Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
B 1-5 UTI C CKD Stage 5 :red_cross: (Medication (ลดความดัน…
B 1-5
UTI C CKD Stage 5 :red_cross:
Bacground
CC : ซึมลงหลังล้างไต 8 hr. PTA
Present illness :
2 wk. PTA ผู้ป่วยเริ่มซึมลง กินได้น้อยลง นอนอยู่บนเตียง ไม่ยอมเดิน
2 Day PTA ซึมลง พูดน้อยลง ปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะขุ่น เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ไม่มีอาการแน่นหน้าอก
8 hr. PTA หลังผู้ป่วยไป HD ที่ รพ.บางนา1 ผู้ป่วยมีอาการซึมลง เรียกรู้เรื่องแต่ไม่พูด ไม่ตอบคำถาม มีเสมหะมากขึ้น ไม่เปลี่ยนสี
Part history
Underlying
DM 20 ปี
HT 20 ปี
CA colon 1 ปี s/p ทำผ่าตัด เมื่อปี 2561
Identify
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 81 ปี
การวินิจฉัยแรกรับ : Urinary Tract Infection: UTI
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ
ไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีรายได้
สิทธิการรักษา : กรมบัญชีกลาง
Assessment
GA : 21/10/2562 ผู้ป่วยหญิงไทย วัยสูงอายุ ผิวสีคล้ำ แห้ง ผมสีดำสลับขาว รู้สึกตัวดี มีอาการกระสับกระส่าย ไม่สามารถพูดคุยได้ แต่สามารถสื่อสารได้ด้วยท่าทาง ผู้ป่วย on TT Tube ต่อกับ Ventilator Spontaneous mode : FIO2 0.3 ,IP 8 , PEEP 5 ผู้ป่วยหายใจได้ดี ไม่มีหอบเหนื่อย อัตราการหายใจคือ 20 BPM / O2 saturation = 99 % ผู้ป่วยไม่สามารถไอ ขับเสมหะออกมาเองได้ เสมหะมีลักษณะเหนียวใส on NG tube รับอาหาร BD ( 2: 1 ) 250*4 feed รับอาหารได้ดี ไม่มีอาเจียน on injection plug ที่ขาทั้ง 2 ข้าง ไม่มีภาวะ Phlebitis ใส่แพมเพิร์ส ยังไม่ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ 1 ครั้ง ลักษณะเป็นก้อนน้ำตาล
GA : 22/10/2562 ผู้ป่วยหญิงไทย วัยสูงอายุ ผิวสีคล้ำ แห้ง ผมสีดำสลับขาว รู้สึกตัวดี มีอาการกระสับกระส่าย ไม่สามารถพูดคุยได้ แต่สามารถสื่อสารได้ด้วยท่าทาง ผู้ป่วย on Collar mask ต่อกับ corrugated tube 10 LPM ผู้ป่วยหายใจได้ มีหอบเหนื่อย เวลาทำกิจกรรมทางการพยาบาล เช่น ทำแผลTT tube , เปลี่ยนท่า เป็นต้น อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 20-28 BPM / O2 saturation = 99-100 % ผู้ป่วยไม่สามารถไอ ขับเสมหะออกมาเองได้ เสมหะมีลักษณะเหนียวใส มี Blood clot จากการเจาะคอเมื่อวันที่ 18/10/2562 on NG tube รับอาหาร BD ( 2: 1 ) 250*4 feed รับอาหารได้ดี ไม่มีอาเจียน on Lf. femoral Double Lumen Catheter ( DLC ) บริเวณก้นกกมีแผล Pressure injury ที่รอบรูทวาร และแก้มก้นด้านซ้าย Stage 2 on injection plug ที่ขาทั้ง 2 ข้าง EXT:24/10/2562 ไม่มีภาวะ Phlebitis ใส่แพมเพิร์ส ยังไม่ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ 1 ครั้ง
GA : 24/10/2562 ผู้ป่วยหญิงไทย วัยสูงอายุ ผิวสีคล้ำ แห้ง ผมสีดำสลับขาว รู้สึกตัวดี มีอาการกระสับกระส่าย ไม่สามารถพูดคุยได้ แต่สามารถสื่อสารได้ด้วยท่าทาง ผู้ป่วย on Collar mask ต่อกับ corrugated tube 8 LPM ผู้ป่วยหายใจได้ มีหอบเหนื่อย เวลาทำกิจกรรมทางการพยาบาล เช่น ทำแผลTT tube , เปลี่ยนท่า เป็นต้น อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 20-24 BPM / O2 saturation = 97-100 % ผู้ป่วยไม่สามารถไอ ขับเสมหะออกมาเองได้ เสมหะมีลักษณะเหนียวใส มี Blood clot มากกว่าเดิม on NG tube รับอาหาร BD ( 2: 1 ) 250*4 feed รับอาหารได้ดี ไม่มีอาเจียน on Lf. femoral Double Lumen Catheter ( DLC ) บริเวณก้นกกมีแผล Pressure injury ที่รอบรูทวาร และแก้มก้นด้านซ้าย ขนาด 2X3 cm Stage 2 on injection plug ที่ขาซ้าย EXT:28/10/2562 ไม่มีภาวะ Phlebitis ใส่แพมเพิร์ส ผู้ป่วยไม่ Void
GA : 30/10/2562 ผู้ป่วยหญิงไทย วัยสูงอายุ ผิวสีคล้ำ แห้ง ผมสีดำสลับขาว รู้สึกตัวดี มีอาการกระสับกระส่าย ไม่สามารถพูดคุยได้ แต่สามารถสื่อสารได้ด้วยท่าทาง ผู้ป่วย on Collar mask ต่อกับ corrugated tube 5 LPM ผู้ป่วยหายใจได้ ไม่มีหอบเหนื่อย อัตราการหายใจ 20 BPM / O2 saturation = 97-98 % ผู้ป่วยไม่สามารถไอ ขับเสมหะออกมาเองได้ เสมหะมีลักษณะเหนียวใส มี Blood clot เล็กน้อย on NG tube รับอาหาร BD ( 2: 1 ) 250*4 feed +น้ำตาม 30 ml รับอาหารได้ดี ไม่มีอาเจียน on Lf. femoral Double Lumen Catheter ( DLC ) บริเวณก้นกกมีแผล Pressure injury ที่รอบรูทวาร และแก้มก้นด้านซ้าย ขนาด 2X3 cm Stage 2 on injection plug ที่มือด้านซ้าย EXT:02/11/2562 ไม่มีภาวะ Phlebitis ใส่ blue pad ผู้ป่วยไม่ Void
Problems list
มีภาวะของเสียคั่งจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้
มีเสมหะมาก เหนียวข้น
ญาติไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ
Sputum C/S พบ Klebsiella pneumoniae (CER) (15/10/2562)
Medication
ยาปฎิชีวนะ
Ceftazidime 2 g IV drip OD
ยาต้านจุลชีพกลุ่มเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) สำหรับรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียหลายชนิด
ผลข้างเคียง :explode: ปวดบริเวณที่ฉีดยา ผิวหนังบวมแดงหรือมีเลือดออก (Phlebitis) ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายปนเลือด ปวดเกร็งบริเวณท้อง มีไข้ขึ้นในระหว่างการรักษาด้วยยา หายใจหรือกลืนอาหารได้ลำบาก เสียงแหบ เจ็บคอ
ลดความดัน
bisoprololvfumarate 2.5 mg 1*1 oral PC
เป็นยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ ออกฤทธิ์โดยการช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและช่วยไม่ให้หัวใจทำงานหนักเกินไป ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูง
ผลข้างเคียง :explode:
หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก
หัวใจเต้นผิดปกติ
ใจสั่น
ชา รู้สึกเหมือนเข็มทิ่ม มือและเท้าเย็น
สับสน มึนงง ไม่รู้สึกตัว
เจ็บตาหรือมีปัญหาในการมองเห็น
Apresoline 25 mg tab 1*2 oral PC
มีกลไกการออกฤทธิ์โดยทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดเกิดการคลายตัว จึงช่วยลดแรงต้านทานภายในหลอดเลือดและส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงเลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้ดีขึ้น
ผลข้างเคียง :explode:
หัวใจเต้นเร็วหรือใจสั่น
มีอาการบวมที่ใบหน้า ท้อง มือหรือเท้า
มีอาการชา ปวดแสบปวดร้อน เจ็บ หรือรู้สึกคล้ายเข็มทิ่ม
isosorbide dinitrate 10 mg 1*2 oral AC
ยาในกลุ่ม nitrates ยา Isosorbide dinitrate จะขยายหลอดเลือดทำให้หัวใจสามารถปั๊มเลือดผ่านหลอดเลือดง่ายขึ้น ยา Isosorbide dinitrate ใช้รักษาและป้องกันอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ผลข้างเคียง :explode:
หัวใจเต้นแรง เต้นเร็ว หรือเต้นช้าเกินไป
เจ็บหน้าอกมากขึ้น
ตามัว ปากแห้ง
คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก
manidipine 20 mg 1*1 oral PC
ป็น calcium antagonist ที่ใช้รักษาภาวความดันโลหิตสูง โดยยับยั้งการเคลื่อนที่ calcium จากภายนอกเซลเข้าสู่ภายในเซลผ่านทาง calcium channel จึงลดการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือด เป็นผลให้หลอดเลือดคลายตัว
ผลข้างเคียง :explode: ข้อเท้าบวม ปวดศีรษะ ใจสั่น หน้าแดง (flushing) และอ่อนเพลีย
วิตามิน
vitamin B complex 1*2 oral PC
เป็นกลุ่มของวิตามินบีที่ใช้รักษาและป้องกันการขาดวิตามินบีชนิดต่าง ๆ เนื่องมาจากทุพภาวะโภชนาการ โรคบางชนิด ติดสุรา หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่แตกต่างกันออกไปตามชนิดของวิตามินบี
ผลข้างเคียง :explode: วิตามินบีรวมแทบไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง บางส่วนอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย รู้สึกวูบวาบได้เล็กน้อย
folic acid 5 mg 1*1 PC
เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ จะช่วยเสริมสร้างกระบวนการผลิตเซลล์ใหม่ให้มีสุขภาพดี
ผลข้างเคียง :explode:
เวียนศีรษะ
ไม่อยากอาหาร
เรอ ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร
รู้สึกขมปาก
vitamin D2 2*1 oral วันพุธ
วิตามินดี จะช่วยดูดซึมแคลเซียม ไปใช้ในกระบวนการสร้างกระดูก รักษาความสมดุลของระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด มีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ ปอด สมอง หัวใจและระบบภูมิคุ้มกัน
ผลข้างเคียง :explode:
กระหายน้ำ
ปัสสาวะบ่อย
ปวดกระดูก
คลื่นไส้ อาเจียน
ท้องผูก
ไอ
กลืนอาหารลำบาก
หัวใจเต้นเร็ว
มีอาการคัน เป็นผื่น หรือลมพิษ
ลดคลอเรสเตอรอล
atorvastatin 40 mg 1/2 * 1 oral hs
ยาในกลุ่มสแตติน (Statins หรือ HMG CoA Reductase Inhibitors) มีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด (Triglyceride) ในขณะเดียวกันก็ช่วยในการเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีในร่างกาย (HDL) ได้
ผลข้างเคียง :explode: ปวดตามข้อ ท้องเสีย มีอาการอักเสบที่คอและจมูก หรืออาจมีอาการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ นอนไม่หลับ ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อแขนและขา กล้ามเนื้อเกร็ง และคลื่นไส้ เป็นต้น
ลดกรด
Sodiumint bicarbonate 300 mg 5*4 oral PC
รักษาภาวะความเป็นกรดเกินของร่างกายและภาวะอาหารไม่ย่อย มีฤทธิ์เป็นด่าง เมื่อตัวยาถูกดูดซึมและกระจายตัวเข้าสู่กระแสเลือด ตัวยาจะค่อย ๆ เพิ่มค่าความเป็นด่างให้มีปริมาณสูงขึ้น สำหรับในกระเพาะอาหาร โซเดียมไบคาร์บอเนตนั้นสามารถออกฤทธิ์สะเทิน (ทำให้เป็นกลาง) หรือต้านฤทธิ์ของกรดในกระเพาะอาหารได้โดยตรง
ผลข้างเคียง :explode: กระหายน้ำบ่อย อารมณ์แปรปรวน หายใจหอบถี่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดเกร็งท้อง ท้องอืดหรือมีลมในกระเพาะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชักเกร็ง ฯลฯ
Omeprazole 20 mg 1*2 oral AC
ลดการหลั่งกรดที่อยู่ในกลุ่ม proton pump inhibitors (PPIs)
ผลข้างเคียง :explode:
ปวดหัว
คลื่นไส้ อาเจียน
มีแก๊สในกระเพาะอาหาร
ท้องผูก
ท้องเสีย
บรรเทาปวด
paracetamol 500 mg 1* 4 prn q 4 hr
ลดอาการปวดโดยยับยั้งการกระตุ้นการปวด และลดไข้โดยยับยั้งศูนย์ควบคุมการความร้อนที่ไฮโปทาลามัส มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบแบบอ่อน เนื่องจากสามารถยับยั้งการสังเคราะห์พรอสตาแกลนดินส์ (prostaglandins) ในระบบประสาทส่วนกลาง
ผลข้างเคียง : อาจก่อให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ภาวะ agranulocytosisอาการปวด รู้สึกแสบร้อนบริเวณที่ฉีดยา ผลข้างเคียงที่รุนแรง ได้แก่ การแพ้ยารุนแรง พิษต่อตับ
Tramadol 50 mg cap 1*2 prn q 12 hr
ยับยั้งการดูดกลับของนอร์อีพิเนปฟริน (norepinephrine) ซีโรโทนิน (serotonin) และเพิ่มการปลดปล่อยของซีโรโทนิน ยาลดการตอบสนองต่อการรับรู้การปวดโดยจับกับตัวรับโอพิออยด์ ชนิดมิว (mu-opioid receptor) ในระบบประสาทส่วนกลาง
ผลข้างเคียง :explode: อาการชัก มึนงง ปวดศีรษะ ง่วงซึมในช่วงกลางวัน อ่อนเพลีย
ยานอนหลับ
lorazepam 0.5 mg prn hs
ยาในกลุ่ม benzodiazepines ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง จึงยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาท ส่งผลให้ลดอาการวิตกกังวล ทำให้ง่วงหลับ ต้านอาการชัก คลายกล้ามเนื้อ
ผลข้างเคียง :explode:
ความดันโลหิตต่ำ
รู้สึกง่วงซึมมาก
มีภาวะหายใจตื้น หายใจเร็ว และรู้สึกเหมือนคุณหายใจไม่เต็มปอด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
Novomic (70/130) 8-0-3 unit SC AC
Premixed insulin เป็นชนิดที่นำอินซูลินสองชนิดมาผสมรวมกัน เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 6-14 ชั่วโมงหลังฉีด และค่อย ๆ ออกฤทธิ์ใน 10-16 ชั่วโมง โดยไม่มีช่วงเวลาออกฤทธิ์สูงสุด อินซูลีนชนิดนี้จะอยู่ในกระแสเลือดได้ถึง 20-24 ชั่วโมง
ผลข้างเคียง :explode:
รู้สึกวิตกกังวล มึนงง ซึมเศร้า
ตาพร่ามัว
มีอาการหนาวสั่น และมีเหงื่อออก ตัวเย็น
เกิดอาการชักกะตุก ชัก หรือตัวสั่น
ผิวหนังซีด หรือมีผื่นขึ้น
ปากแห้ง ไอ กลืนลำบาก
ยาละลายเสมหะ
acetylcysteine 200 mg 2*3 PC
ยาจะช่วยสลายมูกเหนียวข้นให้เจือจางลง เพื่อให้ระบบทางเดินหายใจขับมูกเสมหะเหล่านั้นออกมาได้ และช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้นในที่สุด
ผลข้างเคียง :explode: เป็นหวัด คัดจมูก ผิวหนังซีดเย็น ง่วงนอน มีไข้
NSS 0.9% INJ. (5 ml )4 ml NB q 6 hr
ยาขยายหลอดลม
ipratopium+fenoterol (0.5+1.25) mg sol. 4 ml. 1 NB prn q 4 hr
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง
ข็อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีเสมหะสีขาว เหนียวข้น มี Blood clot และไม่สามารถขับออกด้วยตนเองได้
Sputum C/S พบ Klebsiella pneumoniae (CER) (15/10/2562)
ผู้ป่วยเหนื่อยขณะให้หิจกรรมการพยาบาล เช่น ทำแผล TT tube , suction เปลี่ยนท่า
อัตรการหายใจ 20-28 BPM
CBC พบ Neutrophil = 71.4 % (19/10/2562)
วัตถุประสงค์ทางการพยาบาล
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน คือ หารใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ใช้ปีกจมูกในการกายใจ ปลายมือปลายเท้าเย็น คล้ำเขียว Cyanosis
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT = 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
PR = 60-100 BPM
RR = 16-24 BPM
BP = 90-140/60-90 mmHg
Ps > 3
O2 saturation > 94 %
ไม่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ ไม่มีเสมหะ ทางเดินหายใจโล่ง
ผู้ป่วยสามารถหายใจด้วยตนเองได้ ไม่ต้องใช้เครื่อง ventilator
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบ CBC : WBC = 5000-10000 cell/uL Neutrophil = 48.1-71.2 % ผล sputum c/s ไม่พบเชื้อ
Lung sound ไม่พบเสียงผิดปกติ
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน คือ หารใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ใช้ปีกจมูกในการกายใจ ปลายมือปลายเท้าเย็น คล้ำเขียว Cyanosis
ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชม. โดยเฉพาะ อัตรการหายใจ รวมทั้งประเมิน ประเมินค่า O2 saturation
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งโดยการเคาะปอด Suction q 2 hr โดยต้อง Mount care ก่อน เสมอเพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
จัดท่าให้ผู่ป่วยนอนท่า Fowler's position เพื่อเปิดทางเดินหานใจให้โล่ง
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้โล่งและปลอดโปร่งอยู่เสมอ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนบนเตียง เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ประเมิน Lung sound ว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนคือ Collar mask c colugate tube 5 LPM
ดูแลทำความสะอาด TT Tube เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อ และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ท่อช่วยหานใจ คือ มีอากาศรั่ว เช่น pneumothorax, pneumomediastinum ท่อหลุด ท่ออุดตัน ปัญหาจาก cuff เช่น หลวมไป แน่นไป ใส่ลมมากเกินไป จนปลิ้นไปอุดรูของท่อ การติดเชื้อ
ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง และใส่ถุงมือ clean glove
2.จัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย หนุนต้นคอด้วยผ้า หรือหมอนเล็กๆ เพื่อให้คอแอ่นขึ้นเล็กน้อย
ใช้กรรไกรตัดพลาสเตอร์ที่ติดบนก๊อส และค่อยๆ ดึงผ้าก๊อสผืนเก่า ที่รองใต้ท่อหลอดลมคอของผู้ป่วยออก
เปิดset ทำแผลด้วยเทคนิค sterile และเท NSS 0.9% ลงในถ้วย
ใช้Foceps คีบปลายไม้พันสำลีออกมา แล้วเช็ดผิวหนังบริเวณใต้ท่อหลอดลมคอทั้งด้านบนและด้านล่าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา และทำซ้ำด้วยไม้พันสำลีอันใหม่จนสะอาด ห้ามใช้ไม้พันสำลีแยงเข้าไปภายในท่อหลอดลมคอ เพราะอาจจะหลุดเข้าไป อุดตันหลอดลม ทำให้หายใจไม่ออกได้
ใช้ Foceps คีบผ้าก๊อสสีเหลี่ยม รองใต้แป้นท่อหลอดลมคอทีละข้าง แล้วปิดพลาสเตอร์ยึดชายผ้าก๊อสด้านล่างเข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันท่อหลอดลมคอเสียดสีกับผิวหนัง
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ คือ Ceftazidime 2 g IV drip OD เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย acetylcysteine 200 mg 2*3 PC เพื่อละลายเสมหะ inhalex forte (0.5+1.25) mg sol. 4 ml. 1 NB prn q 4 hr สลับกับ NSS 0.9% INJ. (5 ml )4 ml NB q 6 hr เพื่อขยายหลอดลม และ obserb ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC พบ WBC , neutrophil และผล sputum c/s และรายงานแพทย์ทราบ
ให้การพยาบาลตามหลัก Universal precaution คือใส่ mask , glove , gown ให้เรียบร้อยก่อนให้การพยาบาลทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยสู่ผู้อื่น และป้องกันเชื้อจากผู้ผื่นเข้าสู่ผู้ป่วย
การประเมินผล
24/10/2562
-ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน คือ หารใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ใช้ปีกจมูกในการกายใจ ปลายมือปลายเท้าเย็น คล้ำเขียว Cyanosis
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้ BT=36.9-37.5 องศาเซลเซียส PR = 100-102 BPM RR=20-24 BPM BP = 117-131/66-82 mmHg
O2 saturation 97-100 %
Lung sound ไม่พบเสียงผิดปกติ
ผู้ป่วยon TT tube ต่อกับ Collar mask c colugate tube 8 LPM สามารถหายใจด้วยตนเองได้ ไม่ต้องใช้เครื่อง ventilator
ไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
29/10/2562
-ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน คือ หารใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ใช้ปีกจมูกในการกายใจ ปลายมือปลายเท้าเย็น คล้ำเขียว Cyanosis
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้ BT=36.1-37.2 องศาเซลเซียส PR = 78-108 BPM RR=20 BPM BP = 116-140/62-90 mmHg
O2 saturation 97-98 %
ผู้ป่วยon TT tube ต่อกับ Collar mask c colugate tube 5 LPM สามารถหายใจด้วยตนเองได้ ไม่ต้องใช้เครื่อง ventilator
ผู้ป่วยon TT tube ต่อกับ Collar mask c colugate tube 5 LPM สามารถหายใจด้วยตนเองได้ ไม่ต้องใช้เครื่อง ventilatorติ
ผล Chest x-ray ไม่พบความผิดปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC (28/10/2562) พบ WBC = 9210 cell/uL ปกติ
Neutrophil = 75 % สูงกว่าปกติ (48.1-71.2)
ผล sputum culture (18/10/2562) พบ Normal Flora
ผล sputum gram stain (18/10/2562) พบ Gram negative Bacilli
2.มีภาวะของเสียคั่งเนื่องจากการทำงานของไตเสียหน้าที่
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีอาการ ซึม อ่อนเพลีย
eGFR = 28.49 ml/min (20/10/2562)
Creatinine 1.67 mg/dl
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะของเสียคั่ง เช่น pitting edema อ่อนเพลียมากขึ้น มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเเจียน ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ BUN , Cr ,eGFR , Albumin อยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
PR = 60-100 BPM
BT = 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
RR = 16-24 BPM
BP = 90-140/60-90 mmHg
Ps > 3
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะของเสียคั่ง pitting edema อ่อนเพลียมากขึ้น มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเเจียน ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะ BP
ดูแลให้ได้รับการ HD ทุกวัน จันทร์ และวัน พฤหัสบดี
การดูแลก่อนไปทำ HD
3.ควรรับประทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนการฟอกเลือด
1.ประเมินอาการผิดปกติต่างๆ เช่น มีไข้ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หากมีอาการดังกล่าว ให้รายงานแพทย์ทราบ
2.ทำความสะอาดบริเวณที่จะฟอกเลือด และไม่ทาครีม แป้ง หรือทาโลชั่น บริเวณที่ฟอกเลือด ในวันที่ทำการฟอกเลือด
3.ชั่งน้ำหนักก่อนไปฟอกเลือดทุกครั้ง
การพยาบาลหลังทำ HD
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะไม่สมดุลของอิเล็กไทรไลท์ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง สับสน
2.ชั่งน้ำหนักหลังการฟอกเลือด
หลังการฟอกเลือดอาจมีผลของยาที่ใช้ในการป้องกันการแข็งตัวของเลือด ให้ระมัดระวังการกระแทก เพราะอาจทำให้เกิด Bleed ได้ง่าย
บันทึก I/O ทุกเวร และดูแลให้ได้รับการจำกัดน้ำ 800 ml/day
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ BUN , Cr ,eGFR , Albumin และรายงานแพทย์ทราบ
ดูแล DLC ที่ Rt. femoral
1.ดูแลความสะอาดบริเวณที่ใส่สายสวนให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ ระมัดระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษในช่วงที่มีการขับถ่ายปัสสาวะ และ อุจจาระ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสสิ่งสกปรก
2.งดแกะเกาบริเวณรอบนอกแผล เพราะอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้
3.หลีกเลี่ยงการนั่งงอขาหรือพับขา เพื่อลดความเสี่ยง
จากภาวะสายสวนอุดตัน และภาวะหลอดเลือดดำอุดตันในชั้นลึก
4.แนะนำผู้ป่วยกระดกข้อเท้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนเลือดจากส่วนปลาย
เฝ้าระวังและสังเกตอาการ หากพบขาบวม ปวด คลำดูร้อน ให้รายงานแพทย์ทราบ
ดูแลให้ได้รับยา รักษาสมดุลกรดด่าง คือ Sodiumint bicarbonate 300 mg 5*4 oral PC และ obserd ผลข้างเคียงจากยา
การประเมินผล
24/10/2562
ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย มึนงง สับสนบางครั้ง
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้ BT=36.9-37.5 องศาเซลเซียส PR = 100-102 BPM RR=20-24 BPM BP = 117-131/66-82 mmHg
ไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
29/10/2562
ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย มึนงง สับสนบางครั้ง
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้ BT=36.1-37.2 องศาเซลเซียส PR = 78-108 BPM RR=20 BPM BP = 116-140/62-90 mmHg
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
BUN = 60.4 mg/dl สูงกว่าปกติ (7.0-18.7)
Creatinine =6.19 mg/dl สูงกว่าปกติ(0.55-1.22)
eGFR = 5.85 ต่่ำกว่าปกติ (>90)
6.ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวลกับการเจ็บป่วยในครั้งนี้
ข้อมูลสนับสนุน
ญาติผู้ป่วยบอกว่า "อาการแกหนักกว่าเดิมมาก ต้องมาเจาะคออีก"
ญาติผู้ป่วยมีสีหน้ากังวล คิ้วขมวด แววตาเศร้าหมองตลอดเวลา
เวลาให้การพยาบาล ผู้ป่วยจะนำมือมาปัด แสดงท่าทีไม่อยากรับการรักษา
วัตถุประสงค์
ลดความวิตกกังวลช่วยให้ผู้ป่วยและญาติรู้สึกผ่อนคลาย
เกณฑ์การประเมินผล
ญาติผู้ป่วยมีสีหน้าสดใส ยิ้มแย้มได้มากขึ้น
ผู้ป่วยและญาติไม่แสดงอาการวิตกกังวล เข้าใจการเจ็บป่วยของผู้ป่วย
ผู้ป่วยยินยอมรับการรักษา ไม่แสดงท่าทีต่อต้าน
กิจกรรมการพยาบาล
1.พูดคุยสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับญาติของผู้ป่วย เพื่อให้ญาติไว้วางใจและระบายความไม่สบายใจออกมา พร้อมทังเปิดโอกาสให้ซักถามในสิ่งที่สงสัย หรือยังไม่เข้าใจ
2.ประเมินความวิตกกังวลของญาติ จากสีหน้า ท่าทาง แววตา และคำพูด
3.อธิบายให้ญาติทราบถึงความเจ็บป่วยปัจจุบัน เพื่อลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรักษา
4.บอกให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความเป็นไปรอบตัว อุปกรณ์ทางการแพทย์ แจ้งและอธิบายผู้ป่วยก่อนทำหัตถการหรือให้การพยาบาลใดๆเพื่อให้เข้าใจและให้การร่วมมือในการรักษา
5.คอยรับฟังในสิ่งที่ญาติพูดและผู้ป่วยพยายายจะสื่อสาร ไม่นำความคิดของพยาบาลไปขัดแย้งกับผู้ป่วย
6.แนะนำญาติมาเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงการพูดคุยในสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวล
7.แนำนำวิธีผ่อนคลายความเครียดโดยใช้วิธีที่ผู้ป่วยชอบ คือ การฟังเพลง ฟังธรรมะ
5.ญาติขาดความตระหนักในการดูแลผู้ป่วย
ข้อมูลสนับสนุน
ญาติรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว แต่ไม่ปฏิบัติตาม เช่นการใส่ mask การล้างมือ
เมื่อคลาดสายตาจากพยาบาล ญาติจะปฏิบัติตามที่ญาติเคยชิน ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่นการใช้ไม้เกาหลัง เกาผู้ป่วย
วัตถุประสงค์
ญาติมีความตระหนักในการดูแลผู้ป่วย
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินความรู้ ความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติตัว ของญาติผู้ป่วย
2.อธิบายให้ญาติทราบถึงผลเสียและภาวะแทรกซ้อนของการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม โดยยกตัวอย่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับผู้ป่วย เช่น เรื่องการใช้ไม้เกาบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย ให้ญาติลองทำกับตนเองว่าถ้าหากใช้ไม้เกาแล้วรู้สึกอย่างไร และยิ่งทำกับคนไข้ ที่มีผิวที่บางกว่า เสี่ยงต่อการเกิดแผลง่ายกว่า จะเจ็บกว่าขนาดไหน
3.แนะนำการป้องกันตนเอง โดยยกตัวอย่างจากสภาพแวดล้อมที่บ้านว่า ถ้าหากไม่ป้องกันตัว ไม่ใส่ mask ไม่ใส่ถุงมือ อาจมีเชื้อโรคที่ติดไปกับตัวของญาติ แล้วกลับบ้านไป จะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่คนที่บ้านได้
เกณฑ์การประเมินผล
ญาติทราบถึงข้อดีและข้อเสียของการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆให้คนไข้
ญาติปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม
ผู้ป่วยไม่มีแผลหรือผลเสียที่เกิดจากการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมจากญาติ
4.เสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลกดทับ
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีแผลบริเวณรอบรูทวารหนัก และแก้มก้นด้านซ้ายขนาด 2 x 3 cm
ผู้ป่วยใส่แพมเพิร์ท
barden score = 12 (เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับสูง)
IAD level 2 (Early IAD)
วัตถุประสงค์
ไม่เกิดภาวะติดเชื้อบริเวณแผลกดทับ
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่เกิดอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น เกิดการอักเสบ : ปวด บวม แผลแดง ร้อน , มีไข้ ,มี discharge ไหลออกมาจากแผล ,
ไม่เกิดแผลกดทับ และแผล IAD เพิ่มบริเวณอื่น
สัญญาณชีพอยู่ในเหณฑ์ปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบ CBC : WBC = 5000-10000 cell/uL Neutrophil = 48.1-71.2 %
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น เกิดการอักเสบ : ปวด บวม แผลแดง ร้อน , มีไข้ ,มี discharge ไหลออกมาจากแผล ,
3.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะ body temperature
4.ตรวจดูแพมเพิร์ท ทุก 2 ชั่วโมง ก่อนการ Suction เปลี่ยนท่า
5.ทำความสะอาดบริเวณ perinium หลังการขับถ่ายทุกครั้ง ทำความสะอาดอย่างเบามือ ไม่ขัดหรือถูแรงๆ เพื่อป้องกันการเสียดสีต่อผิวหนัง
1.ทำความสะอาดด้วย สำลีชุบน้ำสะอาด
2.ทำความสะอาดด้วย cleanser (3M cavilonTMNo-Rinse Skin Cleanser) แล้วซับให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก
3.ฉีดผลิตภัณฑ์ป้องกันผิวหนัง คือ 3M Cavilon TMNo Sting Barrier Film เพื่อป้องกันผิวหนังเสียหายจากการสัมผัสปัสสาวะ/อุจจาระ
4.ทาด้วย 20% Zinc Cream บริเวณรอบๆแผล
2.ประเมินลักษณะแผล ตำแหน่งของการเกิดแผล สี และ discharge
6.พลิกตะแครงตัวคนไข้ ทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการกดทับบริเวณแผล พร้อมใช้หมอนรองบริเวณปุ่มกระดูก เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
7.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และรายงานแพทย์ทราบ
3 ผู้ป่วยมีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเนื่องจากไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยไม่ถ่ายปัสสาวะ (CKD stage 5)
ผล UA (24/10/2562) WBC > 100 HPF
Bacteria = Few
Yeast = 2+
ผล urime Gram stain (18/10/2562) พบ
Polymorphonuclear cells , Yeast
ผล urine culture (18/10/2562 )พบ 10^5 CFU/ml CAndida albicans
และ 10^5 CFU/ml Candida tropicalis
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยไม่มีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการแสดงของภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะสีผิดจากเดิม ปัสสาวะขุ่น มีตะกอน มีกลิ่นเหม็น
อุณหภูมิร่างกาย = 36.5-3704 องศาเซลเซียส
บริเวณ perineum สะอาด ไม่อับชื้น
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC พบ WBC = 5000-10000 cell/uL UA ไม่พบ RBC , WBC , epithelial cell
, Urine Gram stain ไม่พบเชื้อ , urine culture ไม่พบเชื้อ
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะสีผิดจากเดิม ปัสสวาขุ่น มีตะกอน มีกลิ่นเหม็น มีไข้
2.ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย เพราะแสดงถึงอาการของการติดเชื้อ
3.สังเกตปัสสาวะ ประเมินสี ลักษณะ กลิ่น ปริมาณ และบันทึกผลทางการพยาบาล
4.ดูแลทำความสะอาดบริเวณ perineum อยู่เสมอ โดยทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
6.บันทึก I/O ทุกเวร
7.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทราบ
5.ดูแลให้ได้รับการดื่มน้ำ <1000 ตามแผนการรักษาของแพทย์
การประเมินผล
29/10/2562
ผู้ป่วยปัสสาวะรด Blue pad
อุณหภูมิร่างกายอยู่ในช่วง 36.1-37.2 องศาเซลเซียส
บริเวณ perineum สะอาดไม่มีการอับชื้น
ผล urime Gram stain (25/10/2562) พบ
Polymorphonuclear cells , Yeast
ผล urine culture (25/10/2562) พบ
10^5 CFU/ml Candida Tropicalis
CKD
chonic kidney disease : ไตวายเรื้อรัง เป็นภาวะที่ไตลดการทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ และไม่สามารถกลับคืนเป็นปกติได้ เนื่องจากไตถูกทำลายอย่างถาวร อาจใช้เวลานานหลายปี ระยะสุดท้ายของไตวายเรื้อรังเรียกว่า End-stage renal disease (ESRD)
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติที่ไต เช่น มีอาการอักเสบที่ไต จากโรคต่างๆ เช่น SLE, Scleroderma, Polyarteritis nodosa เบาหวาน Hypertension นิ่วในไต และอาจเกิดจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น เนื้องอกของต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ถ่ายปัสสาวะไม่ออกเนื่องจากมีการอุดตันในหลอดปัสสาวะ (Urethral Obstruction)
ผู้ป่วย มี U/D DM, HT ประมาณ 10 ปี
พยาธิ
พยาธิสรีรภาพ เมื่อหน่วยไต (Nephron) ถูกทำลายจะทำให้ความสามารถในการขจัดของเสียออกจากเลือดลดลง หรืออัตราการกรองของหน่วยกรองปัสสาวะ (Glomerular filtration rate; GFR) ลดลง ปกติ GFR = 125 มิลลิลิตร/นาที ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจะมี GFR เป็นร้อยละ 35-50 ของปกติ หากผู้ป่วยมี GFR < 10-20 มิลลิลิตร/นาที หรือ GFR น้อยกว่าร้อยละ 10 ของปกติ ซึ่งหมายถึงหน่วยไตสูญเสียการทำหน้าที่ไปมากกว่าร้อยละ 85 หรือเรียกว่า ไตวายระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีการคั่งของของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีนทำให้ Blood urea nitrogen (BUN) และ Creatinine (Cr) ในเลือดสูงขึ้น เรียกว่า ภาวะยูรีเมีย (Uremia) ไตวายเรื้อรัง
ระยะของไตวายเรื้อรัง
ระยะ 1 ไตผิดปกติ โดย GFR ปกติ หรือเพิ่มขึ้น อัตราการกรองของไต > 90 ml/min/1.73 m^2
ระยะ 2 ไตผิดปกติ โดย GFR ลดลงเล็กน้อย อัตราการกรองของไต 60-89 ml/min/1.73 m^2
ระยะ 3a ไตผิดปกติ โดย GFR ลดลงxkod]k' อัตราการกรองของไต 45-59 ml/min/1.73 m^2
ระยะ 3b ไตผิดปกติ โดย GFR ลดลงปานกลาง-มาก อัตราการกรองของไต 30-44 ml/min/1.73 m^2
ระยะ 4 ไตผิดปกติ โดย GFR ลดลงมาก อัตราการกรองของไต 15-29 ml/min/1.73 m^2
ระยะ 5 ไตวาย อัตราการกรองของไต < 15 ml/min/1.73 m^2
ผู้ป่วยเป็น CKD Stage 5 เนื่องจาก เป็น CKD มา 4 ปีและได้รับการทำ HD
อาการ
อาการ เหนื่อยง่าย น้ำหนักเพิ่ม บวมที่เท้า มือ และบริเวณก้นกบ ซีด อ่อนเพลีย มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร มีรอยจ้ำเลือดที่ผิวหนังได้ง่าย หายใจเร็ว หายใจลำบาก ลมหายใจมีกลิ่นแอมโมเนีย มีอาการไอ เจ็บหน้าอกเวลาไอ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการท้องผูก ท้องเสีย เซื่องซึม สับสน ไม่รู้สึกตัว กล้ามเนื้อเกร็ง เป็นตะคริว กระดูกหักง่าย ปวดข้อ คันตามผิวหนัง ผิวหนังคล้ำ แห้ง แตก ในหญิงอาจมีประจำเดือนขาดหายไป
ผู้ป่วยมีอาการ เซี่องซึม สับสน เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คันตามผิวหนัง ผิวหนังคล้ำ แห้ง
การวินิจฉัย
ตรวจพบมีอาการบวม ตรวจหาระดับครีอะตินินพบว่าสูง คำนวณค่าครีอะตินินเคลียรานซ์ (CCr) น้อยกว่า 10 มิลลิลิตรต่อนาที (แสดวงว่ามีการสูญเสียการทำหน้าที่ของไตหรือไตถูกทำลายอย่างรุนแรง) ตรวจเลือดหาอิเล็กโทรไลต์ ตรวจหาจำนวนเม็ดเลือด (Complete blood count; CBC) Uric acid, Blood urea nitrogen (BUN) สูง Sodium สูง Potassium สูง Calcium ต่ำ Phosphorus สูง Magnesium สูง CCr ต่ำ Uric Acid สูง การถ่ายภาพรังสีพบว่าไตมีขนาดเล็กลง เจาะเนื้อไตเพื่อดูพยาธิสภาพ
ไม่มีอาการบวม
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC 28/10/2562 พบ Hct = 24 % Hb = 7.7 g/dl
BUN = 60.4 mg/dl สูง
Creatinine = 6.19 mg/dl สูง
eGFR = 5.85 mL/min
CT Whole abdomen พบ Hydronephrosis
๊UTI
อาการและอาการแสดง
ปวดหรือแสบขณะปัสสาวะ
ต้องการปัสสาวะแบบปัจจุบันทันด่วน (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่)
ปวดหลังหรือท้อง
ปัสสาวะขุ่นหรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
ผู้ป่วยมีปัสสาวะขุ่น
ไม่สบายตัว
สาเหตุ
การติดเชื้อบริเวณทางเดินปัสสาวะ (UTI) คือการติดเชื้อบริเวณอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะแบคทีเรียที่เข้าสู่ท่อไต ในผู้ป่วยบางรายที่พบน้อยมาก การติดเชื้อบริเวณทางเดินปัสสาวะอาจเกิดจากแบคทีเรียในกระแสโลหิต ทั้งนี้เราเรียกอาการที่เกิดจากการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะว่ากระเพาะปัสสาวะอักเสบและอาการที่เกิดจากการติดเชื้อในท่อปัสสาวะว่าท่อปัสสาวะอักเสบ
การวินิจฉัย
ตรวจหาสาเหตุของการกลับมาเป็นซ้ำ หรือการติดเชื้อเรื้อรัง
ตรวจหาปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับไต
ผู้ป่วยเป็น CKD stage 5 มา 2 ปี
CT Whole abdomen (25/09/2562) พบ Hydronephrosis and Hydroureter
วินิจฉัยปัญหาที่เกิดในเชิงกายภาพของทางเดินปัสสาวะที่มีโอกาสทำให้เป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
ตรวจหาการติดเชื้อที่มีสาเหตุมาจากแบคทีเรียที่ต่างออกไปจากปกติ
ตรวจดูว่าผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือไม่
discharge planning
Diagnosis
ให้ความรู้ผู้ดูแลเรื่อง TT tube เนื่องจากผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่ ช่วงคอสั้น ทำให้ ต้องได้รับการเจาะคอด้วยท่อแบบพิเศษ ซึ่งท่อชนิดนี้จะแตกต่างจากท่อปกติ คือ ท่อปกติจะมีชั้นนอกและชั้นใน และสามารถถอดชั้นในออกมาทำความสะอาดได้ แต่ท่อชนิดที่ผู้ป่วยใส่เป็นแบบชั้นเดียว ไม่สามารถถอดชั้นในมาล้างทำความสะอาดได้ จึงมีโอกาสเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคได้มากกว่า ดังนั้นจึงต้องดูแล และทำความสะอาดรอบนอกเป็นพิเศษ รวมถึงการ Suction ควรนำเสมหะออกมาให้หมด มิฉนั้นหากเสมหะเหนียวติดบริเวณในท่อ จะทำให้ผู้ป่วยมีเสมหะอุดทางเดินหายใจ เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นอีกด้วย
Medicine
ให้ผู้ดูแลดูแลให้ได้รับยาตามขนาดและเวลาที่ถูกต้อง โดยถ้าเป็นยาเม็ดต้องบดและให้ทางสาย NG tube , ยาพ่น ให้ใส่ยาลงในกระบอกพ่นยา และเปิด O2 6-12 LPM หรือจนเป็นไออกมา จึงถือว่ายามีประสิทธิภาพ โดยกระบอกพ่นยาควรใช้ 1 set ต่อ 1 วัน
Environment
จากการสอบถามญาติผู้ป่วยบอกว่า จะให้ผู้ป่วยพักที่บ้านชั้น 1 โดยด้านหน้าจะเป็น officeทำงาน และด้านหลังจะตั้งเตียงให้ผู้ป่วยนอน ไม่มีประตูแบ่งโซน เนื่องจากมีแอร์ตัวเดียว ต้องเปิดจากด้านหลังเพื่อให้เย็นไปถือบริเวณ office ด้านหน้า แนะนำให้ผู้ป่วยควรอยู่ในห้องที่มีอากาศโปร่งโล่ง ไม่มีผู้คนเยอะและไม่ใช้อากาศหมุนเวียน ไม่ถ่ายเท เพราะเสี่ยงต่อการที่ผู้อื่นป่วยจะนำโรคมาให้ผู้ป่วยได้ ดูแลไม่ให้ผู้ป่วยกลิ้งตกเตียง
Treatment
สอนวิธีการทำแผล TT tube ที่ถูกต้อง คือใช้เทคนิค aseptic technique เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อ
ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง และใส่ถุงมือ clean glove
2..จัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย หนุนต้นคอด้วยผ้า หรือหมอนเล็กๆ เพื่อให้คอแอ่นขึ้นเล็กน้อย
ใช้กรรไกรตัดพลาสเตอร์ที่ติดบนก๊อส และค่อยๆ ดึงผ้าก๊อสผืนเก่า ที่รองใต้ท่อหลอดลมคอของผู้ป่วยออก
เปิดset ทำแผลด้วยเทคนิค sterile และเท NSS 0.9% ลงในถ้วย
ใช้Foceps คีบปลายไม้พันสำลีออกมา แล้วเช็ดผิวหนังบริเวณใต้ท่อหลอดลมคอทั้งด้านบนและด้านล่าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา และทำซ้ำด้วยไม้พันสำลีอันใหม่จนสะอาด ห้ามใช้ไม้พันสำลีแยงเข้าไปภายในท่อหลอดลมคอ เพราะอาจจะหลุดเข้าไป อุดตันหลอดลม ทำให้หายใจไม่ออกได้
ใช้ Foceps คีบผ้าก๊อสสีเหลี่ยม รองใต้แป้นท่อหลอดลมคอทีละข้าง แล้วปิดพลาสเตอร์ยึดชายผ้าก๊อสด้านล่างเข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันท่อหลอดลมคอเสียดสีกับผิวหนัง
7.เปลี่ยนเชือกผูก tube เส้นใหม่ โดยไม่ควรผูกให้หลวมหรือแน่นเกินไป ให้ใช้นิ้วสอดได้2นิ้ว
สังเกตอาการผิดปกติต่างๆ หากพบ ซึมลง สับสน หายใจไม่ออก หายใจหอบเหนื่อย กระวนกระวาย ปลายมือปลายเท้าเขียว หรือมีไข้สูงเช็ดตัวแล้วไม่หาย ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
Health
-ส่งเสริมและฟื้นฟูสภาพร่างกาย โดยพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ
-Exercise ข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อมือข้อเท้า เพื่อส่งเสริมให้ไม่เกิดข้อยึดติด กล้ามเนื้อได้ทำงาน
Out patient
แนะนำให้ญาติพาผู้ป่วยมาตรวจตามนัด เพื่อติดตามอาการ และความคืบหน้าของการรักษา หรือในกรณีที่เกิดภาวะฉุกเฉินให้ติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้าน
Diet
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารทาง NG feed โดยอาหารควรผ่านการนึ่งและบด ไม่ควรทอด โดยควบคุมอาหารที่มีโปรตีน ควรรับประทาน ปลา เนื้อหมู เนื้อไก่ที่ไม่ติดหนังหรือมัน หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน
เลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัส เช่น เนยแข็ง งดอาหารที่ใช้ผงฟู
เลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผักสดสีเข้ม นมไขมันต่ำ ถั่วหรือธัญพืชต่างๆ ปลาแซลม่อน เห็ด กล้วย ส้ม