Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ…
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ และการดึงถ่วงน้ำหนัก (traction)
การดึงถ่วงน้ำหนัก (traction)
ชนิด
Skin Traction
1.กระดูกหักในเด็กเนื่องจากใช้แรงดึงน้อยและกระดูกสมานเร็ว
2.กระดูกหักในผู้ใหญ่บางรายเช่นกระดูกต้นขาส่วนคอหัก (fracture of neck of femur) เป็นการดึงชั่วคราวก่อนรับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายในหรือผ่าตัดเปลี่ยนข้อตะโพกเทียม
3.ใช้ในกรณีข้อเคลื่อนที่ได้รับการจัดดึงเข้าที่แล้ว
4.ใช้ในกรณีหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อตะโพกเทียมเพื่อ immobilization และจัด position ของขาผู้ป่วยให้อยู่ในท่ากางออก
ภาวะแทรกซ้อน
มีผื่นคัน
ผิวหนังหลุดลอก
เกิดแผลกดทับเฉพาะบริเวณตาตุ่ม
ส้นเท้าเกิด Common peroneal nerve palsy
มีการกดทับเส้นประสาท
Skeletal Traction
1.กระดูกสันหลังส่วนคอหักหรือเคลื่อน
2.กระดูกบริเวณข้อศอกหัก
3.กระดูกต้นขาหัก
4.กระดูกหน้าแข้งหัก
ภาวะแทรกซ้อน
เชื้อเข้าสู่กระดูกได้ง่าย
เกิดอันตรายต่อแผ่นเติบโตในเด็ก
ดึงมากชิ้นกระดูกถ่างแยก
อันตรายต่อเอ็น ข้อยึด
เกิดแผลบริเวณรอยแทงโลหะ
การพยาบาล
1.การดูแลให้ Traction ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2.สังเกตการติดเชื้อบริเวณ pin site และเช็ดทำความสะอาดด้วย 70 % Alcohol
3.กระตุ้นให้ทำ quadriceps exercise และ ROM exercise
4.blanching test
5.ประเมิน 7Ps
ผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก
โรคข้อสะโพกที่พบบ่อย
โรคหัวกระดูกตะโพกขาดเลือด (avascular necrosis) โรคนี้พบบ่อยในคนที่มีอายุประมาณ 30-40 ปี เช่น การดื่มแอลกอฮอล์หรือการรับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์เป็นประจำหรือภายหลังจากการได้รับการบาดเจ็บที่ทำให้มีการเคลื่อนหลุดของหัวตะโพกจากเบ้า
โรคข้อตะโพกเสื่อม (hip osteoarthritis) ส่วนมากพบในกลุ่มคนที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งก่อให้เกิดอาการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อเกิดได้กับข้อต่างๆทั่วร่างกายรวมทั้งข้อตะโพกมีอาการอักเสบแบบเป็นๆหายๆนานไปก็ทำให้ผิวข้อมีการสึกกร่อนและถูกทำลายไป
โรคข้อเสื่อมหลังการบาดเจ็บ (traumatic arthritis) โรคนี้พบภายหลังการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ทำให้ข้อตะโพกแตกหรือหลุดออกจากเบ้าตะโพกผิวข้อตะโพกหรือกระดูกไม่สมานกลับเป็นปกติ
โรคกระดูกต้นขาส่วนคอหัก (femoral neck fracture) พบได้ในทุกกลุ่มอายุแต่จะพบมากในผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคกระดูกพรุนร่วมด้วยคอกระดูกตะโพกหักเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อตะโพกเทียมบ่อยที่สุด
การพยาบาลก่อนการผ่าตัด
แนะนำให้ผู้ป่วยหรือญาติเตรียมตัวเตรียมสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่บ้านดังนี้
1 ปรับสภาพพื้นทางเดินในบ้านให้โล่งพื้นบ้านไม่ควรใช้วัสดุที่ลื่นและกำจัดสิ่งกีดขวางให้หมดเพื่อป้องกันการหกล้มเนื่องจากหลังผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องใช้วอล์คเกอร์ (walker) หรือไม้ค้ำยันรักแร้ (axillary Crutches) ในการช่วยเดินผู้ป่วยอาจสะดุดสิ่งกีดขวางจนเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้ถ้าเป็นไปได้ในระยะแรกหลังผ่าตัดใหม่ๆควรจัดให้ผู้ป่วยนอนชั้นล่างของบ้านและจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบสะดวกในการหยิบจับหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดบ่อยๆเพื่อรอการฟื้นฟูให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและทำงานได้ตามปกติก่อน
2 ห้องน้ำควรมีราวสำหรับจับยึดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้มพื้นห้องน้ำควรมีแผ่นรองกันลื่นและโถส้วมควรเป็นแบบนั่งชักโครกในกรณีที่เป็นแบบนั่งยองๆหรือส้วมซึมแนะนำให้ซื้อเก้าอี้สุขภัณฑ์มาวางครอบหรือใช้เก้าอี้เจาะรูตรงกลางแล้วนำไปวางครอบแทน
เตรียมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลตามสิทธิของผู้ป่วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อตะโพกเทียมมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเนื่องจากข้อตะโพกเทียมนั้นมีราคาแพง
ผู้ป่วยที่มีปัญหาฟันผุเหงือกอักเสบหูน้ำหนวกฝีที่ผิวหนังและสภาพของผิวหนังบริเวณข้อตะโพกที่จะผ่าตัดผิดปกติแนะนำให้รักษาให้เรียบร้อยก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปตามกระแสเลือดภายหลังผ่าตัดอันอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อของข้อตะโพกเทียมได้
ผู้ป่วยที่รับประทานยาประจำตัวเช่นแอสไพรินวาร์ฟารินหรือคูมาดินหรือยาต้านการอักเสบต้องให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานอย่างน้อย 7-10 วันก่อนการผ่าตัด
เตรียมเก้าอี้นั่งที่แข็งแรงเป็นเก้าอี้สูงมีที่ท้าวแขนมีพนักพิงตรงไว้ให้ผู้ป่วยนั่งไม่ควรใช้เก้าอี้ที่เป็นโซฟาเก้าอี้นอนหรือเก้าอี้โยกอาจทำให้เกิดข้อตะโพกเทียมเคลื่อนหลุดได้
แนะนำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักโดยการงดของหวานและอาหารมันๆทุกชนิด
แนะนำให้ผู้ป่วยงดสูบบุหรี่
ให้ผู้ป่วยบริหารกล้ามเนื้อและข้อให้แข็งแรงเพื่อช่วยให้ผลของการผ่าตัดดีและสามารถเดินได้เป็นปกติโดยเร็วภายหลังการผ่าตัดให้ทำแต่ละท่าอย่างสม่ำเสมอทุกวันวันละ 3-4 เวลา ได้แก่ เวลาเช้ากลางวันเย็นและก่อนนอนรวมแล้วให้ได้วันละ 100-200 ครั้งต่อ 1 ท่าบริหารและควรทำทั้ง 2 ข้างดังนี้ 10
การพยาบาลหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดดูแลท่อระบายเลือด (drain) ที่ต่อลงขวดสุญญากาศให้เป็นระบบปิด (closed system) ตลอดเวลาประเมินการเสียเลือดจากแผลผ่าตัดและจากขวดสุญญากาศที่ระบายเลือดออกจากแผลผ่าตัดสังเกตอาการผิดปกติจากการเสียเลือดหลังผ่าตัดและจดบันทึกจำนวนเลือดที่ออกมาอยู่ในขวดสุญญากาศถ้ามากกว่า 200 ซีซีต่อชั่วโมงรายงานแพทย์ท่อระบายเสือตนี้จะใส่ไว้ประมาณ 1-3 วันจนมีเลือดออกจากท่อระบายไม่เกิน 50 ซีซีต่อวันหรือไม่มีเลือดออกจากท่อระบายแพทย์จึงจะดึงท่อระบายออกแนะนำให้ผู้ป่วยระวังไม่ให้ท่อระบายเลื่อนหลุดเวลาขยับตัว
ประเมินอาการซีดของผู้ป่วยเจาะฮีมาโตคริต (Hct) ตามแผนการรักษาและรายงานแพทย์เมื่อ Hot ต่ำกว่าร้อยละ 30 และ / หรือจำนวนเลือดที่ออกมาอยู่ในขวดสุญญากาศมากกว่า 400 ซีซีต่อชั่วโมงแพทย์อาจจะพิจารณาให้เลือดดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการทดแทนเลือดตามปริมาณเลือดที่เสียขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดตามแผนการรักษา
เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวดีกระตุ้นให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆทางปาก 10 ครั้งทุกชั่วโมงขณะตื่นหากมีเสมหะให้สูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆกลั้นหายใจไว้สักครู่แล้วไอขับเสมหะออกมา
ตรวจวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยจนสัญญาณชีพอยู่ในระดับคงที่และตวงจำนวนของปัสสาวะที่ออกมาทุกชั่วโมงถ้าน้อยกว่า 20 ซีซีต่อชั่วโมงรายงานแพทย์เพื่อประเมินความสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิต
ผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลังดูแลให้นอนราบหนุนหมอนได้ 1 ใบอย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงสังเกตกำลังของกล้ามเนื้อและความรู้สึกชาของขาทั้งสองข้างและประเมินการถ่ายปัสสาวะในกรณีที่ไม่ได้คาสายสวนปัสสาวะและช่วยเปลี่ยนอิริยาบถให้ผู้ป่วยหรือช่วยในการพลิกตะแคงตัวเพื่อป้องกันแผลกดทับทุก 2 ชั่วโมง
ผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปถ้าไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจัดให้ผู้ป่วยนอนหนุนหมอนได้ 1 ใบแต่ถ้ามีอาการดังกล่าวจัดท่าให้ผู้ป่วยนอนราบไม่หนุนหมอนแล้วจับผู้ป่วยตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้สำลักเอาเศษอาหารเข้าปอดซึ่งจะทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจแล้วให้ผู้ป่วยบ้วนปากให้สะอาด
ดูแลให้ได้รับสารน้ำและสารอาหารตามแผนการรักษา
สังเกตและประเมินอาการปวดแผลผ่าตัดโดยใช้มาตรวัดระดับความปวด numeric rating Scale (0 ถึง 10) อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอพร้อมทั้งบันทึกระดับความปวดในฟอร์มปรอทดแลให้ได้รับยาบรรเทาตามแผนการรักษาทุก 4 ชั่วโมงหรือเมื่อผู้ป่วยต้องการและสังเกตอาการข้างเคียงของยาและบรรเทาอาการปวดแผลโดยในระยะแรกหลังผ่าตัดจะปวดมากแพทย์จะให้ยาในกลุ่มโอพออยด์วิธีการอาจให้ผู้ป่วยควบคุมการให้ยาแก้ปวดด้วยตนเอง (Patient Control Analgesia PCA) โดยใช้เครื่อง PCAให้อธิบายวิธีการใช้เครื่องนี้แก่ผู้ป่วยนอกจากนั้นการให้ยาแก้ปวดอาจให้ทางไขสันหลัง (epidural analgesia) และอาจให้ยากลุ่มโอพออยด์เข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้ากล้ามเนื้อต้องประเมินผลข้างเคียงของยาเกี่ยวกับการกดศูนย์หายใจและประเมิน sedative Score ด้วยนอกจากนั้นประเมินอาการท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยเนื่องจากถูกจำกัดการเคลื่อนไหวและได้รับยากลุ่มโอพออยด์อาการปวดจะลดลงในระยะเวลา 4-5 วันและอาจมีอาการปวดบ้างในสองสัปดาห์แรกของการทำกายภาพบำบัด
ตรวจดูแผลผ่าตัดของผู้ป่วยถ้าแผลชุ่มให้เปลี่ยนผ้าพันแผลหรือทำแผลด้วยเทคนิคปลอดเชื้อและพันด้วยผ้ายืด (elastic bandage) ให้กระชับถ้าแผลแห้งสะอาดไม่มีกลิ่นไม่มีไข้ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลผ่าตัดรอจนกระทั่งถึงวันตัดไหมได้เลย 10. จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนกางขาข้างที่ทำผ่าตัดประมาณ 15 องศา (กรณีผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเข้าทางด้าน posterior) โดยใช้หมอนคั่นระหว่างขาทั้งขณะนอนหงายราบและเมื่อพลิกตะแคงตัวเพื่อป้องกันข้อตะโพกเทียมเคลื่อนหลุดยกเว้นในบางรายที่ต้องนอนหุบขา (กรณีผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเข้าทางด้าน anterolateral) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการผ่าตัดของแพทย์และกระตุ้นให้ผู้ป่วยบริหารข้อเท้าดังท่าที่ 2 ได้ทุกชั่วโมงขณะตื่นเพื่อให้การไหลเวียนโลหิตดี 11. เมื่อผู้ป่วยตื่นดีจากการได้รับยาระงับความรู้สึกแล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้ตามปกติ
ประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับโดยใช้ Braden Scale ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับจัดให้นอนบนที่นอนลมหรือที่นอนฟองน้ำและช่วยพลิกตะแคงตัวให้ผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงพร้อมกันนี้ดูแลผิวหนังผู้ป่วยให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอโดยเฉพาะบริเวณหลังและก้นกบหมั่นสังเกตรอยแดงบริเวณผิวหนังและปูผ้าปูที่นอนให้เรียบตึงไม่มีรอยย่นยับเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ 13. ช่วยเหลือและกระตุ้นให้ผู้ป่วยเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆโดยการตั้งขาชันเข่าข้างที่ไม่ผ่าตัดขึ้นใช้มือโหนตัวจับ trapeze ที่อยู่เหนือเตียงแล้วยกก้นขึ้นบ่อยๆให้ขาข้างผ่าตัดอยู่ในแนวตรงห้ามงอตะโพกและท่านี้เป็นท่าที่ใช้ในการสอดหม้อนอนชนิดแบน fracture bed pan) ให้กับผู้ป่วยในการขับถ่ายด้วย
ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด
การติดเชื้อ
การเลื่อนหลุดของข้อสะโพกเทียม
อัมภาตของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงที่ขา
การเกิดลิ่มเลือดดำที่ขา
ลำไส้ไม่เคลื่อนไหว
การหักของกระดูกบริเวณข้อสะโพกเทียม
การหลวมของข้อสะโพกเทียม
การสึกหรอมากของข้อสะโพกเทียม
ผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
ปัจจัยเสี่ยง
มักพบในเพศหญิงอายุตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน
การใช้ข้อเข่าในท่าที่มีแรงกระทำกับข้อเข่ามากเช่นการใช้งานยืนเดินเกินปกติการเล่นกีฬาบางชนิด
การได้รับบาดเจ็บเช่นกระดูกหักในข้อเอ็นข้อเข่าฉีกขาดหรือติดเชื้อในข้อเข่า
โรคข้ออักเสบเรื้อรังบางอย่างเช่นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โรคเก๊าท์
การพยาบาลก่อนการผ่าตัด
แนะนำให้ผู้ป่วยหรือญาติเตรียมตัวเตรียมสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่บ้านดังนี้
1 ปรับสภาพพื้นทางเดินในบ้านให้โล่งพื้นบ้านไม่ควรใช้วัสดุที่ลื่นและกำจัดสิ่งกีดขวางให้หมดเพื่อป้องกันการหกล้มเนื่องจากหลังผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องใช้วอล์คเกอร์ (walker) ช่วยในการเดินถ้าเป็นไปได้ในระยะแรกหลังผ่าตัดใหม่ๆควรจัดให้ผู้ป่วยนอนชั้นล่างของบ้านและจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบสะดวกในการหยิบจับหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดบ่อยๆเพื่อรอการฟื้นฟูให้กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าแข็งแรงและทำงานได้ตามปกติก่อน
2 ห้องน้ำควรมีราวสำหรับจับยึดพื้นห้องน้ำควรมีแผ่นรองกันลื่นและโถส้วมควรเป็นแบบนั่งชักโครกในกรณีที่เป็นแบบนั่งยองๆหรือส้วมซึมแนะนำให้ซื้อเก้าอี้สุขภัณฑ์มาวางครอบหรือใช้เก้าอี้เจาะรูตรงกลางแล้วนำไปวางครอบแทน
เตรียมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลตามสิทธิของผู้ป่วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเนื่องจากข้อเข่าเทียมนั้นมีราคาแพงหลายหมื่นบาทขึ้นไป
ผู้ป่วยที่มีปัญหาฟันผุเหงือกอักเสบหูน้ำหนวกฝีที่ผิวหนังและสภาพของผิวหนังบริเวณข้อเข่าที่จะผ่าตัดผิดปกติแนะนำให้รักษาให้เรียบร้อยก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปตามกระแสเลือดภายหลังผ่าตัดอันอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อของข้อเข่าเทียมได้
ผู้ป่วยที่รับประทานยาประจำตัวเช่นแอสไพรินวาร์ฟารินหรือคูมาดินหรือยาต้านการอักเสบต้องให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานอย่างน้อย 7-10 วันก่อนการผ่าตัด
แนะนำให้ผู้ป่วยงดสูบบุหรี่
ฝึกให้ผู้ป่วยบริหารกล้ามเนื้อและข้อให้แข็งแรงเพื่อช่วยให้ผลของการผ่าตัดดีและสามารถเดินได้เป็นปกติโดยเร็วภายหลังการผ่าตัดให้ทำแต่ละท่าอย่างสม่ำเสมอทุกวันวันละ 3-4 เวลา ได้แก่ เวลาเช้ากลางวันเย็นและก่อนนอนรวมแล้วให้เกินวันละ 100-200 ครั้งต่อ 1 ท่าบริหารและควรทำทั้ง 2 ข้างดังนี้ท่าที่ 1 บริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าโดยการนั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังมีหมอนหนุนหลังหรือบนเตียงแล้วเหยียดข้อเข่าตรงและเกร็งค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีโดยการนับ 1-10 แล้วจึงคลายและงอข้อเข่าลงการทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการบริหารกล้ามเนื้อ 1 ครั้งยิ่งทำมากกล้ามเนื้อยิ่งมีกำลัง
การพยาบาลหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดตรวจดูท่อระบายเลือด (drain) ที่ต่อลงขวดสุญญากาศให้เป็นระบบปิด (closed system) ตลอดเวลาประเมินการเสียเลือดจากแผลผ่าตัดและจากขวดสุญญากาศที่ระบายเลือดออกมาจากแผลผ่าตัดสังเกตอาการผิดปกติจากการเสียเลือดหลังผ่าตัดและจดบันทึกจำนวนเลือดที่ออกมาอยู่ในขวดสุญญากาศถ้ามากกว่า 200 ซีซีต่อชั่วโมงรายงานแพทย์ท่อระบายเลือดนี้จะใส่ไว้ประมาณ 1-3 วันจนมีเลือดออกจากท่อระบายไม่เกิน 50 ซีซีต่อวันหรือไม่มีเลือดออกจากท่อระบายแพทย์จึงจะดึงท่อระบายออกต้องแนะนำให้ผู้ป่วยระวังไม่ให้ท่อระบายเลื่อนหลุด
ประเมินอาการซีดและการเสียเลือดของผู้ป่วยโดยเจาะฮีมาโตคริต (Hct) ตามแผนการรักษาและรายงานแพทย์เมื่อ Hct ต่ำกว่าร้อยละ 30 และ / หรือจำนวนเลือดที่ออกมาอยู่ในขวดสุญญากาศมากกว่า 400 ซีซีต่อชั่วโมงแพทย์จะพิจารณาให้เลือดทดแทนตามปริมาณเลือดที่เสียขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดแพทย์อาจจะใส่ knee slab รองขาด้านหลังยาวตลอดขาเพื่อให้ข้อเข่าเหยียดสุด (full extension) ให้สังเกตอาการผิดปกติและภาวะแทรกซ้อนจากการเข้าเฝือกเช่นเสือกกดและอาการปวดเป็นต้น
เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวดีกระตุ้นให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆทางปากทำ 10 ครั้งทุกชั่วโมงขณะตื่นหากมีเสมหะให้สูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆกลั้นหายใจไว้สักครูแล้วไอขับเสมหะออกมา(Patient Control Analgesia. PCA)
ตรวจวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยจนสัญญาณชีพอยู่ในระดับคงที่และตวงจำนวนของปัสสาวะที่ออกมาทุกชั่วโมงเพื่อประเมินความสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิต
ผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลังจัดท่าให้นอนราบหนุนหมอนได้ 1 ใบอย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงสังเกตกำลังของกล้ามเนื้อและความรู้สึกชาของขาทั้งสองข้างและประเมินการถ่ายปัสสาวะในกรณีที่ไม่ได้คาสายสวนปัสสาวะไว้ถ่ายออกได้เองหรือไม่ได้ภายใน 6-8 ชั่วโมงหลังผ่าตัดถ้าผู้ป่วยไม่สามารถถ่ายปัสสาวะออกเองได้กระเพาะปัสสาวะโป่งตึงให้รายงานแพทย์เพื่อสวนออกเป็นครั้งคราว
ผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วไปถ้าไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนดูแลให้นอนหนุนหมอนได้ 1 ใบแต่ถ้ามีอาการดังกล่าวจัดท่าให้นอนราบไม่หนุนหมอนตะแคงหน้าผู้ป่วยไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้สำลักเอาเศษอาหารเข้าปอดซึ่งจะทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจแล้วให้ผู้ป่วยบ้วนปากให้สะอาด
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำสารอาหารและยาตามแผนการรักษา
สังเกตและประเมินอาการปวดแผลผ่าตัดโดยใช้มาตรวัดระดับความปวด numeric rating Scale (0 ถึง10) อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอพร้อมทั้งบันทึกระดับความปวด (pain Score) ในฟอร์มปรอทโดยทั่วไปอาการปวดจะลดลงในระยะเวลา 4-5 วันและอาจมีอาการปวดบ้างในสองสัปดาห์แรกของการทำกายภาพบำบัดการดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาบรรเทาปวดตามแผนการรักษาทุก 4 ชั่วโมงหรือเมื่อผู้ป่วยต้องการโดยในระยะแรกหลังผ่าตัดจะปวดมากแพทย์จะให้ยาในกลุ่มโอพออยด์วิธีการอาจให้ผู้ป่วยควบคุมการให้ยาแก้ปวดด้วยตนเอง
(Patient Control Analgesia. PCA) โดยใช้เครื่อง PCA ให้อธิบายวิธีการใช้เครื่องนี้แก่ผู้ป่วยนอกจากนั้นการให้ยาแก้ปวดอาจให้ทางไขสันหลัง (epidural analgesia) และอาจให้ยากลุ่มโอพออยด์เข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้ากล้ามเนื้อต้องประเมินผลข้างเคียงของยาเกี่ยวกับการกดศูนย์หายใจและประเมิน Sedative Score ด้วยนอกจากนั้นให้ประเมินอาการท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยเนื่องจากผู้ป่วยถูกจำกัดการเคลื่อนไหวและได้รับยากลุ่มโอพออยด์
ตรวจดูแผลผ่าตัดของผู้ป่วยถ้าแผลชุ่มให้เปลี่ยนผ้าพันแผลหรือทำแผลด้วยเทคนิคปลอดเชื้อและพันด้วยผ้ายืด (elastic bandage) ให้กระชับถ้าแผลแห้งสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นไม่มีไข้ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลผ่าตัดรอจนกระทั่งครบกำหนดตัดไหมแล้วจึงเปิดแผลก็ได้
จัดท่าผู้ป่วยโดยวางขาข้างที่ทำผ่าตัดสูงบนหมอนในท่าเข่าเหยียดตรงส้นเท้าลอยโดยใช้หมอนวางใต้ข้อเท้าห้ามวางหมอนใต้ข้อพับเข่าเพื่อป้องกันข้อเข่าติดในลักษณะเข่างอลดอาการบวมของขาข้างที่ผ่าตัดและกระตุ้นให้ผู้ป่วยบริหารข้อเท้าดังท่าที่ 4 ได้ทุกชั่วโมงขณะตื่น
เมื่อผู้ป่วยตื่นดีจากการได้รับยาระงับความรู้สึกแล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้ตามปกติ 7
ประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับโดยใช้ Braden Scale ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับจัดให้นอนบนที่นอนลมหรือที่นอนฟองน้ำและช่วยพลิกตะแคงตัวให้ผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงพร้อมกันนี้ดูแลผิวหนังผู้ป่วยให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอโดยเฉพาะบริเวณหลังและก้นกบหมั่นสังเกตรอยแดงบริเวณผิวหนังและปูผ้าปูที่นอนให้เรียบตึงไม่มีรอยย่นยับเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับและเฝ้าระวังการกดทับของเฝือกจากการใส่ knee slab ด้วย
ช่วยเหลือและกระตุ้นให้ผู้ป่วยเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆโดยการแนะนำให้ผู้ป่วยตั้งขาชันเข่าข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดขึ้นใช้มือโหนตัวจับ trapeze ที่อยู่เหนือเตียงแล้วยกก้นขึ้นบ่อยๆ
ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
1.การบาดเจ็บของหลอดเลือด และเส้นประสาท
2.การติดเชื้อ
3.ข้อเข่าติดแข็ง
4.กระดูกหัก และข้อเคลื่อน
5.การเคลื่อนของสะบ้า
6.ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำที่ขา
7.หลอดเลือดดำส่วนลึกอุดตัน
8.ข้อไม่มั่นคง
9.ข้อหลวม หลุด
10.เกิดแผลกดทับ ท้องอืด เกิดความเครียด
การพยาบาลผู้ป่วยเข้าเฝือก
การพยาบาลหลังเข้าเฝือก
1.สังเกตลักษณะของเฝือกว่ามีการแน่นหรือหลวมเกินไปหรือเปล่า
2.ประเมิน 7Ps
3.สอดหมอนไว้ใต้เฝือก
4.จัดให้แขน ขา เหยียดตรง ไม่โก่งงอ
5.แนะนำการดูแลรักษาเฝือกปูน
6.กระตุ้นให้ทำ isometric exercise
7.กระตุ้นให้รับประทานอาหารประเภทโปรตีน วิตามินซี และแคลเซียมสูง
8.ดูแลช่วยเหลือเรื่องการขับถ่าย
9.มีการจัดท่านอน และเปลี่ยนท่าทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ
ภาวะแทรกซ้อนหลังเข้าเฝือก
1.การสูญเสียตำแหน่ง หรือหลุดออกจากกัน
2.เกิดแผลจากการถูกเฝือกกดทับนานๆ
3.การไหลเวียนของเลือดไม่มีประสิทธิภาพ
4.การสูญเสียกำลัง หรือความรู้สึก
5.อาจมีข้อติดแข็ง หรือกล้ามเนื้อลีบ
Amputation
การพยาบาลหลังการผ่าตัด
1.การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระยะแรกๆ
บวม : ยกแขนขาสูง 24-48 hr.
เลือดออก
ความพิการของข้อสะโพก
รองได้ 24 hr. แรกหลังการผ่าตัดเท่านั้น และกระตุ้นให้นอนคว่ำบ่อยๆนาน 30 นาที
2.การดูแลด้านจิตใจ
3.จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน และเฝ้าระวังการติดเชื้อ
4.จัดท่านอนหงายราบกับที่นอน ขาเหยียดตรงตลอดเวลา ใช้หมอนทรายวางไว้ข้างต่อขา ไม่ควรให้ผู้ป่วยนอนตะแคง
5.การเตรียมใส่แขนขาเทียม การดูแลขาเทียม และการจดทะเบียนคนพิการ
ภาวะแทรกซ้อน
Hemorrhage
Infection
hematoma
neuroma
necrosis
stump deformity
phantom limb
Internal fixation
การพยาบาลหลังใส่
1.ป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น ช็อค ติดเชื้อที่แผลผ่าตัด fat embolism
2.ลดอาการปวดบริเวณแผลผ่าตัด
3.การออกกำลังการหลังผ่าตัดระยะแรกให้ใช้วิธี isometric Exercise + Active Exercise
4.การเตรียมผู้ป่วยให้เดิน โดยใช้เครื่องช่วยเดิน โดยไม่ลงน้ำหนักมากนัก
fat embolism
คือ ภาวะที่ก้อนไขมันในโพรงกระดูกหลุดเข้าไปในกระเเสเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย ไข้สูง มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกมากๆ ร่วมกับหายใจลำบาก มีจุดเลือดออกที่หน้าอก รักแร้ เปลือกตา
หลักการพยาบาล
1.การบันทึกสัญญาณชีพทุก 15 นาที และประเมินอาการแสดงของระบบต่างๆ
2.การดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ติดตามผล Blood gas
3.ดูแลให้ได้รับเลือดหรือสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
4.เช็ดตัวลดไข้
5.บันทึกปริมาณสารน้ำที่ร่างกายได้รับและที่ร่างกายขับออก
6.หากผู้ป่วยมีอาการกระสับการะส่าย สับสน ซึมลง ระหว่างการเกิดอุบัติเหตุ ควรให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
7.ติดตามผลตรวจอื่นๆ เช่น chest X-ray, ECG
8.ให้การดูแลด้านจิตใจ
External fixation
การพยาบาล
1.ยกอวัยวะให้สูงกว่าระดับหัวใจ 1-3 วันแรก
2.blanching test
3.ประเมิน 7Ps
4.หลังการบวมให้กระตุ้นให้ทำ
ํ ROM Exercise
5.กระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวัน
6.สังเกตการติดเชื้อ และทำความสะอาดผิดหน้า
7.ตรวจสอบกรอบโลหะว่ายึดแน่น หรือหลวมไปหรือไม่
8.ไม่นั่งหย่อนขา