Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
CA Lung with pleural effusion (ข้อมผู้ป่วยเตียง1-12 (Past History…
CA Lung with pleural effusion
ข้อมผู้ป่วยเตียง1-12
Chief Complain
หอบเหนื่อย 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล
Present Illness
1 วันก่อนมาโรงพยาบาล มีไข้ เพลีย มีเสมหะสีน้ำตาลมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้นจึงนำส่งโรงพยาบาล
Past History
Hypertension โรคความดันโลหิตสูง
เป็นเวลา 45 ปี รักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลตำรวจ
Dyslipidemia โรคไขมันในเลือดสูง
เป็นเวลา 45 ปี รักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลตำรวจ
Deep vein thrombosis ภาวะหลอดเลือดขาอุดตัน
เคยผ่าตัด Osteoarthritis knee S/P TKA both knee
เมื่อ 13/10/2559
General appearance
(25/10/2562)ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 70 ปี ผมสีขาวปนดำ ลืมตาได้ แต่ไม่ตอบสนอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เยื่อบุตาตาวไม่ซีด หายใจ on Collar 3 LPM O2 Saturation = 95-97% ไม่มีหอบเหนื่อย มีเสมหะสีขาวขุ่น ไม่สามารถขับเสมหะออกมาเองได้ on ICD ที่ Left Lung มีexudate สีเหลืองเข้ม ก้นขวด Ml feed อาหาร1.5:1 250X4 feed จำกัดโปรตีน 55 gm/day feed รับได้ มือขวามบวม grade 2 Retained foley’s catheter ปัสสาวะสีเหลืองอ่อน มีตะกอน มีเริมที่บริเวณขาหนีบด้านซ้าย on แผ่นรองก้น มีแผลกดทับ stage4 แผล 5x8x4 cm ที่ coccyx แผลแดงดี ขอบแผลคล้ำมี slave สีขาวเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นเหม็น มีรอยแผลผ่าตัดที่หัวเข่าทั้งสองข้างยาวประมาณ 10 Cm ขาทั้งสองข้างติดแข็ง ไม่มีบวมกดบุ๋ม
(28/10/2562)ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 70 ปี ผมสีขาวปนดำ ลืมตาได้ แต่ไม่ตอบสนอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เยื่อบุตาตาวไม่ซีด หายใจ on Collar 2 LPM O2 Saturation = 95-97% ไม่มีหอบเหนื่อย มีเสมหะสีขาวขุ่น ไม่สามารถขับเสมหะออกมาเองได้ off ICD วันที่26/10/2562 feed อาหาร1.5:1 250X4 feed จำกัดโปรตีน 55 gm/day feed รับได้ มือขวามบวม grade 2 Retained foley’s catheter ปัสสาวะสีเหลืองอ่อน มีตะกอน มีเริมที่บริเวณเหนือหัวหน่าวและขาหนีบด้านซ้าย ไม่ทีการแพร่กระจายเพิ่ม on แผ่นรองก้น มีแผลกดทับ stage4 แผล 5x8x4 cm ที่ coccyx แผลแดงดี มี slave สีขาวเล็กน้อย ขอบแผลสีแดงปนม่วงคล้ำ stage1 ไม่มีกลิ่นเหม็น มีรอยแผลผ่าตัดที่หัวเข่าทั้งสองข้างยาวประมาณ 10 Cm ขาทั้งสองข้างติดแข็ง ไม่มีบวมกดบุ๋ม motor power แขนและขาทั้ง 2 ข้าง = 0
(วันที่30/10/2562)ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 70 ปี ผมสีขาวปนดำ conscious semi coma ลืมตาได้ แต่ไม่ตอบสนอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เยื่อบุตาตาวไม่ซีด หายใจ on Collar 3 LPM O2 Saturation = 96-100% ไม่มีหอบเหนื่อย มีเสมหะสีขาวขุ่น ไม่สามารถขับเสมหะออกมาเองได้ off ICD วันที่26/10/2562 feed อาหาร1.5:1 250X4 feed จำกัดโปรตีน 55 gm/day feed รับได้ Retained foley’s catheter ปัสสาวะสีเหลืองอ่อน ไม่มีตะกอน มีเริมที่บริเวณเหนือหัวหน่าวและขาหนีบด้านซ้าย ได้รับยา Acyclovir 5% cream 3 gm.วันละ 5 ครั้งและAcyclovir 800 mg.ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 5 ครั้งหรือทุก 3-4 ชั่วโมง ครบ dose เมื่อ 28/10/2562 ไม่มีการแพร่กระจายเพิ่ม on แผ่นรองก้น มีแผลกดทับ stage4 แผล 5x8x4 cm ที่ coccyx แผลแดงดี มี slave สีขาวเล็กน้อย ขอบแผลสีแดงปนม่วงคล้ำ stage1 ไม่มีกลิ่นเหม็น มีรอยแผลผ่าตัดที่หัวเข่าทั้งสองข้างยาวประมาณ 10 Cm แขนและขาทั้ง 2 ข้าง motor power = 0 มือขวามบวม grade 2 นิ้วมือข้างซ้ายติดแข็ง ขาข้างซ้ายเป็น Deep vein thrombosis ไม่มีบวมกดบุ๋ม
การวินิจฉัยโรคแรกรับ
CA Lung with pneumonia
วันที่รับเข้ามาในโรงพยาบาล
4 ตุลาคม 2562
วันที่ได้รับในความดูแลของนศพต.
21 ตุลาคม 2562
Problem List
-ผู้ป่วยมีแผลกดทับ stage4 แผล 5x8x4 cm ที่ coccyx
-ผู้ป่วยมีเริมที่บริเวณเหนือหัวหนาวและขาหนีบด้านซ้าย
-ผู้ป่วยมีข้อติดแข็ง
-มือขวากดบุ๋ม เกรด 2
-ผู้ป่วยหายใจ room air O2 saturation =90% จึงต้องon Collar 2 LPM
-ผู้ป่วยได้รับยา enoxaparin 40 mg.
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจน เนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลงจากพยาธิสภาพของน้ำท่วมปอด
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยหายใจ room air O2 saturation =90% จึงต้องon Collar 2 LPM
มือขวาบวมเกรด 2
U/S bedside พบ pleural effusion (17/10/2562)
วัตถุประสงค์
ไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมิน
ไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน เช่น เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ปลายมือปลายเท้าเขียว เป็นต้น
V/S อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะอัตราการหายใจอยู่ในช่วง 18-24ครั้ง/นาที สม่ำเสมอดี ความเร็ว ความลึกและจังหวะในการหายใจปกติ
O2 Saturation มากกว่าหรือเท่ากับ 90 %
ผล chest x-ray ไม่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงที่บ่งบอกถึงภาวะพร่องออกซิเจน เช่น ปลายมือปลายเท้าเย็น ซีด เหงื่อออก ตัวเย็น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง อาการกระสับกระส่าย การตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ง่าย
ดูแลให้อยู่ในท่า Fowler’s position เพื่อให้ปอดสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่ซึ่งจะทำให้มีการแลกเปลี่ยนแก๊สได้สูงสุดถ้าผู้ป่วยไม่สามารถอยู่ในท่านี้ได้ ให้ผู้ป่วยนอนในท่าตะแคงและพลิกตัวบ่อยๆ
9.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน on Collar 3 LPM keep O2 saturation > 94%ตามแผนการรักษา
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และประเมินค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือก (O2 saturation, O2 sat)
8.ดูแลให้ได้รับยา inhalex forte 4 ml ทุก 4 ชั่วโมง
10.ดูแลขวด ICD
การทางานของระบบต้องเป็น closed system:
seal ข้อต่อต่างๆ ให้แน่น
ปลายหลอดแก้ว ขวด UWS ต้องจุ่มใต้น้ำ 2-3 ซม.
ถ้าพบว่าไม่มีการจุ่มใต้นา ให้รีบ clamp สาย เติมนา แล้วให้ ผู้ป่วยไอออกแรงๆ เพื่อระบายลมออก
ระวังขวดล้ม/ เอียง
สังเกตการ fluctuated ของระดบั น้าในหลอดแก้ว ถ้าหายใจเข้า ระดับน้าจะเคลื่อนขึน หายใจออกระดบั น้าจะเคลื่อนลง
เปลี่ยนขวดเมื่อเมื่อมี content ออกเพิ่ม และปลายหลอดแก้วอยู่ใต้น้ำเกิน 5 ซม.
วางขวดต่ำกว่าทรวงอกผู้ป่วยเสมอ
ประเมินอัตราการหายใจ ความลึก การใช้กล้ามเนื้ออื่นๆ ช่วยในการหายใจ และภาวะ Cyanosis เพื่อเป้นการประเมินความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
ประเมินเสียงลมหายใจที่ผ่านเข้าไปในปอด เนื่องจากการลดลงของเสียงลมหายใจที่ผ่านปอด เป็นข้อบ่งขี้ว่าเกิดการแฟบของปอด (Lung collapse)
วางแผนการทำกิจกรรมการพยาบาล เพื่อแบ่งช่วงให้ผู้ป่วยได้พัก เช่นการ suction ดูดเสมหะ การทำแผล การพลิกตะแคงตัว เพื่อช่วยลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย
ติดตามผลการเอ็กซเรย์ปอดเพื่อประเมินการขยายตัวของปอด (Lung expansion) ภาวะน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural effusion) หรือ การมีของเหลวแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อปอด (Infiltration) ซึ่งอาจทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอดลดลงได้
7.ทำแผล tracheostomy tube โดยดูแลผู้ป่วยให้นอนศีรษะสูง และประเมิน O2 saturatin ตลอดการทำหัตถการ โดยไม่ให้ O2 saturation <94% ตามแผนการรักษา เมื่อผู้ป่วยมีสีหน้าเหนื่อยหรือค่า O2 saturation <94 %ให้หยุดพักทำหัตถการและรอให้ผู้ป่วยหายเหนื่อย
การประเมินผล
ผู้ป่วย off ICD เมื่อวันที่ 26/10/2562 ไม่มีอาการหายใจลำบากหรือหายใจหอบเหนื่อย O2 saturation = 95-98% หายใจ room air O2 saturation = 93% จึง on collar mask ต่อ 3 LPM(วันที่30/10/2562)
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4
เสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เนื่องจากได้รับยาต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยได้รับยา enoxaparin 40 ml inj (0.4 ml)
เกณฑ์การประเมิน
ไม่มีเลือดออกภายในร่างกาย เช่น เลือดออกตามไรฟัน จ้ำเลือดตาม ตัว เลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกทางทวารหนัก อุจจาระมีสีดำ มีเลือดออกที่ช่องคลอด หรือประจำ ปัสสาวะเป็นเลือด และเลือดออก ในสมอง
ไม่มีภาวะเกล็ดเลือด (platelets) ต่ำกว่าปกติ < 140,000 cells/cu.mm.)
(Thrombocytopenia)
วัตถุประสงค์
ผู้ปไม่มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินภาวะเลือดออกภายในร่างกาย เช่น เลือดออกตามไรฟัน จ้ำเลือดตาม ตัว เลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกทางทวารหนัก อุจจาระมีสีดำ มีเลือดออกที่ช่องคลอด หรือประจำ ปัสสาวะเป็นเลือด และเลือดออก ในสมอง รวมท้ังประเมินอาการแสดงที่เกิดจาก
ภาวะเลือดออก เช่น ความดันโลหิตตํ่า ชีพจรเร็วขึ้น ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงลดลง
4.ดูแลไม่ให้ผู้ป่วยเกิดบาดแผล
5.รายงานแพทย์ทันทีท่ีผู้ปู่วยมีจ้ำเลือดหรือมีเลือดออกผิดปกติ และส่งตรวจ CBC
และ platelet
2.หากมีการเจาะเลือดควรห้ามเลือดเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อและหลีกเลี่ยงการวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง
3.หลังจากฉีดยาไม่ให้นวดคลึง บริเวณที่ฉีดยาและเฝ้าสังเกตอาการเลือดออกผิดปกติ เช่นจ้ำเลือดบริเวณท่ีฉีดยาแจกบัตรประจําตัวผ้ปู่วยที่ได้รับยาenoxaparin
การประเมินผล
ผู้ป่วยมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีดยาบนหน้าท้อง ไม่มีจุดจ้ำเลือดตามร่างกายหรือมีเลือดออกผิดปกติ (วันที่30/10/2562)
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3
มีภาวะสูญเสียหน้าที่ของผิวหนัง เนื่องจากมีแผลกดทับบริเวณ coccyx
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีแผลกดทับ stage4 แผล 5x8x4 cm ที่ coccyx
Barden score = 10
เกณฑ์การประเมิน
แผลแดงดี ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มี slave
Barden score >,= 16
ไม่มีแผลกดทับเพิ่ม
วัตถุประสงค์
มีการสูญเสียหน้าที่ของผิวหนังบริเวณแผลกดทับลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินบาดแผลของผู้ป่วย ดูลักษณะ สี กลิ่น ขนาดของแผลและประเมิน barden score ทุกเวร
4.ดูแลผิวหนังผู้ป่วยไม่ให้อับชื้นหรือแห้งเกินไปอยู่เสมอและดูแลที่นอนให้สะอาด แห้ง อากาศถ่ายเทอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น
3.ทำกิจกรรมการพยาบาลอย่างนุ่มนวล ลดการเสียดสีระหว่างผิวหนังการเช่น เคลื่อนย้ายผู้ป่วยควรมีผ้ารอง เพื่อป้องกันการเสียดสีที่เกิดขึ้นระหว่างเคลื่อนย้าย ใช้การยกตัวผู้ป่วยขึ้นเพื่อเคลื่อนย้ายแทนการลากตัวผู้ป่วยไปบนเตียง
5.ทำความสะอาดแผลทุกวัน โดยสครับแผลด้วยสบู่ที่มีค่าเป็นด่างหรือกรดต่ำผสมกับNSS ล้างทำความสะอาดแผลและทาแผลด้วย silverderm แพ็คก๊อซด้วย 0.9%NSS ดูค่า O2 saturation เสมอ ขณะทำแผล
2.พลิกตะแคงตัว เปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง ควรใช้หมอนหรือผ้านุ่มรองบริเวณที่กดทับ เพื่อป้องกันการเสียดสี งดการนอนหงายตามแผนการรักษาและดูแลการขับถ่ายพร้อมกับการพลิกตะแคงตัว เพื่อป้องกันการแช่อุจจาระซึ่งอาจส่งผลให้แผลติดเชื้อ
การประเมินผล
แผลแดงดี slave ลดลง มีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย ขอบแผลแดง ม่วงคล้ำน้อยลง ลักษณะแผลดูตื้นขึ้นมาเล็กน้อย (วันที่30/10/2562)
การถอดสายระบายทรวงอก
ข้อบ่งชี้
1.แพทย์ตรวจร่างกายพบปอดขยายตัวดี
2.ผลการถ่ายภาพรังสีทรวงอกพบปอดขยายตัวดี
3.ไม่มีลมออกมาในขวดรองรับอย่างน้อย 1 วัน โดยเฉพาะเวลาไอแรงๆ
4.มีปริมาณสารเหลวที่ออกมาจากทรวงอกลดลงในระดับที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถเอาท่อระบายได้อย่างปลอดภัย โดยแพทย์จะพิจารณาตามพยาธิสภาพ อาการแสดงและผลเอ็กซเรย์ปอด
5.ท่อระบายอุดตันหรือไม่ทำงาน จำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนท่อใหม่
วิธีการถอด
ยืนยันตัวผู้ป่วยและนัดแนะขั้นตอนกับผู้ป่วยก่อน
ลอกผ้าปิดแผลระวังสายระบายเลื่อนหลุด
ทาน้ำยาantisepticบนผิวหนังรอบแผลและบนสายระบาย
ตัดไหมที่ยึดสายระบายกับผิวหนังผู้ป่วย (ไม่ต้องตัดไหมท่ีเย็บลดขนาดปากแผล)
วางก๊อซชุบวาสลีนและก๊อซแห้งปลอดเชื้อทับปากแผล
หากใช้สายระบายขนาดเล็กหรือมีไหมสำหรับผูกปิดปากแผล
ดึงสายออกอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลหลังจากให้ผู้ป่วยหายใจเข้าสุดและทา Valsalva’s maneuver (ลดโอกาสเกิดpneumothoraxหลังถอดสายระบาย)หากมีไหมสำหรับผูกปิดปากแผลให้ผูกไหมปิดปากแผลในขั้นตอนน้ีที่เย็บไว้ก่อนอาจละเว้นการใช้ก๊อซชุบวาสลีนได้
ปิดแผลแน่นด้วยผ้ายืดมีกาวทาหรับปิดแผล
ถ่ายภาพเอ็กซเรย์ปอด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีภาวะติดเชื้อที่ปอด
วัตถุประสงค์
ไม่มีภาวะติดเชื้อ
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการและอาการแสดงการติดเชื้อในร่างกาย คือ - ไม่มีไข้ (T=36.0- 37.4 C )
ผลการตรวจ specimen ICD ไม่พบเชื้อ-ผล X-ray ปกติ
ผล Gramstain/Hemo culture ไม่พบเชื้อ
ผลตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ WBC = 4.5- 10x10^3/uL, Neu = 50-70%
เสมหะลดลง ลักษณะไม่เหนียว ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น"
ข้อมูลสนับสนุน
ผล Sputum culture (วันที่ 09/10/2562)Few pseudomonas aeruginosa (MDR)
WBC 14.98 10^3/uL
Neutrophil 84.3 %
Lymphocyte 13.0 %
Monocyte 2.4 %
Eosinophil 0.1 %
ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียว สีขาวขุ่น
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสภาวะร่างกายของผู้ป่วยบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตอาการผิดปกติต่างๆเพื่อประเมินภาวะติดเชื้อในร่างกาย
กระตุ้นให้มีการลุกนั่ง โดยจัดท่าพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมงและทำ passive exercise เคลื่อนไหวร่างกาย โดยประเมินค่า O2 saturation เสมอขณะออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการอักเสบของปอดจากการนอนนานๆ(Hypostatic pneumonia)
ดูแลรักษาความสะอาดของ ร่างกายและสิ่งแวดล้อม รอบๆตัวผู้ป่วย เพื่อป้องกัน การติดเชื้อซ้ำ
ให้ยาปฎิชีวนะ Metronidazole และ Ceftriazone ตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตอาการข้างเคียง
ไม่อยู่ใกล้หรือจัดเตียงให้ห้างจากผู้ที่เป็นหวัดหรือมีการติดเชื้อทางเดินหายใจ แนะนำการป้องกันการติดเชื้อให้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว
สังเกตลักษณะ สี กลิ่นของ เสมหะ ส่งตรวจ Sputum gram stain , AFB , C/S พร้อมติดตามผลตรวจ
7.ติดตามผลตรวจทาง ห้องปฏิบัติการเพื่อประเมิน การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
การประเมินผล
ผู้ป่วยมีเสมหะสีขาวขุ่น ลดน้อยลง
เสี่ยงเกิด ภาวะแทรกซ้อนจาก Hypokalemia
วัตถุประสงค์
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะ Hypokalemia
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการและอาการแสดงจากภาวะ ไม่สมดุลของโพแทสเซียม ได้แก่หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจเร็วตื้น เป็นต้น
สัญญาชีพปกติ
ข้อมสนับสนุน
K= 3.18 ( วันที่ 29/10/2562)
K=3.42 (วันที่ 28/10/2562)
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการและ อาการแสดงจากภาวะไม่สมดุลของโพแทสเซียมที่ สังเกตได้ในผู้ป่วย ได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจเร็วตื้น
วัด V/S ทุก 4 ชั่วโมง
ดูแลให้ยา E.KCl 50 ml ตามแผนการรักษาของแพทย์
ตามผล LAB Electrolyte เพื่อประเมิน ค่า K ในกระแสเลือด
การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดง เช่น หายใจเร็วตื้น และสัญญาชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
พยาธิสภาพของโรค
CA Lung
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอด
การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
อายุ: ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งปอดได้รับการวินิจฉัยเมื่อมีอายุตั้งแต่ 65 ขึ้นไป (โดยเฉลี่ยประมาณ 70 ปี)
การสัมผัสกับก๊าซเรดอน: เรดอนเป็นธาตุกัมมันตรังสีที่เป็นก๊าซเฉื่อย สามารถพบทั่วไปในอากาศ ซึ่งอาจพบสะสมในตัวอาคารบ้านเรือน การสัมผัสก๊าซนี้เป็นสาเหตุหลักในการก่อโรคมะเร็งปอดในผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่
การสัมผัสสารก่อมะเร็ง: ยกตัวอย่างเช่น การหายใจเอาแร่ใยหินหรือควันจากท่อไอเสียเข้าสู่ร่างกาย การหายใจหรือบริโภคสารเคมีบางชนิด (อาเซนิค ถ่านหิน) หรือการสัมผัสสารยูเรเนียม
การรักษาด้วยการฉายแสงที่ทรวงอก: ยกตัวอย่างเช่น ในผู้ป่วยที่เป็นโรค Hodgkin lymphoma หรือผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเต้านมเพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านม
บุคคลที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งปอด
มลภาวะทางอากาศ
อาการ
ไอเรื้อรัง
ไอพร้อมมีเลือดออกมา
เจ็บหน้าอก
หายใจได้สั้นๆ
น้ำหนักลดโดยหาสาเหตุไม่ได้
เหนื่อยง่าย อ่อนแรง
ผู้ป่วย
มีอาการเหนื่อยง่าย ดูอ่อนแรงมากขึ้น
การวินิจฉัยโรค
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อวิเคราะห์ (biopsy)
การใช้เข็มขนาดเล็กตัดชิ้นเนื้อ (fine-needle aspiration)
การส่องกล้องตรวจภายในหลอดลม (bronchoscopy)
การใช้เข็มเจาะช่องเยื่อหุ้มปอดแทงผ่านผนังทรวงอก (thoracentesis)
การตรวจช่องกลางทรวงอกโดยการส่องกล้อง (mediastinoscopy)
การตรวจช่องทรวงอกโดยการส่องกล้อง (thorocoscopy)
ผู้ป่วย
ทำ Lung biopsy แบบ thoracentesis เมื่อวันที่ 11/04/62 พบ malignant neoplasm 0.2-0.8 cm in length and 0.1 cm in each
การตรวจวินิจฉัยด้วยรังสี
การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การตรวจด้วยเครื่อง PET scan (positron emission tomography scan)
ผู้ป่วย
ผู้ป่วยได้ทำ CT Scan วันที่ 02/04/62 พบ Neoplasm of uncertain or unknown behavior
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (small cell lung cancer, SCLC)
การรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นการรักษาที่จำเป็นในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เนื่องจากการแพร่กระจายของโรคไปยังอวัยวะอื่นๆรวดเร็วมาก
ในผู้ป่วยที่โรคยังไม่แพร่กระจาย การรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่กับการฉายแสงจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่าการรักษาด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว
การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (non-small cell lung cancer, NSCLC)
การรักษาจะขึ้นกับชนิดของเนื้อเยื่อมะเร็ง ระยะของโรค และระดับความสามารถของผู้ป่วย
ในผู้ป่วยที่ระยะการดำเนินไปของโรคยังไม่มากและไม่มีการแพร่กระจายของโรค การรักษามักทำโดยการผ่าตัด การฉายแสงหรือเคมีบำบัด
ในผู้ป่วยที่มะเร็งปอดอยู่ในระยะลุกลาม มักจะได้รับการตรวจการกลายพันธุ์ของยีนร่วมด้วย โดยผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีนควรได้รับการรักษาด้วยการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง (targeted therapy) และผู้ป่วยที่ไม่พบการกลายพันธุ์ของยีนควรได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
ผู้ป่วย
เป็นแบบ NSCLC ยังไม่ได้รับการรักษา
Plural effusion
สาเหตุ
ทำให้เกิดของเหลวแบบใส
ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะที่ส่งผลให้เกิดความดันต้านกลับในหลอดเลือดดำ มักทำให้เกิดอาการบวมจากของเหลวบริเวณขาและอาจมีภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วย
โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด เกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดจากอวัยวะต่าง ๆ (ส่วนใหญ่มักมาจากบริเวณขา) ไหลมาอุดกั้นหลอดเลือดแดงที่นำเลือดเข้าสู่ปอด (Pulmonary Artery) ทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอก ไอ หายใจถี่ บางครั้งมีภาวะ Pleural Effusion และอาจรุนแรงถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งนอกจากภาวะนี้จะก่อให้เกิดของเหลวแบบใสแล้ว ยังก่อให้เกิดของเหลวแบบขุ่นได้เช่นกัน
โรคตับแข็ง โรคที่เนื้อเยื่อตับปกติค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยพังผืดแผลเป็น (Scar Tissue) จากการอักเสบ โดยพังผืดนี้จะไปขัดขวางการทำงานของตับในการกรองของเสียหรือขับสารพิษ รวมถึงการผลิตสารอาหาร ฮอร์โมน และโปรตีนในเลือด ซึ่งระดับโปรตีนในเลือดที่ต่ำนั้นจะส่งผลให้มีของเหลวซึมออกมานอกหลอดเลือดและอาจทำให้เกิดภาวะ Pleural Effusion ตามมา
หลังการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด หลังการเปิดช่องอกเพื่อผ่าตัดกล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ หรือหลอดเลือดแดงภายในหัวใจ ผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหัวใจตายเฉียบพลัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบทางเดินหายใจหรือไตล้มเหลว เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก มีภาวะ Pleural Effusion เป็นต้น
ทำให้เกิดของเหลวแบบขุ่น
โรคปอดบวมหรือโรคมะเร็ง อาจส่งผลให้ปอดและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ จนเกิดของเหลวภายในช่องเยื่อหุ้มปอดตามมา
ไตวาย เกิดจากหน่วยไตได้รับความเสียหาย ทำให้ไม่สามารถกรองเลือดและขับน้ำปัสสาวะได้ตามปกติ ซึ่งอาจเป็นภาวะไตวายเฉียบพลันจากการบาดเจ็บ ได้รับสารพิษ หรือภาวะไตวายเรื้อรังจากโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ผู้ป่วยไตวายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนโดยมีอาการเจ็บหน้าอก มีภาวะ Pleural Effusion กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือไตถูกทำลายอย่างถาวรได้
อาการอักเสบ อาจเป็นการอักเสบที่ปอดตั้งแต่แรกหรือการอักเสบจากอวัยวะอื่นแล้วส่งผลให้ปอดอักเสบ จนเกิดของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอดตามมา เช่น การอักเสบจากโรคข้ออักเสบ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นต้น
สาเหตุอื่น ๆ โรคหรือภาวะที่นอกเหนือจากข้างต้นอาจก่อให้เกิด Pleural Effusion ได้เช่นกัน แต่พบไม่มากนัก เช่น วัณโรค โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง เลือดคั่งในทรวงอก ภาวะน้ำเหลืองคั่งในช่องปอด (Chylothorax) รวมถึงผู้ที่ต้องสูดดมแร่ใยหินเป็นประจำ
ผู้ป่วย
ผู้ป่วยเป็น โรคมะเร็งปอด อาจส่งผลให้ปอดและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ จนเกิดของเหลวภายในช่องเยื่อหุ้มปอดตามมา
การวินิจฉัย
การสอบถามประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย
การเอกซเรย์
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography: CT Scan)
อัลตราซาวด์ (Ultrasound)
การวิเคราะห์ของเหลวภายในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural Fluid Analysis)
ผู้ป่วย
ใช้วิธีการ Ultrasound และ Chest x-ray ในการตรวจวินิจฉัยโรค ตรวจพบ Lt. Plural effusion วันที่17/10/2562
การรักษา
การระบายของเหลวออกจากช่องเยื่อหุ้มปอด
Pleurodesis คือวิธีการรักษาโดยใช้สารบางชนิดเชื่อมเยื่อหุ้มปอดและเยื่อหุ้มช่องอกให้ติดกัน ซึ่งจะทำหลังจากระบายของเหลวออกนอกร่างกายเรียบร้อยแล้ว เพื่อลดช่องว่างและป้องกันการสะสมของของเหลวภายในปอด ส่วนใหญ่วิธีนี้มักนำมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งที่มีภาวะ Pleural Effusion ร่วมด้วย
การผ่าตัด วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยแพทย์จะสอดท่อเข้าไปในช่องอกเพื่อบังคับทิศทางให้ของเหลวไหลจากบริเวณปอดออกสู่ช่องท้อง
ผู้ป่วย
ใช้วิธีการการระบายของเหลวออกจากช่องเยื่อหุ้มปอดโดย ICD ต่อ 2 ขวด วันที่ 17/10/2562
ภาวะแทรกซ้อน
แผลเป็นที่ปอด (Lung Scarring)
ภาวะหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด (Empyema)
ภาวะลมในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax)
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Blood Infection)
ผู้ป่วย
มีภาวะลมในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax)
อาการ
หอบ หายใจถี่ หายใจลำบากเมื่อนอนราบ หรือหายใจเข้าลึก ๆ ลำบาก เนื่องจากของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอดไปกดทับปอด ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่
ไอแห้งและมีไข้ เนื่องจากปอดติดเชื้อ
สะอึกอย่างต่อเนื่อง
เจ็บหน้าอก
ผู้ป่วย
หายใจหอบเหนื่อยเมื่อนอนราบ
ยา
Senolax tab 2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
กลไกการออกฤทธิ์
ตัวยาจะถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยแบคทีเรียภายในลำไส้และได้สารสำคัญ คือ Rheinanthrone ซึ่งสารนี้จะช่วยให้ลำไส้เกิดการบีบตัวหรือเคลื่อนตัวมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดความรู้สึกอยากขับถ่ายตามมา โดยกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นหลังการรับประทานยานี้ไปแล้วประมาณ 6-12 ชั่วโมง
ผลข้างเคียง
อาการปวดท้องหรือถ่ายท้องรุนแรงจนเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะโพแทสเซียม เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงและหัวใจเต้นผิดปกติ
Enalapril 5 mg.tab 1x1 p.c. เช้า
กลไกการออกฤทธิ์
อีนาลาพริลเข้ายับยั้งเอนไซม์ angiotensin converting enzyme (ACE) หลังจากที่ตัวยาถูกไฮโดรไลซิสเป็นอีนาลาพริแลท กลไกหลักที่อีนาลาพริลสามารถลดระดับความดันโลหิตได้
ผลข้างเคียง
เกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง มึนงง ค่า BUN สูงขึ้น ค่าครีอะทินินในเลือดสูงขึ้น (creatinine) อ่อนแรง ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ ภาวะ agranulocytosis พาต่อตับ ไตวายเฉียบพลัน
Omeprazole 20 mg.cap 1x1 po a.a. เช้า
ผลข้างเคียง
ผื่นแดง มึนงง อ่อนเพลีย อาการไอ ปวดหลังหรือปวดท้อง ไม่ควรใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ การใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้รู้สึกสับสน ซึมเศร้า อาเจียน คลื่นไส้ ปวดศีรษะ
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นโครงสร้างในกลุ่มเบนซิมิดาโซล (benzimidazole) ยับยั้งการหลั่งกรดที่รู้จักกันในชื่อกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (proton pump inhibitor) ยาขัดขวางการหลั่งกรดในขั้นตอนสุดท้าย โดยเข้ายับยั้งอย่างจำเพาะเจาะจงกับเอนไซม์โปรตอน / โพแทสเซียม เอทีพีเอส (H+/K+ ATPase) ที่เป็นเอนไซม์อยู่บน parietal cell ในกระเพาะอาหาร
Mysoven 200 mg granule ละลายน้ำ หลังอาหาร เข้า กลางวัน เย็น
ผลข้างเคียง
หลอดลมหดเกร็ง อาการบวม เกิดผื่น ความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตสูง ผิวหนังแดง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ อาการวูบ เหงื่อออก ปวดข้อ มองเห็นภาพไม่ชัด รบกวนการทำงานของตับ เลือดเป็นกรด อาการชัก หัวใจหยุดเต้น ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว น้ำมูกไหล เกิดการระคายเคือง
กลไกการออกฤทธิ์
อะเซทิลซิสเทอีน เป็นยาในกลุ่มยาละลายเสมหะ ออกฤทธิ์โดยในโครงสร้างของอะเซทิลซิสเทอีน มีหมู่ซัลไฮดริลอิสระเป็นองค์ประกอบ ที่สามารถเปิดพันธะไดซัลไฟด์ของมิวโคโปรตีน (mucoprotein) ของเสมหะ ส่งให้ความข้นหนืดของเสมหะลดลง
Acyclovir (800) 1x5 ครั้ง
ผลข้างเคียง
คลื่นไส้, ท้องเสีย, ปวดศีรษะ หรืออาเจียน
กลไกการออกฤทธิ์
ยาต้านไวรัส ลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของไวรัสไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายและการติดเชื้อที่ร้ายแรงได้
Madiplot 20 mg 1x1 po p.c. เช้า
ผลข้างเคียง
อาการปวดศีรษะ วิงเวียน หน้าแดง ใจสั่น และอาการบวม
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะลดการนำเข้าของแคลเซียมเข้าในกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ในผนังเซลล์ของหลอดเลือดรวมถึงกล้ามเนื้อของหัวใจ ส่งผลให้หลอดเลือดเหล่านั้นขยายตัว ทำให้ความดันโลหิตลดลง
Enoxaparin 40 mg inj. 0.4 ml (0.8 ml sc o.d.)
ผลข้างเคียง
กิดภาวะเลือดออก รวมถึงบริเวณที่ได้รับการฉีดยา อาการบวมน้ำบริเวณอวัยวะส่วนปลาย โลหิตจาง เลือดออกในปัสสาวะ เป็นไข้ สับสน คลื่นไส้ ท้องเสีย หายใจลำบาก
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่มยับยั้งการแข็งตัวของเลือด อีนอกซาพาริน เป็นเฮพารินในกลุ่มที่มีมวลโมเลกุลต่ำ มีฤทธิ์ในการเพิ่มอัตราการยับยั้งการกระตุ้นคลอตติง แฟกเตอร์ (clotting factor) ซึ่งประกอบด้วย ทรอมบิน (thrombin) และแฟกเตอร์ สิบ ชนิดเอ (factor Xa) ผ่านการทำงานของแอนติทรอมบิน ชนิดที่สาม (antithrombin III)
ผลทางห้องปฏิบัติการ
(ที่ผิดปกติ)
จุลศาสต์คลินิก(วันที่ 04/10/2562)
Blood = +3
Albumin(UA) = +1
Leucocyte = +3
WBC(UA) = 10-20/HPF
Sputum culture (วันที่ 09/10/2562)
Few pseudomonas aeruginosa (MDR)
Specimen Gram stain
(Plural fluid)วันที่ 17/10/2562
No microorganism found
CBC (วันที่ 17/10/2562)
Hb 10 g/dL
Hct 31.7 %
RBC 3.52 10^6/uL
WBC 14.98 10^3/uL
Neutrophil 84.3 %
Lymphocyte 13.0 %
Monocyte 2.4 %
Eosinophil 0.1 %
Platelet count 818 10^3/uL
Cell count
Abnormal cell 12%
จุลชีววิทยา
วันที่ 04/10/2562)
Pco2 19.4 mmHg
Po2 134.6 mmHg
Hco3 act 11.6mmol/L
Hco3 std 14.2 mmol/L
ctCo2 12.2 mmol/L
O2sat 99%
เคมีคลินิก
วันที่ 17/10/2562
K 3.31 mmol/L
Chloride 97.7 mmol/L
Cr 0.26 mg/dL
LDH 304 U/L