Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อธิบายการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในกรณีศึกษานี้ (เช่น ความเหมาะสมในการใช้ยา …
อธิบายการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในกรณีศึกษานี้ (เช่น ความเหมาะสมในการใช้ยา ข้อพึงระวังของการใช้ยาร่วมกัน)
-
-
Folic Acid (กรดโฟลิค)
เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ จะช่วยเสริมสร้างกระบวนการผลิตเซลล์ใหม่ให้มีสุขภาพดี นอกจากการเสริม Folic Acid ให้ร่างกายเพื่อสุขภาพที่ดี รักษาภาวะขาด Folic Acid และโรคโลหิตจางแล้ว Folic Acid อาจถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น อัลไซเมอร์ กระดูกพรุน ภาวะซึมเศร้า ปวดประสาท ปวดกล้ามเนื้อ จอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล
สำหรับอาการขาดกรดโฟลิก ขนาดยาปกติคือ 250-1000 ไมโครกรัมต่อวัน สำหรับการรักษาระดับสารโฮโมซีสทีนในเลือดสูง ใช้ในขนาด 5-5 มก. ต่อวัน สำหรับการส่งเสริมการตอบสนองต่อยารักษาโรคซึมเศร้า 200-500 ไมโครกรัมต่อวัน รับประทานกรดโฟลิคมากไป(>1000ไมโครกรัมต่อวัน)ท่านต้องระวังว่าท่านไม่ได้ขาดวิตามินบี 12 เพราะหากท่านขาดวิตามินบี 12 ดังนั้นหากต้องใช้กรดโฟลิคในระดับสูงจะต้องได้รับวิตามินบี 12 ร่วมด้วย
การใช้ร่วมกับยาอื่น ยาฟอสฟินิโทอินใช้สำหรับอาการชัก ร่างกายจะย่อยสลายยาฟอสฟินิโทอินเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย กรดโฟลิกอาจเพิ่มความเร็วในการสลายยานี้ การรับประทานกรดโฟลิกคู่กับยานี้ อาจลดประสิทธิภาพของยาฟอสฟินิโทอินในการป้องกันอาการชัก
ยาเมโธเทรกเซททำงานโดยการลดประสิทธิภาพของกรดโฟลิกในเซลล์ของร่างกาย การรับประทานกรดโฟลิกคู่กับยานี้ อาจลดประสิทธิภาพของยาได้
ผลข้างเคียง
กรดโฟลิกในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง ท้องร่วง ผดผื่น นอนไม่หลับ ระคายเคือง สับสน คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน พฤติกรรมเปลี่ยนไป มีปฏิกิริยาที่ผิวหนัง ชัก มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ตื่นเต้นง่าย
-
Metformin (เมทฟอร์มิน)
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน มีคุณสมบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยจะใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ซึ่งมีภาวะดื้ออินซูลิน โดยส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับอินซูลิน และการรักษาด้วยยาอื่นๆ
ใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผล เนื่องจาก การใช้ยา metformin ร่วมกับยาขับปัสสาวะ HCTZ อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (dehydration) และเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากแลคติก
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาทำให้ผู้ป่วยลดความอยากอาหาร คลื่นไส้-อาเจียน เสียดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป เป็นต้น
ยานี้ควรรับประทานพร้อมอาหารหรือ หลังอาหารทันทีเพื่อลดผลข้างเคียงของยา
แอสไพริน (aspirin)
ยาแอสไพรินออกฤทธิ์ยับยั้งเกล็ดเลือด ป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดในภาวะที่มีการบาดเจ็บของหลอดเลือด ซึ่งเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหลอดเลือดสมองตีบ
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล
แนะนำการใช้ยาแอสไพริน ในขนาดต่ำ คือ 75-100 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบปฐมภูมิในผู้ป่วยอายุ 40-70 ปี
การใช้ร่วมกับยาอื่น
โอกาสของการเกิดเลือดออกจะมีมากขึ้นในผู้ที่ใช้ยาอื่นๆ ที่เสริมฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดหรือต้านการแข็งตัวของเลือดหรือใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ (steroids) ร่วมด้วย ดังนั้น ผู้ที่ใช้ยาแอสไพรินควรเพิ่มความระมัดระวังการใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบในกลุ่ม NSAIDs เนื่องจากจะเสริมฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดและเพิ่มความระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
ผลข้างเคียง
ระคายเคืองทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถป้องกันหรือบรรเทาได้โดยการรับประทานหลังอาหารทันที หรือรับประทายาเม็ดที่มีการเคลือบด้วยสารที่ควบคุมให้เม็ดยาเกิดการปลดปล่อยตัวยาที่ลำไส้เล้ก (enteric-coated tablet) เพื่อลดการสัมผัสของยาและกระเพาะอาหารที่มีความเป็นกรดสูงมากอยู่แล้ว
-
แคลเซียม (Calcium)
ยานี้ใช้เพื่อรักษาภาวะขาดแคลเซียม เป็นยาเสริมในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน เป็นอาหารเสริมเมื่อได้รับแคลเซียมในปริมาณที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร และใช้เป็นตัวจับฟอสเฟตในผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง\
แนะนำปริมาณสูงสุดในแต่ละวันที่ควรบริโภค 51+ ปี, 2000 mg ควรดื่มน้ำประมาณ 1 แก้ว (ประมาณ 250 ซีซี) หลังจากรับประทานยาแคลเซียม ยกเว้นผู้ป่วยโรคไตซึ่งต้องจำกัดการดื่มน้ำ
การใช้ร่วมกับยาอื่น
ยาขับปัสสาวะ ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต ยาโซเดียมฟลูออไรด์ ยาฆ่าเชื้อ (เช่น เตตราไซคลีน คึโตโคนาโซล ไอทราโคนาโซล ควิโนโลน) วิตามินดี ยาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ผลข้างเคียง ผู้ที่รับประทานแคลเซียมบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูก การรับประทานอย่างต่อเนื่องในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วในไตตามมา แคลเซียมแบบฉีดอาจมีผลข้างเคียงต่อไปนี้ และหากมีอาการควรบอกแพทย์ทันที เวียนศีรษะ ร้อนวูบวาบตามใบหน้าหรือผิวหนัง หัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น
ไดอะซีแพม (Diazepam)
ใช้เป็นยากล่อมประสาท สงบประสาท ช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวล ลดความตึงเครียด ตื่นเต้น ใจสั่น รวมทั้งใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเครียดต่าง ๆ เช่น การปวดศีรษะจากความเครียด ไมเกรน อาการฟุ้งซ่านที่เกิดจากโรคประสาท โรคลำไส้แปรปรวน อาหารไม่ย่อย เป็นต้น ใช้เป็นยาบรรเทาอาการสั่นในผู้สูงอายุหรือไม่ทราบสาเหตุ
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ในผู้สูงอายุให้ใช้วันละ 2-5 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้วันละ 1-4 ครั้ง ขนาดของยาที่ใช้ แพทย์จะพิจารณาตามสภาพอาการและวัยของผู้ป่วย เช่น ถ้าเครียดไม่มากให้ใช้ชนิด 2 มิลลิกรัมก็พอ โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น หรือถ้าเครียดมากหน่อยก็อาจใช้ชนิด 5 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน เป็นต้น
การใช้ร่วมกับยาอื่น การใช้ยาไดอะซีแพมร่วมกับยาลดความดันโลหิต เช่น อะทีโนลอล (Atenolol), นาโดลอล (Nadolol) เป็นต้น สามารถส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้มากขึ้น ทำให้มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน และเป็นลมได้ การใช้ยาไดอะซีแพมร่วมกับยาแก้แพ้หรือยาแก้หวัด เช่น บรอมเฟนิรามีน (Brompheniramine), เซทิไรซีน (Cetirizine), คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) เป็นต้น สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้ เช่น ง่วงนอน วิงเวียนศีรษะ
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ง่วงนอน ง่วงซึม นอนไม่หลับ มึนศีรษะ ศีรษะโหวง ๆ ปวดศีรษะ ตามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน มองเห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก เป็นต้น
-
Cimetidine (ไซเมทิดีน )
ไซเมทิดีน (cimetidine) อาจใช้สำหรับบรรเทาอาการและหรือป้องกันการแสบยอดอก (heartburn) การย่อยอาหารไม่ดีเนื่องจากมีกรดมาก (acid indigestion) อาจใช้สำหรับรักษาสภาวะอื่นๆ ตามที่แพทย์สั่ง ไซเมทิดีน (cimetidine) ออกฤทธิ์โดยลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล
ไซเมติดีนที่ใช้ในการรักษาคือ กินครั้งละ 1-2 เม็ด พร้อมอาหาร หรือหลังอาหารเล็กน้อย และก่อนนอน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 3 เดือนไซเมติดีน 1 เม็ดที่มีปริมาณยา 200 มิลลิกรัม
การใช้ร่วมกับยาอื่น ถ้าใช้ไซเมติดีนร่วมกับยาห้ามการแข็งตัวของเลือด ต้องระวัง เพราะยาตัวนี้มีผลในการออกฤทธิ์คล้าย
กับยากลุ่มนี้ด้วย เนื่องจากไซเมติดีนถูกขับออกจากร่างกายโดยทางไต จึงต้องลดขนาดของยาลงไปในผู้ป่วยโรคไต
ผลข้างเคียง
ได้แก่ ท้องเสีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ผื่นคัน นอกจากนี้ อาจทําให้เกิด ภาวะสับสน (Confusion) ในผู้สูงอายุ
Enalapril (อีนาลาพริล)
ใช้ยาอย่างสมเหตุผล เนื่องจาก ใช้ควบคุมความดันโลหิต โดยใช้ร่วมกับยาลดความดันโลหิตตัวอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาขับปัสสาวะ ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ใช้ยา เริ่มต้น ขนาดวันละ 10 มิลลิกรัม รับประทาน 1 ครั้งต่อวัน หรือแบ่งเป็น 2 ครั้งต่อวัน
ควรเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เช่น
- ความดันโลหิตต่ำโดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูงหรือใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ
- รบกวนการทำงานของไตในผู้ป่วยที่ได้รับ enaapril ในขนาดที่ใช้รักษาอาจเกิดไตวายอย่างเฉียบพลันได้
- ผลต่อระบบเลือดทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวลดน้อยลงมี eosinophils มากผิดปกติ