Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
จะอยู่รอดได้อย่างไร ในยุค AI ครองโลก ? (อยู่รอดอย่างไร (ทักษะ (Human…
จะอยู่รอดได้อย่างไร ในยุค AI ครองโลก ?
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1
(1750-1850) นำเทคโนโลยีการผลิตโดยสร้างเครื่องจักรพื้นฐาน มาใช้แทนแรงงานคน และสัตว์ เช่น เครื่องปั่นด้าย เครื่องทอผ้า
การกำเนิดขึ้นของเครื่องจักรไอน้ำในขณะนั้นนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์เราผลิตสิ่งของได้มากขึ้นอย่างมหาศาล
ความสามารถในการผลิต - ใครผลิตได้มากสุด คือ เก่งที่สุด
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2
(1870) สมัยแห่งอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มาใช้แทนเหล็กธรรมดา เปลี่ยนแปลงจากพลังงานถ่านหินมาสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า ก๊าซและน้ำมัน ระบบไฟฟ้า เครื่องจักร และการใช้สายพานในขบวนการผลิต ส่งผลให้เกิดการผลิตจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การปั่นไฟฟ้าได้ ด้วยไดนาโม ของ Michael Faraday
ยุคที่มีสินค้าเหมือนๆกันจำนวนมาก หรือที่เรียกกันว่า Mass Production ทำให้โรงงานที่มีขนาดใหญ่ก็จะยิ่งได้เปรียบในการประหยัดต่อขนาด หรือ Economy of scale - ใครผลิตได้ราคาถูกที่สุด คือ เก่งที่สุด
ทำให้มนุษย์ได้รับความสำเร็จ ความสะดวกสบาย ที่สามารถนำมาตอบสนองความต้องการในปัจจัยสี่ของมนุษย์ได้อย่างมากมาย
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3
(1970) สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือ คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และอินเตอร์เน็ต
ทำให้เกิดการผลิตแบบอัตโนมัติขึ้น ส่งผลให้ขบวนการผลิตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทำให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ แทนที่การผลิตสินค้า เปลี่ยนเป็นการให้บริการ และธุรกิจ ข้อมูลข่าวสาร
สำคัญในการแข่งขันทางธุรกิจจะไม่ใช่การลดต้นทุนอีกต่อไป แต่คือนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4
(ปัจจุบัน) น่าจะเกิดจากปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) วิทยาการข้อมูล (Data Science: DS) และอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Internet of Things: IOTs)
วิทยาการข้อมูล
เป็นบูรณาการระหว่างสามสาขาวิชาคือหนึ่ง คณิตศาสตร์และสถิติ สองวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และสามความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ เช่น ถ้าเอาความรู้ทางบริหารธุรกิจมารวมก็จะกลายเป็น Business Analytics ถ้าเอาความรู้ทางชีววิทยามารวมก็กลายเป็น Bioinformatics เป็นต้น วิทยาการข้อมูลช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายและนำไปสู่ความรู้ที่นำไปใช้งานได้จริง (Actionable knowledge)
ปัญญาประดิษฐ์
นั้นเกิดจากการคิดค้นของ Herbert A Simon แห่ง Carnegie Mellon ผู้ได้รับรางวัลโนเบล โดยการพัฒนาให้คอมพิวเตอร์คิดได้เหมือนคน โดย Simon ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Protocol Analysis หรือ Think out loud ให้ผู้เชี่ยวชาญมาแก้ปัญหา และอธิบายกระบวนการในการคิดและการแก้ปัญหาออกมาเป็นขั้นตอนย่อยๆ เป็น chunk เล็กๆ แล้วพูดออกมาว่ามี input process และ output อะไรบ้างในแต่ละขั้นตอน นำมาเขียน flowchart ให้เข้าใจแล้วเอาไปเขียนโปรแกรม เท่านี้คอมพิวเตอร์ก็คิดได้เท่ากับผู้เชี่ยวชาญ และต่อมาปัญญาประดิษฐ์ก็ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ได้แก่ Artificial neural network และ Deep learning เป็นต้อน ปัญญาประดิษฐ์ทำให้เกิดการสร้างเครื่องจักรที่คิดและทำงานได้ใกล้เคียงกับคนมากขึ้นเรื่อยๆ
อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง
เกิดจากการที่อุปกรณ์ต่างๆ ไปจนถึงตึกรามบ้านช่อง ถนน รถยนต์ มี censor หรือแม้แต่ร่างกายเราก็สามารถติดตั้ง biosensor ไว้ตรวจจับสัญญาณและข้อมูลต่างๆ ไว้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดข้อมูลเรียลไทม์ที่มีปริมาณมหาศาล หากเอาความรู้ด้าน Data Science และ ปัญญาประดิษฐ์มาช่วยกันก็จะช่วยทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ และนวัตกรรมได้เป็นอันมาก
AI+DS+IOTs จะทำให้สิ่งต่างๆ รอบตัวเราฉลาดขึ้น Smart Car
สรุป
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คงไม่มีใครคิดว่าในปัจจุบัน โครงการรถไฟแคปซูล Hyperloop ของ Elon Musk ที่สามารถเดินทางได้เร็วกว่า 1,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มนุษย์เราใช้เวลาพัฒนาเทคโนโลยีนี้เพียง 203 ปี เท่านั้น
เราอาศัยอยู่บนโลกนี้มากว่า 200,000 ปีแล้ว ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วก็คือ 1 ใน 1,000
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการปฎิวัติอุตสาหกรรมแม้จะทำลายงานไปบางส่วน แต่ก็มักจะสร้างงานใหม่ ๆ ในกิจกรรมอื่น ๆ ทดแทนขึ้นมาเช่นกัน
ไม่ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง
ไม่เหมือนในหนัง Terminator
ไม่ใช่จุดจบของมนุยษยชาติ
แน่นอน ต้องมีคนที่ ตกเทรนด์ และเดือดร้อนกับความเปลี่ยนแปลง ที่วนรอบเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เราจะต้องเริ่มฝึกฝนตนเองตั้งแต่ตอนนี้ เราจะต้องสอนให้เด็ก เรียนรู้สิ่งเรานี้ มากกว่า การเรียนแบบท่องจำ ตามหลักสูตร ในโรงเรียน 10 ปี จากนี้ ลูกเรียนจบ มันก็สายเกินไปแล้ว
เกริ่นนำ
คนตกงาน จาก disruption
อยู่รอดอย่างไร
ทุกยุค ทุกสมัย มีคนตกงาน มีคนมีงาน
พัฒนาตัวเอง
เรียนรู้ ฝึกทักษะ คือ โลกของคนที่พัฒนาตัวเองได้เร็ว ผู้ที่รู้จักใช้เครื่องมือใหม่ๆ จะเป็นผู้อยู่รอด ปรับเปลี่ยน เรียนรู้ ฝึกฝน ที่จะใช้ทักษะใหม่ๆ ไม่มีอาชีพ มีแต่ทักษะ
การเข้ามาของอินเตอร์เน็ต ยุคเฟื่องฟูของ แม่ค้าออนไลน์
ยุคเฟื่องฟูของ ร้านอาหารตึกแถว
มองหาความเปลี่ยนแปลง
และปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จาก สิ่งเหล่านั้น
ทำลองทำสิ่งใหม่ๆ
เพิ่มศักยภาพให้เรามากขึ้น
ทักษะ
นักกีฬา อีสปอร์ต
สร้างหุ่นยนต์
ฟัฒนาซอฟต์แวร์
Content Creator
Human Skill
ทักษะการสื่อสาร ทักษะการนำเสนอ
ทักษะการเป็นผู้นำ บุคลิกภาพ
ทักษะการจัดการ การบริหาร การตัดสินใจ
ทักษะในการคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
ทักษะในด้านความคิดสร้างสรรค์
ทักษะการเรียนรู้ ตลอดชีวิต
ทักษะทางด้านจิตใจ และจิตวิญญาณ
ทักษะทางดนตรี และกีฬา
ทักษะทางด้านการเงิน
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ Tony Stark (Iron Man) มีผู้ช่วย จาวิส และหุ่นยนต์ ช่วยทำงานให้ ในอนาคตเราไม่จำเป็นต้องทำงานพวกนั้นอีกต่อไป ทักษะ Human Skill
เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ ทุกเรื่อง ตามหลักสูตร ในตอนนี้ เมื่อเค้าต้องการ เค้าจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ภายในไม่กี่นาที จากแหล่งความรู้ต่างๆ รอบตัว
Human Skill ต่างหากที่จะต้องฝึกฝน เพราะมันต้องใช้เวลาฝึกฝน ไม่ใช่ว่า แค่ดูก็จะเป็นเลย ต้องมีจำนวน ชั่วโมงในการฝึกฝน
เราอยู่ในยุคเริ่มต้นของ AI + DS + IoT .. ถ้ายังจำได้ ลองนึกภาพ เราเคยอยู่ในยุคเริ่มต้นของอินเตอร์เน็ต คนที่เริ่มทำเว็บไซต์ในยุค ดอทคอม เช่น sanook.com, kapook.com, pantip.com, tarad.com กลายเป็นคนที่ได้โอกาส ประสบความสำเร็จ .. สมัยก่อนคนมีเงินเท่านั้น ถึงจะมีโทรศัพท์มือถือใช้ แต่ปัจจุบัน เรามีสมารต์โฟนกันทุกคน บางคนมีหลายเครื่องด้วย .. คนที่มองเห็นโอกาส ก็สามารถเป็น แม่ค้าออนไลน์ FaceBook , ขายของใน Lazada , ขายอาหารผ่าน Food Panda ฯลฯ
ตอนนี้ AI + DS + IoT + หุ่นยนต์ อาจจะเป็นของที่มีราคาแพงอยู่ แต่เชื่อได้ 100% ว่า ในอนาคต อันใกล้นี้ เราจะมีของพวกนี้ใช้แน่ๆ คำถาม คือ เคยคิดกันไหมครับว่า ถ้าถึงตอนนั้น เราจะนำเทคโลยี พวกนี้ มาสร้างสรรค์ เป็นอะไรดี