสงของกลอ้ง ปรากฏวา่
ได้มีการพัฒนากล้องออบสคิวรา ได้สร้างเลนส์
ในการมองเห็นภาพใหเ้ห็นเป็นภาพหวัต้งั
ประวัติความเป็นมาของภาพถ่าย
.
ภาพเหมือนจริงจนในที่สุดในศตวรรษที่ 19 มนุษย์กป็ ระสบความสา เร็จในการคิดคน้กระบวนการสร้างภาพ
การถ่ายภาพมีวิวฒั นาการมาจากศาสตร์2 สาขาคือ สาขาฟิสิกส์ไดแ้ก่เรื่องของแสงและกลอ้งถ่ายภาพ
ตอ้งใชเ้วลานานและไดภ้าพที่ไม่เหมือนจริงทา ใหม้ นุษยค์ิดคน้ หาวิธีการสร้างภาพโดยใชเ้วลานอ้ยลงและใหไ้ด้
และสาขาเคมีในส่วนที่เกี่ยวกบั ฟิลม์ สารไวแสงและน้า ยาสร้างภาพ โดยในคร้ังแรกสุดเริ่มจากสาขาฟิสิกส์
ซ่ึงเกิดข้ึนเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตศ์กัราช
มนุษย์ในสมัยโบราณได้ใช้วิธีการวาดภาพเพื่อบันทึกความทรงจ าและใช้ในการสื่อความหมาย ซ่ึงการวาดภาพ
การถ่ายภาพได้มีการพัฒนามาหลายร้อยปี ก่อนที่จะมีกลอ้งถ่ายภาพเพื่อการบันทึกภาพใหเ้หมือนจริง
ค.ศ. 1826
กล้องออบสคิวราถ่ายภาพทิวทศัน์จากหนา้ต่างบา้นของเขาที่เมืองแกรส (Grass)โดยใช้เวลานานถึง 8 ชวั่ โมง
เมื่อนา แผน่ ดีบุกผสมตะกวั่ ฉาบสารบีทูเมน ล้างดว้ยส่วนผสมของน้า มนัจากตน้ลาเวนเดอร์(Lavender)กบั
โดยใชส้ ารบีทูเมนน้นั ยงัไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากสารบีทูเมนมีความไวแสงต ่า ภาพที่ไดม้ีคุณภาพยงัไม่ดีพอ
อยา่ งไรกต็ามวิธีการน้ีนบัไดว้า่ เป็นผลงานตน้แบบที่นกัวิทยาศาสตร์รุ่นหลงั ๆ ไดน้ า แนวคิดมาพฒั นาต่อไป
ค.ศ. 1841
วิลเลียม เฮนรี่ ทัลบอท (William Henry Talbot)
สามารถท าส าเนาจากภาพต้นฉบับไดห้ลาย ๆ ชุด ท้งันาย Daguerre และนาย Talbot ต่างกใ็ชก้ลอ้งออบสคิวราแบบ
ติดเลนส์ด้านหน้าซึ่งสามารถเลื่อนปรับระยะได้เพื่อหาระยะชัดของภาพ ส่วนแผน่ รับภาพจะติดไวด้า้นหลงัที่
ช่องมองภาพ
ได้พัฒนาระบบที่ชื่อ Calotype โดยสร้างภาพจากการบันทึกให้เป็ นภาพกลับสี (Negative Image ขณะน้นั ยงั
เป็นภาพสีขาวกบั ดา อย) ู่จากน้นั นา ภาพที่ไดม้าทา การสา เนาไดเ้ป็นภาพสีเหมือน (Positive Image) ซ่ึงวิธีการน้ี
ค.ศ. 1727-1777
ช่วงน้ีถือวา่ เป็นจุดเริ่มตน้ของสารเคมี
โดย โยฮัน เฮนริช ชุลตช์(Johann Heinrich Schulze)
ชาวเยอรมนั พบวา่ สารผสมของชอลก์กบั เกลือเงินไนเตรท
เมื่อถูกแสงแลว้จะทา ใหเ้กิดภาพสีดา
และนกัเคมีชาวสวีเดน พบวา่ แสงสีน้า เงินและสีม่วง
ของ Positive มีผลท าให้เกลือเงินไนเตรทและเกลือเงินคลอ
ไรด์เปลี่ยนเป็นสีดา ไดม้ากกวา่ แสงสีแดง
ค.ศ. 1837
จิตรกรชาวฝรั่งเศสซ่ึงเคยเขา้ร่วมสญั ญาดา เนินกิจการกบั เนียพซ์และหลงัจากเนียพซ์ถึงแก่กรรม เขาประสบ
ความสา เร็จในการคิดกระบวนการสร้างภาพที่เรียกวา่ ดาแกร์โอไทป์(Daguerreotype) เป็นการทา ใหเ้กิดภาพในกลอ้ง
ดว้ยปฏิกิริยาของแสงโดยใช้สารที่มีความไวแสงในการบันทึกภาพ
กระบวนการสร้างภาพระบบดาแกร์โอไทป์มีจุดเด่น คือระบบการถ่ายภาพจะใชแ้ผน่ โลหะเช่น แผน่
ทองแดงหรือแผน่ เงินฉาบน้า ยาไวแสงเมื่อนา ไปถ่ายภาพโดยทา ปฏิกิริยากบัแสงที่พอเหมาะแลว้ ผา่ นกระบวนการ
สร้างภาพและคงภาพตามล าดับ จะได้ภาพที่ละเอียด คมชัดลักษณะของภาพจะกลับซ้ายเป็ นขวาเหมือนภาพที่มอง
ผา่ นกระจกเงาถ่ายภาพคร้ังแรกไดเ้พียงหน่ึงภาพ นา ไปอดัขยายซ้า หลาย ๆ ภาพไม่ได้ในระยะแรก ๆ ผเู้ป็นแบบถ่าย
ตอ้งนงั่ นิ่ง ๆ นานถึงคร่ึงชวั่ โมง เพราะความไวของแสงของน้า ยายงัต่า มากในระยะหลัง ๆ ได้พัฒนาให้มีความไว
แสงสูงข้ึนตามลา ดบั การสร้างภาพระบบดาแกร์โอไทป์ถือไดว้า่ เป็นกระบวนการสร้างภาพสมยัใหม่ที่ยา่ งเขา้สู่การ
ถ่ายภาพยคุ ปัจจุบนั
ไดค้ิดคน้แผน่ รับภาพแบบแหง้โดยใชส้ ารเจลาตินซ่ึงมีชื่อเรียกระบบน้ีวา่ ระบบ Gelatin Dry Plate Silver
Bromide แผน่ รับภาพชนิดน้ีทา ใหช้่างถ่ายภาพไม่จา เป็นตอ้งชะโลมดว้ยน้า ยาเคมีเพื่อทา การลา้งภาพทนั ทีหลงัจาก
บนั ทึกภาพเสร็จเหมือนกรรมวิธีในระบบก่อนหนา้น้ีในช่วงทา้ยของทศวรรษ 1870 ความเร็วในการบันทึกภาพเหลือ
เพียง 1 ใน 25 วินาที
ค.ศ. 1880
ไดก้่อต้งับริษทั Eastman dry plate สี่ปีใหห้ ลงัทางบริษทัไดป้ระดิษฐแ์ผน่ รับภาพทา จากกระดาษทา ใหโ้คง้
งอไดเ้ป็นที่มาของคา วา่ "ฟิ ล์มถ่ายภาพ (Photographic Film)"
ค.ศ. 1888
บริษัท Eastmanไดป้ระดิษฐฟ์ิลม์แบบเป็นมว้นท้งัยงั
ประดิษฐก์ลอ้งถ่ายภาพแบบประหยดั
ใชช้ื่อวา่ "Kodak" ตวักลอ้งมีลกัษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมไม่มีการ
ปรับระยะชดัและมีความเร็วในการรับแสงตายตวั อีกท้งัไดท้ า การ
เปลี่ยนฟิ ล์มแบบกระดาษเป็ นแบบเซลลูลอยด์ (Celluloid)
ในปี ค.ศ. 1889 ผู้ใช้กล้อง Kodak เมื่อถ่ายภาพจนหมดมว้น
กจ็ะนา ฟิลม์ มาส่งใหบ้ ริษทั Kodak เพื่อเป็ นผู้จัดท าขบวนการ
สร้างภาพ ต่อมาในปีค.ศ. 1900 บริษทัยงัไดอ้อกกลอ้งรุ่นใหม่
มีชื่อวา่ "Brownie" เป็ นกล้องราคาประหยัดและได้รับความนิยม
อยา่ งกวา้งขวางกลอ้ง Brownie ออกมาอีกหลายรุ่น บางรุ่นยงัมีจา หน่ายจนสิ้นทศวรรษ 1960 ผลการประดิษฐ์ฟิ ล์ม
ม้วนของ Kodak ยงัเป็นกา้วสา คญั ในการประดิษฐก์ลอ้งถ่ายภาพยนตข์องนาย Thomas Edison's ในปี ค.ศ. 1891
Oskar Barnack
จากสถาบัน Ernst Leitz Optishe Werke ได้มีการประดิษฐ์ต้นแบบ กล้อง 35 มม. และผลิตออกจา หน่ายใน
ปี ค.ศ. 1925 ใชช้ื่อกลอ้งวา่ "Leica I" กล้อง 35 มม.ได้เป็ นที่นิยมเพราะขนาดกระทัดรัด และฟิ ล์มที่ใช้ได้รับการพัฒนา
ใหม้ีคุณภาพสูงข้ึนเรื่อย ๆ เป็นผลใหผ้ผู้ลิตกลอ้งต่างกล็งมาแข่งขนั ในตลาดน้ี
ได้น าเสนอกล้อง Rolleiflex เป็นกลอ้งขนาดเหมาะกบัการพกพาใชฟ้ิลม์ขนาด 120 ประกอบด้วยเลนส์
สองชุด ชุดหนึ่งใช้ส าหรับบันทึกภาพ อีกชุดหนึ่ง ใชก้ระจกสะทอ้นใหเ้กิดภาพบนกระจกฝ้าสา หรับมองภาพ
เรียกวา่ กลอ้งระบบสะทอ้นภาพเลนส์คู่(Twin-lens Reflex Cameras เรียกยอ่ ๆ วา่ TLR)
ได้ออกกล้องระบบสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว (Single-lens Reflex Camera เรียกยอ่ ๆวา่ SLR) กลอ้งดงักล่าว
ใช้ฟิ ล์ม 120 ความเป็นจริงในยคุ น้นั มีการผลิตกลอ้ง TLR และ SLR อยกู่ ่อนแลว้ แต่กลอ้งของ Rolleiflex กบั
ของ Exakgata มีขนาดกระทัดรัดพกพาสะดวกจึงเป็นที่นิยมมากกวา่ และอีก 3 ปี ให้หลัง Kine Exakta ได้ออกกล้อง
SLR ที่ใช้ฟิ ล์มขนาด 35 ม.ม. ซ่ึงเป็นแบบที่สามารถทา ตลาดไดด้ีทา ใหม้ีผผู้ลิตกลอ้งประเภทน้ีออกมาเป็นจา นวน