Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความหมายและความเป็นมาของโลกาภิวัตน์ - Coggle Diagram
ความหมายและความเป็นมาของโลกาภิวัตน์
ความหมายและความเป็นมาของโลกาภิวัตน์
ในปี พ.ศ. 2542 ราชบัณฑิตยสถาน ได้กําหนดไว้ในพจนานุกรมไทย ว่า“โลกาภิวัตน์ ตรงกับคําว่า “Globalization”
และให้นิยามว่า เป็นคํานาม หมายถึง การแพร่กระจายไปทั่วโลก การที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ณ จุดใด สามารถรับรู้สัมพันธ์
หรือรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง อันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นต้น ตามคําศัพท์
ภาษาอังกฤษ global แปลว่า โลก + ization แปลว่า ทําให้เป็นไปอย่างใหญ่หลวง
จะเห็นได้ว่า “โลกาภิวัตน์” เกี่ยวข้องกับทุกศาสตร์ แต่ละศาสตร์กําหนดขอบเขตที่มีความเฉพาะเจาะจงในศาสตร์นั้น ๆ
ทั้งนี้เพราะ ข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงที่สุดต่อประชาการโลกในยุคปัจจุบัน กระบวนการส่งผ่านข้อมูลข่าวสาร สินค้าและบริการ แรงงาน ทุน ข้ามอาณาเขตประเทศ โดยมีเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีด้านการ
ขนส่งเป็นเครื่องมือและกระตุ้นให้เส้นทางของการส่งผ่านโยงใยกว้างขวางไปตามแรงของความต้องการของประชากรโลก ผลลัพธ์จากกระบวนการส่งผ่านเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อประชากรโลกเอง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง การศึกษาวัฒนธรรม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
นักวิชาการสาขาต่าง ๆ แสดงความเห็นเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของโลกาภิวัตน์ไว้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1.1 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Money Fund, IMF) ให้ความหมายว่า โลกาภิวัตน์ คือ ความก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยีที่ทําให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการดําเนินธุรกรรมระหว่างนานาประเทศได้โดยสมบูรณ์
1.2 นายแอนโทนี ไกเดนส์ (Anthony Gidens) ผู้อํานวยการของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอน เขียนไว้ว่า
โลกาภิวัตน์ เน้นความสัมพันธ์ทางสังคมไปทั่วทั้งโลก โดยเชื่อมโยงท้องที่ต่างๆที่อยู่ไกลกัน จนกระทั่งปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้นในท้องที่หนึ่งได้เกิดขึ้นในท้องที่อื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป
1.3สถาบันเลวิน (Levin Institute) แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ให้นิยามว่า โลกาภิวัตน์ เป็น กระบวนการ
ดําเนินงานร่วมกันของผู้คน บริษัท และรัฐบาลของชาติต่างๆ ทั้งในด้านการค้า การลงทุนระหว่างชาติ โดยมีเทคโนโลยี
ด้านการสื่อสารเป็นปัจจัยสําคัญที่เร่งให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โลกาภิวัตน์มีผลต่อสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม
ระบ บ การเมื อง ก ารพั ฒ น าท างเศ รษ ฐกิจ ค วาม มั่ งคั่ ง และค วาม เป็ น อ ยู่ที่ ดี ขอ งทุ กสังค ม ใน โล ก
1.4 เฟรด ดับเบิลยู ริกก์ (Fred W. Riggs) อ้างว่า มาจิด เทฮารานเนียน (Majid Tehranian) กล่าวไว้ว่า โลกาภิวัตน์ คือ
กระบวนการที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 5000 ปีมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาเร่งให้เร็วขึ้นอย่างมากหลังจากการล่มสลายของสหภาพ โซเวียดในปี ค.ศ. 1991 สาระสําคัญของโลกาภิวัตน์ประกอบด้วย (1) การส่งเงินทุน แรงงาน การจัดการ ข่าวสาร ภาพ
และข้อมูลข้ามเขตประเทศ (2) ตัวจักรกลที่ขับเคลื่อนให้โลกาภิวัตน์ดําเนินไป คือ บริษัทข้ามชาติ องค์กรระหว่าง
รัฐบาล และองค์กรสื่อมวลชนข้ามชาติ นักมานุษยวิทยา ถือว่า โลกาภิวัตน์ ก่อให้เกิดผลทั้งด้านบวกและลบ
1.5 ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวิน บุศราคํา ให้ความหมายโลกาภิวัตน์ว่าเป็นกระบวนการต่าง ๆ ที่ซับซ้อน (เช่น กระบวนการ
ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม การเมือง และเทคโนโลยี) ที่ทําให้ผู้คนในทุกหนทุกแห่งของโลกติดต่อเชื่อมโยงถึง กัน สื่อสารและแข่งขันซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว เพื่อส่งผ่านสินค้าและบริการ แรงงาน ทุน และข่าวสารข้อมูลข้าม
อาณาเขตประเทศ โดยอาศัยเทคโนโลยีการขนส่งและการสื่อสารโทรคมนาคม โลกาภิวัตน์มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในหลายทาง เช่น เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ เป็นต้น
ความเป็นมาของโลกาภิวัตน์
นายโธมัส ฟรีดแมน (Thomas Friedman) เขียนหนังสือชื่อ The world is flat : A brief history of the twenty first
century ไว้เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 2005 หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความเป็นมา การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่มีผลมาจาก
โลกาภิวัตน์จากอดีตจนถึงศตวรรษที่ 21 โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่
ช่วงที่ 2 (Globalization 2.0) เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1800 ถึง 2000 และตั้งชื่อช่วงนี้ว่า Globalization of
Companies ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมไปจนถึงสิ้นสุดสงครามเย็น การติดต่อระหว่างประเทศโดยเฉพาะ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าสามารถเจรจาตกลงกันในระดับบริษัทได้โดยมีขอบเขตอยู่ภายใต้กฎหมายของทั้งสองฝ่าย ความ
เปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อประชากรโลกอย่างชัดเจน คือ การสร้างเครื่องจักรที่ใช้พลังงานจากไอน้ําและจากน้ํามันขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนยานพาหนะให้มีความเร็วสูงขึ้นโดยอาศัยธรรมชาติและแรงงานมนุษย์/สัตว์น้อยลง ทําให้ลดระยะเวลาในการ
เดินทาง เช่น Karl Benze เป็นต้นคิดในการสร้างรถยนต์ Mercedes Benze นอกจากนั้นยังผลิตเครื่องจักรสําหรับใช้ใน
กิจการอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ทําให้ได้ผลผลิตมากขึ้นแต่ใช้เวลาน้อยลง จนทําให้อัตราการผลิตสูงกว่าอัตราการบริโภค
และเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจในประเทศที่มีการพัฒนาด้านเครื่องจักร
ช่วงที่ 3 (Globalization 3.0) เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 2000 ถึง 2005 และตั้งชื่อช่วงนี้ว่า Globalization of
Individual หมายถึง การติดต่อกับต่างประเทศในช่วงเวลานี้ประชาชนแต่ละคนสามารถดําเนินการได้เอง ทั้งนี้ต้องไม่ผิด
กฎหมายของทั้งสองฝ่าย ในช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญในสังคมโลกมากมาย
3.2 การเกิดอินเทอร์เน็ต (internet) ในปี ค.ศ. 1976 อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทําให้เกิดโลกาภิวัตน์
อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
3.3 การเกิด work flow software คือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทํางานเพื่อให้การทํางานมีมาตรฐาน
เดียวกัน ไม่ว่าจะทํางานอยู่ที่ส่วนใดของโลกที่มีระบบอินเทอร์เน็ต
3.4 การเกิด open sourcing คือ การมีโปรแกรมที่เปิดเผยรหัสแก่สาธารณะ ทําให้ประชากรโลกนํามาใช้พัฒนากิจการ
ของตนในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งใช้พัฒนาโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ตอบสนองความต้องการในการดําเนินกิจการของตน
ได้ดียิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการในการดําเนินกิจการของตน
ได้ดียิ่งขึ้น
3.5 การเกิด out sourcing คือ การที่องค์กรหนึ่งจ้างหน่วยงานภายนอกให้ดําเนินกิจการบางอย่างให้กับองค์กรของตน
เนื่องจากภายในองค์กรของตนไม่มีหน่วยงานย่อยที่มีหน้าที่ดําเนินกิจการนั้นโดยตรง
3.6 การเกิด in sourcing คือ การที่องค์กรหนึ่งมีการพัฒนา/ปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงกิจการ ให้มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก
เดิม กิจการนั้นยังไม่มีหน่วยงานย่อยภายในองค์กรทําหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ในองค์กรมีกลุ่มบุคลากรหรือหน่วยงานย่อย ที่สามารถดําเนินกิจการนั้นได้ จึงมอบหมายให้กลุ่มบุคลากรหรือหน่วยงานย่อยดังกล่าวดําเนินกิจการที่พัฒนาขึ้นใหม่นั้น
3.7 การเกิด off shoring คือ การย้ายโรงงานที่ผลิตสินค้าหรือการให้บริการไปอยู่ในประเทศอื่น เพื่อให้มีกําไรสูงขึ้น
เช่น ย้ายไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า อัตราการเก็บภาษีน้อยกว่า กฎหมายสิ่งแวดล้อมอ่อนกว่า ได้โควตาส่งออกมากกว่า
อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบมากกว่า เป็นต้น
3.8 การเกิด supply chaining หรือธุรกิจสายส่ง รูปแบบใหม่ที่ทําให้ผู้ผลิตสินค้าสามารถส่งสินค้าของตนให้ถึง
ผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และสินค้าไม่เสื่อมคุณภาพ ทําให้เกิดบริษัทรับส่งสินค้าและวัตถุประเภทต่าง ๆ เชื่อมโยง
เครือข่ายการขนส่งไปทั่วโลก
3.9 การเกิด informing หรือการให้ข้อมูลข่าวสาร ในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมโดยใช้เครื่องมือ (search engine)
รูปแบบต่าง ๆ ทําให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารมีความรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวาง ทั้งในรูปแบบของตัวอักษร
เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบโทรเลข โทรทัศน์ และโทรศัพท์ ในอดีต
3.10 การหลอมรวมของสื่อดิจิตอล (convergence) ทําให้เกิดความหลากหลายด้านศักยภาพในการสื่อสารข้อมูล
เครื่องมือสื่อสารเครื่องหนึ่งสามารถทําหน้าที่ได้หลายอย่าง เช่น ใช้เป็น โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป 3.10 การหลอมรวมของสื่อดิจิตอล (convergence) ทําให้เกิดความหลากหลายด้านศักยภาพในการสื่อสารข้อมูล
เครื่องมือสื่อสารเครื่องหนึ่งสามารถทําหน้าที่ได้หลายอย่าง เช่น ใช้เป็น โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป เครื่องบันทึกเสียง เครื่อง
คอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์ รวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน นอกจากนั้นยังรวมถึงการรวมการให้บริการหลายอย่างไว้ในสถานที่ เดียวกัน เช่น สถานที่ขายน้ํามันเชื้อเพลิง มีร้านซ่อมรถ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม จุดรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ร้ายขายยาและ
ของใช้จําเป็น และสถานบริการนวดเพื่อสุขภาพ อยู่ในสถานที่เดียวกัน เป็นต้น
3.1 การรวมประเทศของเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตก ในปี ค.ศ. 1989 ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
การเมืองและการปกครองของประเทศที่ยิ่งใหญ่ทั้งพื้นที่ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพลังทางเศรษฐกิจ
ในทวีปยุโรป
ช่วงที่ 1 (Globalization 1.0) เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1492 ถึง 1800 และตั้งชื่อช่วงนี้ว่า Globalization of Nation
States หมายถึง ในช่วงเวลาดังกล่าว การติดต่อระหว่างประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม จะเป็นการเจรจา
ตกลง หรือทําสัญญากันระหว่างประมุขหรือผู้นําของประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนประเทศเท่านั้น