Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยอวัยวะรับสัมผัส - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยอวัยวะรับสัมผัส
ตา
ความหมาย
เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการมองเห็น ลูกตามีอยู่สองข้างอยู่ภายในเบ้าตามีรูปร่างค่อนข้างกลมขนานเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 24 มิลลิเมตร
ประกอบด้วย 3 ชั้น
ชั้นนอก (เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน)
เปลือกลูกตา (Sclera)
ทำหน้าที่ห่อหุ้มลูกตาเพื่อรักษาทรงของลูกตา ป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อชั้นในผนังลูกตาชั้นนี้จะทึบแสง
กระจกตา (Cornea)
มีลักษณะโปร่งแสงทำหน้าที่หักเหแสงร่วมกับเลนส์ตา และช่วยในการโฟกัสภาพ
ชั้นกลาง (มีหลอดเลือดมาก)
ม่านตา (Iris)
เป็นแผ่นบางๆยืดหดได้ อยู่หลังกระจกตาหน้าเลนส์ ตรงกลางมีช่องเรียกว่า
รูม่านตา (pupil)
ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงเข้าสู่ตาโดยการหดยืดของม่านตา และเป็นตัวแบ่งช่องที่อยู่ระหว่างเลนส์และกระจกตาออกเป็นสองส่วน คือ anterior chamber อยู่ระหว่างกระจกตากับม่านตา และ posterior chamber อยู่ระหว่างม่านตากับเลนส์ภายในช่องทั้งสองมีของเหลวใสเรียกว่า aqueous humor
Ciliary body
เป็นส่วนหน้าสุดของ choroid ทำหน้าที่สร้างของเหลวที่เรียกว่า aqueous humor ทำหน้าที่ให้อาหารแก่เลนส์และกระจกตาซึ่งไม่มีเลือดมาเลี้ยงโดยตรงและช่วยรักษาความดันในลูกตาให้คงที่ โดย aqueous humor จะถูกสร้างและรวมอยู่ใน posterior chamber ก่อนจากนั้นจึงมีการไหลเวียนผ่านรูม่านตาไปยัง anterior chamberเข้าสู่ canal of Schlemm และเข้าสู่หลอดเลือดดำในที่สุด
Choroid
เป็นเยื่อบางๆอยู่ระหว่าง sclera กับจอตา เป็นชั้นที่มีหลอดเลือดจำนวนมากและมีเซลล์เม็ดสี (pigmented cell)จำนวนมากทำให้ชั้น choroid เป็นสีน้ำตาลทำหน้าที่สร้างอาหารมาเลี้ยงส่วนนอกของจอตา เลนส์และ vitreous body
ชั้นใน
จอประสาทตา (Retina)
เป็นส่วนหลังสุดของลูกตา เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความไวต่อแสงมาก มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตา ซึ่งส่งมาเป็นพลังงานแสงแล้วแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งต่อไปยังประสาทตาเพื่อส่งต่อไปยังสมองเพื่อแปลงพลังงานไฟฟ้ากลับเป็นภาพให้เราเห็น
แก้วตา (Lens)
เป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง ไม่มีเส้นประสาทมากำกับ มีชีวิตอยู่ได้โดยอาหารจากสารน้ำในลูกตาและวุ้นตา ทำหน้าที่ช่วยกระจกตาทำหน้าที่ในการหักเหของแสงให้มาโฟกัสที่จอตาทำให้เกิดการมองเห็น
วุ้นตา (Vitreous)
เป็นแหล่งอาหารแก้วตา เนื้อเยื่อ Ciliary body และจอตา
การตรวจตา ใช้เทคนิคการดู และการคลำ
ลูกตา
การดูตำแหน่งของลูกตา และเปลือกตาดูความชุ่มชื่น ดูความนูนของลูกตา ปกติขณะลืมตา ขอบของเปลือกบนจะคลุมรอยต่อของตาดำและตาขาว (Limbus)
การคลำลูกตาเพื่อประเมินความนุ่ม โดยให้ผู้รับบริการหลับตา ผู้ตรวจใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางคลำเหนือเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง สังเกตความนุ่มและแข็ง
การตรวจดูภาวะตาโปน (Exopthalmos)
ให้ผู้รับบริการนอนผู้ตรวจอยู่ด้านเหนือศีรษะ สังเกตอาการว่ามีตาโปนมากกว่าปกติหรือไม่ ถ้ามีจะพบเปลือกตาบนไม่คลุมของตาดำ จึงเห็นตาขาวลอยอยู่เหนือตาดำ
หนังตา
ดูว่ามีบวมช้ำ เป็นก้อนเป็นหนองหรือไม่ สังเกตการดึงรั้งของหนังตา เปลือกตาหรือไม่ ถ้าพบแสดงว่ามีปัญหาจากกล้ามเนื้อลูกตาเสีย
ขนตา
สังเกตว่ามีม้วนเข้าข้างในหรือไม่
ขนตาปลิ้นออก (ectropion)
ต้อเนื้อ (pterygium)
ขนตาม้วนเข้า (entropion)
รูม่านตาและแก้วตา
ใช้ไฟฉายส่องตรงกลาง สังเกตว่ารูม่านเป็นวงกลมหรือไม่ ปกติรูม่านตาจะเป็นวงกลม สมมาตรกันทั้ง 2 ข้าง ส่วนแก้วตาให้มองผ่านรูม่านตา ถ้าปกติจะเห็นเป็นสีดำและใส ถ้ารูม่านตาเป็นลักษณะขุ่นจะเป็นต้อกระจก
โรคที่พบบ่อย
ต้อหิน (Glaucoma)
สาเหตุ
การใช้ยาที่มีสารฮอร์โมนพวกคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อเป็นเวลานาน
มีต้อกระจกสุกหรือต้อกระจกสุกงอม
มีความเสื่อมของเนื้อเยื่อภายในลูกตา
เนื้องอกในลูกตา
ความผิดปกติของ trabecular meshwork ตั้งแต่กำเนิด
อุบัติเหตุในตา
มีการคั่งของน้ำเอเควียสจากมีโครงสร้างตาผิดปกติ
ชนิดและอาการ แบ่งเป็น 3 ชนิด
2.ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary glacoma)
เป็นต้อหินที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีความผิดปกติภายในลูกตาหรืออาจเกิดจากมีโรคทางกายที่ทำให้การไหลของเอเควียสลดลง
ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital glacoma)
ได้แก่ ต้อที่เกิดจากมี development anormalies โดยชนิดการเกิดต้อนั้นอาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
1.ต้อหินปฐมภูมิ (Primary glacoma)
แบ่งเป็น 2 ชนิด
ต้อหินชนิดมุมปิด (angle – closure glacoma)
เมื่อมีการตีบแคบของ trabecular meshwork ที่เป็นทางระบายน้ำเลี้ยงูกตาทำให้การระบายน้ำเลี้ยงในลูกตาลดลง ทำให้มีแรงกดภายในลูกตาโดยเฉพาะบริเวณขั้วประสาทตา (optic disc) มีการทำลายของประสาทตาอย่างรวดเร็ว จอประสาทตาขาดเลือด สูญเสียการมองเห็น ปวดตามาก
ต้อหินชนิดมุมเปิด (open – angle glacoma)
เกิดความผิดปกติของทางเดินน้ำเลี้ยงภายในลูกตา เช่น การตีบแคบของท่อตะแกรงที่เป็นทางระบายน้ำเลี้ยงภายในลูกตา (trabecular meshwork) ทำให้การระบายน้ำเลี้ยงภายในลูกตาลดลง ในขณะที่การสร้างน้ำเลี้ยงภายในลูกตามีปริมาณเท่าเดิม ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นทีละน้อย เกิดการทำลายประสาทตา เกิดขึ้นช้าๆโดยแทบไม่มีอาการปวดตา จึงสูญเสียลานสายตาทีละน้อยจนกระทั้งเสียความสามารถในการมองเห็น
อาการและอาการแสดง
ระยะเฉียบพลัน
มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดตามากสู้แสงไม่ได้ ตามัวลงคล้ายหมอกมาบัง บางคนมองเห็นแสงสีรุ้งรอบๆดวงไฟเนื่องจากมีน้ำเข้าแทรกอยู่ในกระจกตา
ระยะเรื้อรัง
ความดันของลูกตาสูงขึ้นเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกอาการอะไรเลย บางคนรู้สึกมึนศีรษะ ตาพร่ามัว รู้สึกเพลียตา ไม่มีอาการปวด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของลานสายตา ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง
การรักษา
ระยะเฉียบพลัน
ต้องรีบรักษาเพื่อลดความดันในลูกตาให้ลงสู่ระดับปกติ ก่อนที่จะเกิดพยาธิสภาพเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรกับประสาทตาโดยแพทย์มักให้ยาหยอดตา และยารับประทานทางปากหรือยาฉีดจนความดันลดลงสู่อาการปกติ การเห็นดีขึ้นจึงนัดผ่าตัดตามมา
ระยะเรื้อรัง
แพทย์จะให้รักษาเพื่อมิให้ยาหยอดตาและยารับประทาน เพื่อเพิ่มการไหลออกหรือลดการผลิตน้ำเอเควียส ควบคุมความดันลูกตาให้อยู่ในระดับปกติพร้อมนัดมาตรวจเป็นระยะๆ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากตามัว
ขาดความรู้ก่อนและหลังการยิงเลเซอร์ (Laser trabeculoplasty)
ผู้ป่วยมีภาวะความดันในลูกตาสูงขึ้น
ขาดความรู้ในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นต้อหิน
การพยาบาล
หากมีอาการตาแดง น้ าตาไหล ปวดตามาก ตามัวลง หรือตาสู้แสงไม่ได้ให้มาตรวจก่อนวันนัด
สอนวิธีการหยอดตาอย่างมีประสิทธิภาพ
การเตรียมตัวก่อนการยิงเลเซอร์ เวลายิงจะไม่รู้สึกเจ็บภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังยิงเลเซอร์อาจมีอาการปวดศีรษะหรือตามัวลงเล็กน้อย
แนะนำให้ใส่แว่น หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลังทำเลเซอร
อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
ความหมาย
เป็นกลุ่มโรคที่มีลักษณะร่วม ได้แก่ มีความดันในลูกตา (IOP) มีขั้วตาผิดปกติและสูญเสียลานสายตา (visual field) ร่วมด้วย
ปกติค่าความดันของลูกตาอยู่ประมาณ 10 – 20 mmHg
เมื่อมีแรงดันลูกตาเพิ่มมากขึ้นจะทำให้ประสาทตาถูกทำลายส่งผลให้เกิดการสูญเสียประสิทธิภาพของลานสายตาและสมรรถภาพของการมองเห็น
ต้อกระจก (cataract)
ความหมาย
เป็นภาวะแก้วตา (Lens) ขุ่น เป็นผลการเปลี่ยนแปลงโปรตีนภายในแก้วตาจากที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจกในภาวะปกติเป็นทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านทำให้เกิดอาการตามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน
สาเหตุ
ความผิดปกติโดยกำเนิด (Congenital cataract) ความผิดปกติในการเจริญเติบโตของลูกตาในเด็กทารกแรกเกิด ส่วนมากเป็นกรรมพันธุ์
เกิดจากสาเหตุอื่นๆ (Secondary cataract) โดนกระทบกระเทือนอย่างแรงที่ลูกตา หรือโดนของมีคมทิ่มแทงทะลุตาและไปโดยเลนส์ตา เป็นต้อหินโรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พาราไทรอยด์ พิษสารเคมี
การเสื่อมตามวัย (Senile cataract) วัยชรา
การเสื่อมตามวัย (Senile cataract)
ต้อกระจกที่ยังไม่สุก (immature cataratc)
เป็นระยะที่ตาขุ่นไม่มาก ลักษณะแรกการขุ่นของแก้วตาเริ่มที่เปลือกหุ้มแก้วตา (cortex) แต่บริเวณกลางแก้วตา (nucleus) ยังคงใส ลักษณะที่สอง คือ ทึบตรงส่วนกลางแก้วตา แต่ส่วนรอบๆยังใส ทำให้ยังคงมองเห็นอยู่บ้าง เมื่อผู้ป่วยปรับตัวได้จะรู้สึกว่าเพียงตามัวลง โดยทั่วไปคิดว่าเป็นอาการที่ปกติของผู้สูงอายุ
ต้อกระจกที่สุกแล้ว (mature cataratc)
เป็นระยะที่ตาขุ่นทั้งหมดแก้วตามีความแข็งตัวในขนาดที่พอดี ความขุ่นของแก้วตากระจายไปทั่วลูก เมื่อใช้ไฟฉายส่องเฉียงๆจะไม่พบเงาม่านตาและวัดสายตาได้ ประมาณนับนิ้วได้ (finger count: FC) หรือ เห็นมือโบกไหวไปมา (hand movem:HM) หรือเห็นเพียงแสงไฟและบอกทิศทางได้ ระยะนี้เหมาะสมกับการผ่าตัดมากที่สุด
ต้อกระจกที่สุกเกินไป (hypermature cataract)
เป็นต้อกระจกที่สุกมากจนขนาดเลนส์เล็กลงและมีเปลือกหุ้มเลนส์ที่ย่น เกิดจากน้ำซึมออกนอกเซลล์ เลนส์แข็งมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ตาจะบอดได้ ระยะนี้ทำผ่าตัดค่อนข้างยาก เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
อาการและแาการแสดง
มองเห็นภาพซ้อน เนื่องจากแก้วตาที่ขุ่นจะท าให้การหักเหของแสงเปลี่ยนไป
ความสามารถในการมองเห็นลดลง รู้สึกว่าสายตาสั้นลง เพราะการหักเหของแสงที่เปลี่ยนไปจึงท าให้มองได้ชัดเจนในระยะที่ใกล้
ตามัวลงช้าๆโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะมีอาการตามัวขึ้นในที่สว่าง เนื่องจากในที่มีแสงสว่างรูม่านตาจะเล็กลง ส่วนอยู่ในที่มืดจะเห็นชัดขึ้นเพราะรูม่านตาขยาย
มองผ่านรูม่านตา (pupil) จะเห็นแก้วตาขุ่นเมื่อส่องดูด้วยไฟฉาย
การรักษา
ต้อกระจกไม่มีการรักษาด้วยยา มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การผ่าตัดเอาแก้วตา ที่ขุ่นออก ซึ่งเรียกว่า ลอกต้อกระจก
ชนิดของการผ่าตัด
Intracapsular cataract extraction (IICE)
คือ การผ่าตัดนำแก้วตาที่ขุ่นพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาทั้งหมดในเวลาเดียวกันการผ่าตัดชนิดนี้มผลไม่แน่นอน มีผลต่อสายตาการมองถ้าไม่ใส่เลนส์เข้าไปแทนที่ ผู้ป่วยจะต้องใส่แว่นตา หรือคอนแทคแลนส์หรือใส่แล้วแพทย์วางต าแหน่งไมตรงทำให้เกิดสายตาเอียงได้
Extracapsular cataract extraction (ECCE)
คือ การผ่าตัดเอาแก้วตาที่ขุ่นออกพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาด้านหน้า โดยเหลือเปลือกหุ้มแก้วตาด้านหลัง
Phacoemulsification with Intraocular Lens (PE C IOL)
เป็นการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้คลื่นเสียงหรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อแก้วตาแล้วดูดออกมาทิ้ง และจึงนำแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทน
ข้อดี
ของวิธีนี้ต่างกับวิธีปกติตรงที่แผลผ่าตัดเล็กกว่า การเกิดสายตาเอียงหลังผ่าตัดน้อยลงระยะพักฟื้นหลังการผ่าตัดสั้นกว่า
ข้อเสีย
เนื่องจากเป็นวิธีใหม่ ดังนั้นต้องอาศัยความช านาญของแพทย์ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง และต้องใช้สารหล่อลื่น ช่วยในระหว่างผ่าตัดมิฉะนั้นเครื่องอัลตราซาวด์อาจสั่นไป ท าลายกระจกตาได้
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
วิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัดและการดูแลตนเองก่อนผ่าตัด
ปวดตาเนื่องจากมีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อหลังผ่าตัดตา
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากตามัว
เสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องจากพร่องความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
มีความพร่องการดูแลตนเองเนื่องจากถูกปิดตา
เสี่ยงต่อการเกิดแผลเย็บฉีกขาดความดันตาสูงและเลือดออกในช่องหน้าม่านตา
การพยาบาล
ผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกครั้งต้องระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณดวงตาและศีรษะ
รับประทานอาหารอ่อนงดอาหารแข็งเหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยวจนกว่าแผลจะหายประมาณ 2 สัปดาห
หลีกเลี่ยงการไอจามแรงๆการก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว
ห้ามเบ่งถ่ายอุจจาระ
จัดท่านอนให้ผู้ป่วยไม่นอนทับบริเวณตาที่ได้รับการผ่าตัด
เมื่อกลับบ้าน
ค่อยๆแปรงฟันไม่สั่นศีรษะไปมา
หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ไม่ควรท้องผูก
ระวังอย่าให้น้ำกระเด็นเข้าตา
หลีกเลี่ยงยกของหนักมากกว่า 5 kg
ไม่ควรใช้สายตานานเกิน 1 ชั่วโมง
เน้นกลางคืนปิดฝาครอบตา กลางวันใส่แว่นตาสีชาหรือสีดำ
จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment)
ความหมาย
ภาวะที่เกิดการแยกหรือลอกตัวของชั้นจอประสาทตาด้านใน (neurosensory retina) ออกจากชั้นของจอประสาทตาด้านนอก (retinal pigment epithelium)
สาเหตุ
2.การผ่าตัดเอาแก้วตาออกชนิด intracapsular cataract extraction ได้ถึงร้อยละ 10-20
3.การได้รับอุบัติเหตุถูกกระทบกระเทือนบริเวณที่ตา หรือของแหลมทิ่มแทงเข้าตาถึงชั้นของจอประสาทตา
1.มีการเสื่อมของจอประสาทหรือน้ำวุ้นตา (vitreous)
แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากรูหรือรอยฉีกขาดที่จอประสาทตา (Rhegmatogenous retinal detachment)
2.จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากการดึงรั้ง (Tractional retinal detachment)
3.จอประสาทตาลอกชนิดไม่มีรูขาดที่จอประสาทตา (Nonrhegmatogenous retinal detachment or exudative retinal detachment)
อาการและอาการแสดง
มีอาการมองเห็นแสงจุดด าหรือเส้นลอยไปลอยมา (floater) มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายฟ้าแลบ (flashes of light) มองเห็นคล้ายม่านบังตา (scotoma) หากมีการหลุดลอกบริเวณจุดรับภาพ (macula) การมองเห็นก็จะเลวลง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวร่วมด้วย
การรักษา
การผ่าตัดนั้นจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี
การผ่าตัดหนุนจอประสาทต(Scleral buckling)
เป็นการใช้วัสดุหรือยางเพื่อหนุนตาขาวให้เข้าไปติดจอประสาทตาที่หลุดลอก
การผ่าตัดน้ำวุ้นลูกตา(Parsplana vitrectomy)
เป็นการตัดน้ำวุ้น ตาที่ดึงรั้งจอประสาทตาให้ฉีกขาดออก
การฉีดก๊าซเข้าไปในตา (Pneumatic retinopexy)
เป็นวิธีการฉีดก๊าซเข้าไปในช่องน้ำวุ้นลูกตาเพื่อดันให้จอประสาทตาที่หลุดลอกกลับเข้าไปติดที่เดิม
หากพบว่ามองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูป ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษา
Cryocoagulation (การจี้ด้วยความเย็น)
บริเวณรอบๆรูหรือรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อช่วยยืดให้จอประสาทตากลับเข้าที่ ซึ่งวิธีการชนิดนี้จะทำเมื่อจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรู
การพยาบาล
ระยะก่อนการผ่าตัด
แนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงขยี้ตา ส่ายศีรษะและใบหน้าแรง การอาเจียน
แนะนำผู้ป่วยห้ามก้มหน้า
ดูแลให้ผู้ป่วย Absolute bed rest
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค แผนการรักษา การผ่าตัด ให้ผู้ป่วยทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
ระยะหลังผ่าตัด
ประเมินอาการเริ่มต้นของภาวะความดันลูกตาสูง ได้แก่ มีอาการปวดและรับประทานยาแล้วไม่ทุเลาลง
ดูแลให้นอนคว่ำหน้าหรือนั่งคว่ำหน้าให้ได้อย่างน้อยวันละ 16 ชั่วโมงเพื่อให้แก๊สที่ใส่ไว้ในขณะผ่าตัดไปกดบริเวณจอประสาทตาที่ลอกหลุดซึ่งจะช่วยให้จอประสาทตาติดกลับเข้าที่ได้
ดูแลให้ได้รับการวัดความดันลูกตาจากแพทย์หลังผ่าตัดประมาณ 4-6 ชั่วโมง
เน้นการประเมินและป้องกันอาการเริ่มต้นของความดันลูกตาสูง
ในผู้ป่วยที่ต้องมาฉีดแก๊สหลายๆครั้ง ผู้ป่วยอาจมีความท้อแท้หรือมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการมองเห็น ควรให้การสนับสนุนด้านกำลังใจและให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการรักษาเป็นระยะ
ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อนเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนจากการออกแรงเคี้ยวอาหาร
ประเมินอาการท้องผูก
เมื่อกลับบ้าน
การทำความสะอาดใบหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าโดยใชผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆเช็ดหน้าเบาๆเฉพาะข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด ส่วนตาข้างที่ทำการผ่าตัดให้เช็ดวันละครั้งหลังตื่นนอน (ก่อนเช็ดควรล้างมือให้สะอาดและระวังอย่าให้น้ำหรือฝุ่นละอองเข้าตา)
หลังการผ่าตัด 2 เดือนแรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหม เช่น การกระโดด และไม่ควรยกของหนักหรือทำงานหนักที่อาจกระทบกระเทือนถึงตาได้ เช่น ขุดดิน ซักผ้า ตำน้ำพริก เป็นต้น
อันตรายจากตา (Eye injury)
อันตรายจากสารเคมี(chemical injury)
ชนิดของสารเคมีที่พบ
สารด่าง
สารกรด
อาการและอาการแสดง
การมองเห็นจะลดลงถ้าสารเคมีเข้าตาจ านวนมาก
สายตาสู้แสงไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยพยายามจะหลับตาตลอดเวลา (blepharospasm)
ปวดแสบปวดร้อนระคายเคืองตามาก
การรักษา
1.การรักษาที่สำคัญที่สุด คือ การล้างตาโดยเร็วที่สุด หากเป็นไปได้ผู้ป่วยควรได้รับการล้างตาด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากอาจมากกว่า 5 ลิตร ตั้งแต่สัมผัสสารเคมีโดยมิต้องรอจนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาล
2.เมื่อมาถึงโรงพยาบาลจะได้รับการล้างตาให้โดยทันทีโดยอาจต้องมีการถ่างขยายเปลือกตาแล้วหยอดยาชาก่อนเพื่อให้สามารถล้างตาได้สะดวกขึ้นจนกระทั่งความเป็นกรดด่างในตาหมดไป
3.หากเกิดภาวะ corneal abrasion อาจได้รับการป้ายยา terramycin ointment และปิดตาแน่น (pressure patch) ไว้ 24 ชั่วโมงและนัดมาประเมินซ้ำอีกครั้ง
4.การรักษาด้วยการใช้ยาขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น แพทย์อาจให้ยาช่วยลดการอักเสบในตา ยาป้องกันการติดเชื้อ และยาที่ช่วยในการหายของแผลเปิดที่กระจกตา ยาลดความดันตา
5.การรักษาด้วยการผ่าตัด ประกอบด้วยการขูดเซลล์กระจกตาที่ตายแล้วออก และอาจมีการปลูกถ่ายเยื่อหุ้มรกเพื่อปิดแผล หรือลดการเกิดแผลเป็นบริเวณเยื่อบุตา การปะกระจกตาที่ทะลุ หรือการเปลี่ยนกระจกตาซึ่งการผ่าตัดชนิดใดขึ้นกับความรุนแรงจากการโดนสารเคมีที่เกิดขึ้นและแพทย์ จะพิจารณาเป็นรายๆไป
การพยาบาล
ล้างตาให้ผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด โดยใช้ Normal saline หรือ sterile water โดยใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที
ดูแลบรรเทาอาการปวดกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดตามาก และดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาครบตามแผนการรักษา
เลือดออกในช่องหน้าม่านตา (Hyphema)
ความหมาย
เกิดจากการได้รับบาดเจ็บจากวัตถุไม่มีคมบริเวณตา ทำให้มีการฉีกขาดของเส้นเลือดบริเวณม่านตา ทำให้มีเลือดออกในช่องหน้าม่านตา (anteriorchamber) การแบ่งระดับของเลือดที่ออกในช่องหน้าม่านตา อาจแบ่งได้ดังนี้ Microscopic คือมองไม่เห็นระดับเลือดในช่องหน้าม่านตาด้วยตาเปล่าสามารถตรวจพบจากเครื่องมือแพทย์ที่เรียกว่า Slit lamp
Grade 2 มีเลือดออก 1/3 ถึง 1/2 ของช่องหน้าม่านตา
Grade 3 มีเลือดออก 1/2 ถึงเกือบเต็มช่องหน้าม่านตา
Grade 1 มีเลือดออกน้อยกว่า1/3 ของช่องหน้าม่านตา
Grade 4 มีเลือดออกเต็มช่องหน้าม่านตา
ภาวะแทรกซ้อน
Increase intraocular pressure
Blood stain cornea
Rebleeding
การรักษา
ปิดตาทั้งสองข้างเพื่อให้ได้พักผ่อนลดโอกาสการเกิด rebleeding และให้เลือดได้ดูดซึมกลับ
อาจได้รับยาสเตียรอยด์หยอดเพื่อช่วยป้องกันการเกิด rebleeding เช่นกัน เนื่องจากช่วยลดความระคายเคืองและการคั่งของเส้นเลือด
Absolute bed rest โดยให้นอนศีรษะสูงประมาณ 30-45 องศา เพื่อป้องกันการเกิด blood stain
ดูแลให้ได้รับยาแก้ปวด paracetamol และ diazepam เพื่อให้ได้พักผ่อนและประเมินอาการปวดตาแต่หากเลือดไม่ถูกดูดซึมไปในเวลาอันควรหรือมีอาการของ Blood stain cornea หรือต้อหินชนิดแทรกซ้อนเกิดขึ้น ควรรีบทำผ่าตัด paracentesis โดยการเจาะเข้าในช่องหน้าม่านตา เพื่อลดความดันของนัยน์ตา และเลือดจะได้มีทางไหลออก หรือการใช้ normal saline solution เข้าไปล้างในช่องหน้าม่านตา
เมื่อครบ 5-7 วันก็สามารถให้ผู้กลับบ้านได้
การพยาบาล
2.ปิดตาทั้ง 2 ข้างที่มีเลือดออกด้วยผ้าปิดตา (eye pad) และที่ครอบตา (eye shield) ไขหัวเตียงสูง 30-45 องศา เพื่อให้เลือดตกไปรวมในช่วงหน้าม่านตาตอนล่างเป็นระดับประเมินได้ชัดเจน
3.เช็ดตาให้ผู้ป่วยทุกวันในตอนเช้าพร้อมทั้งประเมินว่ามีภาวะเลือดออกเพิ่มขึ้นหรือไม่จากการส่องดูด้วยไฟฉาย
1.การพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยนอนพักบนเตียง (absolute bed rest) ให้มากที่สุด คือ แนะนำให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ ไม่ควรลุกจากเตียงประมาณ 3–5 วัน ซึ่งในระยะนี้หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยขอให้ซักถามพยาบาลได้
4.ถ้าผู้ป่วยปวดตาต้องติดตามประเมินอาการปวดตาของผู้ป่วยภายหลังรับประทานยาแก้ปวดแล้ว 30 นาที ถ้าไม่ทุเลา ยังคงปวดตามากและมีอาการร่วมอื่นๆ คือ ปวดศีรษะร้าวไปท้ายทอย คลื่นไส้ บางรายอาจอาเจียนร่วมด้วยให้รีบรายงานแพทย์เพื่อประเมินความดันตา
ความผิดปกติของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน (Diabetic Retinopathy)
ปัจจัยที่ทeให้เกิดความผิดปรกติของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน
3.การมีความผิดปกติที่ไตจากเบาหวาน
4.ความดันโลหิตสูง
2.การควบคุมระดับน้ำตาล
5.โรคไขมันในเลือดสูง
1.ความยาวนานของการเป็นโรคเบาหวาน
6.การตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
เบาหวานขึ้นตาแบ่งได้กว้างเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกและระยะรุนแรง โดยทั่วไปถ้าเป็นระยะแรกอาจไม่มีอาการผิดปรกติ อาการสำคัญที่ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์คือตามัว ซึ่งเหตุของตามัวอาจเกิดจากจอประสาทตาบวมหรือมีเลือดออกในวุ้นตาหรือจอประสาทตาถูกดึงรั้งหลุดลอก
1.เบาหวานระยะแรก (Non-Proliferation diabetic retinopathy=NPDR)
2.เบาหวานระยะรุนแรง (Proliferation diabetic retinopathy=PDR)
การรักษา
การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ (Panretinal photocoagulation=PRP)
ทำในกรณีที่จุดรับภาพส่วนกลางบวม และในผู้ที่มีเส้นเลือดผิดปกติงอกใหม่ แต่อาจเป็นการช่วยลดภาวะแทรกซ้อนเท่านั้นไม่ได้ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
การฉีดยาเข้าในน้ำวุ้นตา (Intravitreal pharmacologic injection)
ได้แก่ ยากลุ่ม steroid และยา กลุ่ม Anti VEGF เพื่อรักษาโรคจุดกลางรับภาพจอประสาทตาบวมจากเบาหวาน
ข้อดี
คือ ในรายที่ตอบสนองต่อยาได้ดี การมองเห็นจะกลับคืนมาได้เกือบเท่าหรือเท่าปกติ โดยไม่มีผลทำลายจอประสาทตาบางส่วนเหมือนการฉายแสงเลเซอร์
ข้อจำกัด
ดือ ยามีฤทธิ์อยู่ได้ชั่วคราวเฉลี่ย 3-4 เดือน และต้องทำการฉีดด้วยเทคนิคปลอดเชื้อในห้องผ่าตัด รวมทั้งอาจมีผลข้างเคียงของยา หรือภาวะแทรกซ้อนจากวิธีการฉีดเหมือนกับการผ่าตัดอื่นๆ
การผ่าตัดน้ำวุ้นตา (Vitrectomy)
กรณีที่โรครุนแรงจนมีเลือดออกในน้ำวุ้นตา และ/หรือมีพังผืดดึงรั้งจอประสาทตาหลุดลอกหรือมีจุดกลางรับภาพจอประสาทตาบวมเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการฉายแสงเลเซอร์ หรือยาฉีด จะต้องให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดน้ำวุ้นตา จอประสาทตา เพื่อพยายามยับยั้งโรคและป้องกันไม่ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
การพยาบาล
2.ดูแลแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้รับการตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
3.ออกกำลังกาย รับประทานยาหรือฉีดยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการมองเห็นมีความสำคัญแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ความผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อ การบาดเจ็บ การพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหายจากโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามที่ผู้ป่วยคาดหวัง
1.แนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่ เพื่อลดอัตราการเกิดความผิดปรกติของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน
แผลที่กระจกตา (Corneal Ulcer)
สาเหตุ
2.กระจกตามีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำ เช่น การใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์นานๆ
3.มีความผิดปกติของกระจกตา ได้แก่ โรคขาดวิตามินเอ (vitamin A deficiency) การแพ้ยา (Stevens Johnson)
1.อุบัติเหตุ (trauma) ได้แก่ ถูกใบข้าวหรือใบอ้อยทิ่ทบริเวณกระจกตา ถูกสารเคมีกระเด็นเข้าตา
4.ตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthalmos) เนื่องจากเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (facial palsy) ทำให้ผิวของกระจกตาดำแห้ง ติดเชื้อง่าย
5.ความผิดปกติบริเวณหนังตา เช่น ภาวะหนังตาม้วนเข้า (entropion) ภาวะขนตาทิ่มแทงตา (trichiasis)
6.โรคทางกายที่ทำให้ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายบกพร่องลง ติดเชื้อที่กระจกตาได้ง่ายขึ้น เช่น โรครูมาตอยด์ติดเชื้อ HIV เบาหวาน กระจกตาเป็นแผลเป็น ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง มีภาวะทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ
7.การใส่เลนส์สัมผัส (Contact lens) ที่ไม่สะอาดพอใช้น้ำยาล้างแช่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้มีเชื้อโรคเกาะติดกับเลนส์ มีโอกาสที่จะเข้าไปในกระจกตาโดยตรง
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา (pain) เคืองตา (foreign body sensation) กลัวแสง (photophobia) น้ำตาไหล (lacrimation) ตาแดงแบบใกล้ตาดำ (ciliary injection) ตาพร่ามัว (blur vision) กระจกตาขุ่น (hazy cornea) และอาจพบหนองในช่องหน้าม่านตา
การรักษา
1.หาเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ได้แก่ การขูดเนื้อเยื่อของแผลไปย้อมและเพาะเชื้อ (scrape lesion)
2.กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลบริเวณกระจกตาที่เป็นสาเหตุอื่น เช่น ภาวะตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthalmos) เนื่องจากเป็นอัมพาต ใบหน้าครึ่งซีก (facial palsy) ความผิดปกติบริเวณหนังตา เช่น ภาวะหนังตาม้วนเข้า (entropion) ภาวะขนตาทิ่มแทงตา (trichiasis)
3.ส่งเสริมให้เกิดการแข็งแรงของร่างกาย เช่น ให้รับประทานวิตามินซี รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เป็นต้น
4.บรรเทาอาการปวดโดยให้รับประทานยาแก้ปวด paracetamol หากมีอาการปวดมากพิจารณาให้ยาบรรเทาปวดกลุ่ม NSAID ในรายที่มีภาวะปวดตามากจากม่านตาและซีเรียรีบอดีมีการหดเกร็ง (ciliary spasm) อาจได้รับยา Atropine eye drop เพื่อลดอาการปวดดังกล่าวโดยการช่วยลดปฏิกิริยาต่อแสงของรูม่านตา
การพยาบาล
2.เช็ดตาวันละ 1-2 ครั้ง โดยครอบเฉพาะพลาสติกครอบตา (Eye shield) ไม่ต้องปิดผ้าปิดตา (Eye pad)
3.หยอดตาตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกอาจต้องหยอดทุก 30 นาที
1.แยกเตียง ของใช้ และยาหยอดตาของผู้ป่วยใช้เป็นส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู้ผู้อื่น
4.แนะนำผู้ป่วยห้ามขยี้ตา อย่าให้น้ำเข้าตา นอนตะแคงข้างที่มีพยาธิสภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่ตาข้างที่ไม่มีพยาธิสภาพ
5.ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและได้รับอาหารที่เพียงพอ
6.ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะพรากความรู้สึก (sensory deprivation) ในผู้ป่วยที่เหลือตาข้างเดียว
หู
กลไกการได้ยิน
ทางแรกคือการไยินเสียงผ่านทางอากาศ
(Air conduction pathway)
เสียงจะเริ่มจากใบหู ซึ่งจะป้องให้เสียผ่านเข้ารูหูไปกระทบแก้วหู ทําให้เกิดการสั่นสะเทือนไปตามกระดูกหูทั้ง 3 ชิ้น แล้วผ่าน Ovalwindow เข้าไปยังหูชั้นใน
ทางที่สองคือการได้ยินเสียงผ่านกระดูก
(bone conduction pathway)
เสียงจากการสั่นของกระดูกจะวิ่งผ่านกระดูกมาสตอยด์เข้าไปถึงหูชั้นในบริเวณ cochlea โดยธรรมชาติแล้วการได้ยินเสียงผ่านทางอากาศจะดีกว่าการได้ยินเสียงผ่านทางกระดูก
การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติ
การซักประวัติ
อาการหูอื้อ ได้ยินเสียงลดลง
มีเสียงดังในหู
มีของเหลวไหลจากหู
มีอาการเวียนศีรษะ
อาการปวดหู
การตรวจร่างกาย
ตรวจช่องหู (Otoscopy)
ตรวจด้วยไม้พันลำสี
ตรวจดูเยื่อแก้วหู
ตรวจศีรษะและคอ
ช่องปาก: ดูดหงือกและฟัน ว่ามีฟันคุด หรือมีก้อนเนื้องอกหรือไม่
Temporomandibular joint: ปวดหูขณะเคี้ยวอาหารหรือพูดจากข้อต่อที่อักเสบ คลำข้อต่อและกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวด้วยว่ามีอาการเจ็บหรือไม่
ช่องจมูก: ว่ามีไซนัสอักเสบหรือไม่
ตรวจดูด้านหน้า ข้าง และหลังลำคอว่าต่อมน้ำเหลืองบวมโตหรือไม่
การตรวจพิเศษอื่นๆ
การนัดตรวจซ้ำเป็นระยะๆ
การตรวจพิเศษด้วยเครื่องมือ
Tuning fork test
เป็นการตรวจโดยใช้ส้อมเสียง
แบ่งเป็น 2 ชนิด
Rinne test
เป็นการคัดกรองโดยจำแนกประเภทของการสูญเสียการได้ยิน โดยผู้ป่วยฟังเปรียบเทียบที่หูข้างเดียวกัน ผ่านการนำเสียงทางอาการ (Air conduction; AC)
Weber test
ถ้าคนปกติจะได้ยินเท่ากัน 2 ข้าง
ถ้ามีระบบการนำเสียงบกพร่อง ข้างที่มีปัญหาจะได้ยินชัดเจนกว่า
เป็นการทดสอบ Cochlear function
ถ้ามีระบบประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง ข้างที่ดีจะได้ยินชัดเจนกว่า
วัตถุประสงค์ในการตรวจเพื่อวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีปัญหาการนำเสียงบกพร่อง เป็นการตรวจการได้ยินโดยผ่านการนำเสียงกระดูก
Audiometry
โดยใช้เครื่องตรวจการได้ยินชนิดไฟฟ้า
ตรวจหูภายนอก โดยการมองและคลำดูบริเวณหน้าและหลังหู ว่ามีอาการปวด บวม แดง มีฝี มีรู มีถุงน้ำหรือไม่
การตรวจโดยใช้คำพูด
Speech Reception Threshold (SRT)
ตรวจระดับเสียงที่ต่ำที่สุดที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจคำพูด
Speech Discrimination
คือ ประสิทธิภาพของหูในการแยกเสียง และเข้าใจความหมายของคำพูด
การตรวจ Vestibular Function Test
Unterberger's Test
ทำเหมือน Romberg's Test แต่ยื่นมือตรงไปข้างหน้า หลับตา ย่ำซอยเท้าอยู่กับที่
Gait Test
ให้เดินตามแนวเส้นตรงระหว่างจุด 2 จุดแล้วหมุนตัวเร็วๆกลับมาที่เดิม
Romberg's Test
โดยการยืนตรง ส้นเท้าและปลายเท้าชิดกัน มองตรงไปข้างหน้า
ตรวจดู Nystagums คือ อาการตากระตุกโดยการทำ Head หรือทำ Shaking Position Test เพื่อดูอาการเวียนศีรษะ
การสูญเสียการได้ยิน (Hearing loss)
หมายถึง
ภาวะที่มีความบกพร่องในกลไกของการได้ยิน ทําให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการฟัง หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด หรือมีเสียงดังในหู พบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา
ประเภทของการสูญเสีย
แบบประสาทหูเสื่อม
เกิดจากความผิดปกติในอวัยวะรูปหอยโข่งในหูชั้นในตรงส่วนของเซลล์ประสาทรับเสียงที่พบบ่อยคือ outlet hair cell หรือความผิดปกติที่เส้นประสาทการได้ยิน
แบบผสม
เกิดจากความผิดปกติในระบบการนําเสียงร้วมกับประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง พบได้ในโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นกลางและหูชั้นในร่วมกัน
แบบการนําเสียงทางอากาศบกพร่
อง เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นนอกเยื่อแก้วหู และหูชั้นกลางทําให้มีความผิดปกติของกลไกการส่งผ่านคลื่นเสียงไปสู่หูชั้นใน
บกพร่องที่สมองส่วนกลาง
เกิดจากความผิดปกติของสมองโดยเฉพาะ ทําให้ผู้ป่วยได้ยินแต่ไม่สามารถแปลความหมายของสัญญาณนั้นได้
สาเหตุ
การนําเสียงทางอากาศบกพร่อง
โรคหูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน ช่องรูหูตีบแคบตั้งแต่กําเนิด สิ่งแปลกปลอมเข้าในหู หูชั้นนอกอักเสบ เนื้องอก โรคของเยื่อแก้วหูและหูชั้นกลาง ได้แก่ เยื่อแก้วหูทะลุ หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน หูชั้นกลางอักเสบมีน้ําเหลืองขัง หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง โรคกระดูกชั้นกลาง
ประสาทหุเสื่อม
เกิดภายหลัง
Infection
ติดเชื้อจากหูชั้นใน น้ําไขสันหลัง การติดเชื้อหูชั้นกลาง
Meniere's disease / endolymphatic hydro
Drug induced hearing los
s เกิดจากยากลุ่ม Aminoglycoside, salicylate, diuretics
Tumor
Noise induced hearing los
s เกิดจากเสียงดังมาก
Trauma
อุบัติเหตุบริเวณศีรษะทําให้เกิดการแตกของกระดูก temporal ผ่านหูชั้นใน
Presbycusis
พบในคนชรา
Vascular cause
Autoimmune
Sudden sensorineural hearing loss
ตั้งแต่กำเนิด
การวินิจฉัย (ตรวจร่างกาย)
ตรวจทางระบบประสาท กรณีสงสัยรอยโรคของเส้นประสาทหรือสมอง
ตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียง เพื่อแยกโรคหูชั้นกลางหรือเส้นประสาทหูในผู้ป่วยที่มีปัญหาการได้ยินที่ตรวจไม้พบความผิดปกติของหูชั้นนอกและเยื่อแก้วหู
ตรวจทางร่างกายทางหู คอ จมูก การส่องกล้องดูหู (Otoscope)
โรคที่พบบ่อย
โรคหูชั้นนอก
ขี้หูอุดตัน
(Cerum Impaction/Impacted Cerumen)
สาเหตุ
ในภาวะปกติขี้หูสามารถอุดตันอยู่ในส่วนของช่องหูชั้นนอก มีสี และปริมาณที่มากน้อยได้แตกต่างกัน แต่บางครั้งอาจเกิดปัญหาขี้หูอุดตัน
พยาธิสภาพ
ขี้หูถูกสร้างโดยต่อมสร้างขี้หูซึ่งอยู่ในช่องหูส่วนกระดูกอ่อน ปกติขี้หูจะเคลื่อนออกมาด้านนอกได้เอง ส่วนมากเกิดจากขี้หูสร้างมากผิดปกติ ในผู้สูงอายุต่อมสร้างขี้หูฝ่อทําให้ขี้หูแห้งและแข็ง รวมทั้ง Epithelial migration ลดลงทําให้ขี้หูอุดตันได้ง่าย
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ ปวดหู
การรักษา
โดยการล้าง ใช้เครื่องดูดหรือการใช้เครื่องมืออื่นๆช่วย
สิ่งแปลกปลอดในหูชั้นนอก (Foreign body)
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ รําคาญ สูญเสียการได้ยิน ในวัยเด็กเล็กๆมักเอามือจับหูบ่อยๆ ร้องกวน และไม้ยอมดูดนม ในวัยผู้ใหญ้จะพยายามแคะหู บางรายมีอาการมึนงงเวียนศีรษะจนถึงอัมพาตของใบหน้าได้
การรักษา
สิ่งไม่มีชีวิต
ใช้น้ําสะอาดหรือเกลือปราศจากเชื้อหยอดจนเต็มหูแล้วเทน้ําออกหรือใช้ที่ล้างหูช่วย
ของแข็ง
ใช้เครื่องมือแพทย์คีบออก
สิ่งมีชีวิต
ใช้แอลกฮอล์70% หรือยาหยดประเภทน้ํามันหยอดลงไปแล้วคีบออก
สาเหตุ
ในเด็กเล็กมักพบของเล้นชิ้นเล็ก ลูกปัด หรือเมล็ดผลไม้ เด็กยัดใสรูหู ทําให้เกิดอาการติดเชื้อ จนถึงอาการเยื่อแก้วหูทะลุได้ ส่วนในผู้ใหญ่มักพบเป็นเศษชิ้นส่วนของไม้พันสําลีหรือพวกแมลง
เยื่อแก้วหูฉีกขาดเป็นรูทะลุ
สาเหตุ
เกิดจากของมีดคม ที่เจาะหูที่ใช้ในการแคะขี้หู หรืออาจเกิดจากแรงอัดดันจากการถูกกระทบกระแทกบริเวณกระดูกขมับแรงๆ เช่น ถูกตบตี หรือได้รับอันตรายจากเสียงดังมากๆ
อาการและอาการแสดง
เจ็บปวดเฉียบพลัน สูญเสียการได้ยิน มีเลือดออกในหูและไหลออกมาจากการฉีกขาดของเยื่อแก้วหู บางรายมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
การรักษา
ไม่ต้องหยอดยาหู แต่ให้ยารับประทานกันการติดเชื้อ
ไม่ต้องทำความสะอาดภายในช่องหู
ไม่ต้องเอาลิ่มเลือดออก
อาการต่างๆควรหายภายใน 1 เดือน ถ้า 2 เดือนไม่หายให้ทำการซ่อมแซ่มเยื่อแก้วหู (Myringoplasty) หรือแพทย์บางท่านอาจใช้ยาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งแปะบริเวณที่ขาดเพื่อให้เนื้อเยื่อแก้วหูที่ขาดมาประสานกันเร็วขึ้น
ทิ้งไว้เฉยๆอย่าชะล้าง
โรคหูชั้นกลาง
โรคหูน้ำหนวก (Otitis media)
แบ่งเป็น 4 ชนิด
Serous Otitis Media
มีอาการระหว่างระหว่าง 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
Chronic Otitis Media
เป็นนานๆ มีอาการมากกว่าหรือเท่ากับ 3 เดือน
Acute Otitis Media
เกิดช่วงสั้นๆ มีอาการน้อยกว่า 3 เดือน
Adhesive Otitis Media
เป็นนานๆระยะเวลานานปี
สาเหตุ
3.เพด่านโหว่ทำให้กล้ามเนื้อ Tensor Veli palatine ที่ปิดเปิดท่อยูสเตเชียนทำงานได้ไม่ดี
4.เด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยนมขวดจะใช้แรงดูดมากกว่าเด็กที่ดูดนมแม่ และเด็กมักนอนราบมากกว่าการดูดนมแม่ ทำให้โอกาสเกิดการไหลย้อนเข้าสู่ท่อยูสเตเชียนได้ง่ายทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบ
2.ท่อยูสเตเชียนอุดตัน พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีเพราะโครงสร้างยังเจริญไม่เต็มที่
5.เนื้องอกบริเวณช่องหลังโพรงจมูกไปอุดตันท่อยูสเตเชียน
1.เป็นหวัด คัดจมูก คออักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ
6.ขณะเครื่องบินลงเกิดภาวะ Barotrauma จากการปรับเปลี่ยนความดันทำให้กล้ามเนื้อ Tensor Veli palatine ดึงท่อยูสเตเชียนให้เปิดไมได้
อาการ
สูญเสียการได้ยินบางรายอาจมีอาการหูอื้อ เวลาพูดเสียงดังจะรู้สึกก้องหูมาก รู้สึกเหมือนมีน้ำขังตลอดเวลา ตรวจดูแก้วหูด้วย Otoscopy พบเยื่อแก้วหูมีลักษณะนูนโป่งและมีอาการปวดหูร่วมด้วย
การรักษา
ให้ยาลดอาการคัดแน่นในจมูกและยาปฏิชีวนะร่วมด้วย โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าอักเสบจากเชื้ออะไรควรให้ยาตามผลการเพาะเชื้อชนิดนั้นด้วยเพื่อให้ออกฤทธิ์ครอบคลุม
ทำ Myringostomy (ในรายที่รักษาทางยาไม่ได้ผล) คือ การเจาะเยื่อแก้วหูแล้วใส่ท่อคาไว้เพื่อให้ลมผ่านเข้าออกได้ตลอด ให้ของเหลวในหูชั้นกลางไหลออกมา หลังทำแนะนำห้ามแคะหู ห้ามน้ำเข้าหู ถ้ามีหนองไหลใช้ลำสีสะอาดเช็ด
พยาธิสภาพ
มีการอักเสบของหูชั้นและโพรงกกหู ในหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันตรวจพบเยื่อแก้วหูบวมแดง ในหูชั้นกลางอักเสบชนิดมีน้ำขังตรวจพบเยื่อแก้วมีเหลือฟาง มีฟองอากาศหรือน้ำขังหลังหู ในหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังตรวจพบเยื่อแก้วหูทะลุหรือมี cholesteatoma
หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (Chronic Otitis media)
อาการและอาการแสดง
เยื่อแก้วหูทะลุ มีของเหลวไหลเป็นน้ำหนอง หูอื้อบางรายสูญเสียการได้ยิน
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาลดการคัดจมูก บางรายอาจให้ยาหยอดหูร่วมด้วย
ควรทำการผ่าตัดต่อไป (ทำ Tympanoplasty และอาจต้องทำ Mastoidectomy ร่วมด้วยในบางราย) ให้ยานาน 2 สัปดาห์ไม่หาย
สาเหตุ
เกิดจากภาวะที่มีการรักษาไม่หายขาดของหูชั้นกลางอักเสบ และการกลับเป็นซ้ำอีกของ Ottitis Media
โรคหินปูนเกาะฐานกระดูกโกลน (Otosclerosis)
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ บางรายมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนในขณะเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ โดยไม่เกิดอาการขึ้นทันทีทันใด หรือมีเสียงดังในหู การสูญเสียการได้ยินเป็นแบบ CHL
การรักษา
ใช้เครื่องช่วยฟัง เหมาะสําหรับสูญเสียการฟ้งไม่มากวิธีการผ่าตัด แพทย์จะนํากระดูกหูที่มีพยาธิสภาพออกและใส่วัสดเทียมเข้าไปเพื่อทําหน้าที่ในการส่งผ่านเสียงแทนกระดูกที่มีหินปูนยึดติด
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่ชัดอาจเกิด Measle virus และหากมีประวัติในครอบครัวถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal dominate
พยาธิสภาพ
มีการเพิ่มของ osteoblastic และ osteoclasvtic activity บริเวณ stapes footplate ทําให้เกิด otosclerosis
การบาดเจ็บจากแรงดันต่อหู (Otitis barotrama)
พยาธิสภาพ
เมื่อความดันในหูชั้นกลางมีความแตกต่างจากบรรยากาศภายนอก เยื่อเมือกจะบวม มีการสร้างของเหลวจากต่อมเมือก มีเส้นเลือดฉีกขาด ทําให้เกิดของเหลวหรือเลือดคั่งในหูชั้นกลาง
อาการและอาการแสดง
ปวดหู แน่นหู หรือสูญเสียการได้ยินแบบ CHL ร่วมกับมีประวัติขึ้นเครื่องบินหรือดําน้ำ
สาเหตุ
จากผลการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศหรือความดันในหูชั้นกลางและโพรงกกหู มักเกิดในภาวะที่ท่อ Eustachain ทํางานผิดปกติส่วนมากเกิดจากการเดินทางโดยเครื่องบิน
การรักษา
การป้องกันไม่ให้เกิด Otitic baratrama เป็นสิ่งที่สําคัญที่สุดมากกว่าการรักษาภายหลัง ซึ่งซับซ้อนและแนวโน้มไม่ดีจึงต้องพยายามปรับความดัน ไม่ให้เกิดความแตกต่างของหูชั้นกลางบ่อยๆ
การผ่าตัด
การผ่าตัด Stapes bone และ Footplate ออก (Stapedectomy) แล้วใส่ของเทียมเชื่อระหว่าง Incus กับ Oval window แทน
การผ่าตัดบริเวณหูชั้นกลาง เพื่อลดการกดของ facial nerve ลง ลดภาวะ facial paralysis
การผ่าตัดเปิดเข้าไปในชั้นกลาง เพื่อดูว่าจะทำอะไรต่อไป
การผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกหูในช่องหูชั้นกลาง (Ossiculoplasty) และใส่เชื่อมต่อกระดูกหูด้วยกระดูกหูเทียม
การตัดเอา Mastoid air cell ออก (Mastoidectomy) ทำให้พวกที่มี Cholesteatoma และ Mastoiditis
การตกแต่งหูชั้นกลาง รวมทั้งปะแก้วหูและตกแต่งกระดูกหู (Tymponoplasty)
การผ่าตัดตกแต่งแก้วหู ปะเยื่อแก้วหู (Myringoplasty/Tympanoplasty Type I)
การตัดเอา Mastoid air cell ออกรวมทั้งซ่อมแซม Conductive Mechanism ด้วย (Tympano-Mastoidectomy)
การดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังการผ่าตัดบริเวณกระดูกหูและกระดูก Mastoid
ในรายที่ทำการผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกโกลน (Stapedectomy) ร่วมด้วย ห้ามก้มมากๆ เมื่อจำหน่ายกลับบ้านต้องเน้นผู้ป่วยเรื่องการห้ามขึ้นเครื่องบิน ห้ามการออกแรงยกของหนักมากๆนาน 2 สัปดาห์
หลังผ่าตัดถ้าไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้เริ่มรับประทานอาหารอ่อนได้ แต่ให้เคี้ยวด้านตรงข้ามกับที่ผ่าตัด 1-2 วันแรกควรเป็นอาหารอ่อน
ติดตามประเมินภาวะปากเบี้ยว ตาปิดไมาสนิท ชาที่หน้า (อาการของ Facial paralysis) ถ้าพบต้องรีบรายงานแพทย์
ตัวกดห้ามเลือด (Pressure Dressing) แพทย์จะนำออกภายหลังผ่าตัด 24-48 ชั่วโมงไปแล้ว
ถ้ามีอาการเวียนศีรษะให้นอนพักและระวังอุบัติเหตุขณะเคลื่อนไหว
นอนราบตะแคงค้างข้างที่ไม่ผ่าตัด ถ้าไม่อาเจียนให้หมุนหมอนได้
คำแนะนำผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดก่อนจำหน่ายกลับบ้าน
เวลาไอและจามควรเปิดปากทุกครั้งอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด
ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านไปทำงานได้หลังผ่าตัด 2-3 วันแต่ห้ามทำงานใช้แรงในการยกที่หนักเกิน 50 กก.หรือต้องออกแรงดึงและก้มมากเกินไปอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด
ห้ามสั่งน้ำมูก 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัดเพื่อป้องกันสิ่งที่ซ่อมแซมหลุด
ภายหลังผ่าตัด 3-5 สัปดาห์อาจยังเป็นปกติที่จะมีเสียงดังเปรียะหรือเสียงซ่าภายในหูเกิดขึ้น
หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ดูแลอย่าให้น้ำเข้าหู หลีกเลี่ยงการสะสม 2-3 วันหลังผ่าตัด ถ้าให้ปลอดภัยควรหลีกเลี่ยงการสระผมจนกว่าจะตัดไหม 1 สัปดาห์
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การรับคลื่นเสียงต่างๆเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากความผิดปกติในช่องหูที่เกิดขึ้นหรือจากการอุดตันภายในช่องหู
เสี่ยงต่ออันตรายจากภาวะบาดเจ็บ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทรงตัว มีอาการเวียนศีรษะในระหว่างระยะเวลาภายหลังการผ่าตัด
เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากการทำผ่าตัดเอากระดูกมาสตอยด์ออก การทำการปะผิวหนังใหม่ การใส่กระดูกหูเทียม การใส่สัญญาณไฟฟ้า เนื่องจากการบาดเจ็บชอกซ้ำของเนื้อเยื่อและโครงสร้างต่างๆ
มีการเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ความรู้สึกต่างๆที่ใบหน้า อันเนื่องมาจากเส้นประสาทคู่ที่ 7 ถูกทำลายและการกระทบกระเทือนต่อแขนงเล็กๆของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7
ปวดเนื่องจากการชอกซ้ำของเนื้อเยื่อจากการผ่าตัด
มีความบกพร่องในการประสานของเนื้อเยื่อบริเวณบาดแผล อันเนื่องมาจากการชอกซ้ำเมื่อมีการผ่าตัดในช่องหู และการปลูกสร้างผิวหนังใหม่
เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิะีการผ่าตัด ประสิทธิภาพของการได้ยินที่อาจสูญเสียไป การรับรู้ความรู้สึกต่างๆ และการควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า
ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคมาสตอยด์ วิธีการทำผ่าตัด การดูแลหลังผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
โรคหูชั้นใน
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด โรคเวียนหัวขณะเปลี่ยนท่า (Bening paroxysmal positional vertigo: BPPv)
พยาธิสภาพ
เป็นโรคที่พบตะกอนแคลเซียมสะสมบริเวณอวัยวะทรงตัวในหูเมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะจะเกิดการกระตุ้นการเคลื่อนที่ของตะกอนแคลเซียมนี้ ซึ่งเคลื่อนที่ได้เมื่อน้ําในหูชั้นในเคลื่อนที่เกิดการส่งกระแสประสาทไปที่ประสาทส่วนกลางที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว จึงมีผลไปกระตุ้นอวัยวะการทรงตัวทําให้เกิดบ้านหมุนขึ้น และตรวจพบตากระตุก (nystagmus)
สาเหตุ
เกิดจากความเสื่อมตามวัย อุบัติเหตุโดยเฉพาะการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุบริเวณศีรษะ โรคหูชั้นใน การติดเชื้อ
อาการ
มักมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน รู้สึกโครงเครงหรือสูญเสียการทรงตัว เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เป็นโรคนี้มักไม่มีอาการหูอื้อหรือเสียงดังในหู ไม่มีแขนขาชาหรืออ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด ไม่มีอาการหมดสติหรือเป็นลม
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ได้แก่ อาการเวียนศีรษะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงท่าทางของศีรษะและเป็นช่วงสั้นๆ ไม่มีการสูญเสียการได้ยินหรือหูอื้อ ไม่มีเสียงดังในหูที่ผิดปกติ
การตรวจร่างกาย
เมื่อให้ผู้ป่วยล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็วในท่าตะแคงศีรษะและห้อยศีรษะลงเล็กน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ และมีการกระตุกของลูกตา
การสืบค้นเพิ่มเติม
การตรวจการได้ยิน
มักปกติยกเว้นในรายที่มีความผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
มักทําในรายที่สงสัยว่ามพยาธิสภาพของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมอง ทําให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
การรักษา
2.การทํากายภาพบําบัด เป็นการขยับศีรษะและคอ โดยใช้แรงดึงดูดของโลก เพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนออกจากอวัยวะควบคุมการทรงตัว
การผ่าตัด มักทําในกรณีที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยาและทํากายภาพไม่ได้ผล คือ ยังมีอาการเวียนศีรษะตลอด
1.การรักษาด้วยยา ได้แก่ ให้ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ และผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ถ้าอาเจียนมาก อาจมีการสูญเสียน้ําและเกลือแร่ในร่างกายมากอาจถึงช็อกได้
ถ้าเวียนศีรษะมากอาจล้มได้ทําให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีอาการควรรีบนั่งลงหรือนอนพื้นราบไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ถ้าเกิดมีอาการขณะขับรถหรือขณะทํางาน ควรหยุดรถข้างทางหรือหยุดการทํางาน ไม่ควรดําน้ำ ว่ายน้ํา หรือปีนป่ายที่สูง
การปฏิบัติตัวอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบของโรคได้
ตอนตื่นนอนตอนเช้า ควรลุกจากเตียงช้าๆ และนั่งบนขอบเตียงก่อน
หลีกเลี่ยงการก้มเก็บสิ่งของ หรือเงยหยิบสิ่งของที่อยู่สูง
หลีกเลี่ยงการการนอนที่เอาหูด้านที่กระตุ้นให้เกิดอาการลง
เวลาทําอะไรควรทําอย่างช้าๆ ทําอะไรค่อยๆ
เวลานอนควรนอนหนุนหมอนสูง หลีกเลี่ยงการนอนราบ
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere's disease)
สาเหตุ
ไม่ทราบชัดเจน
อาการ
ประสาทหูเสื่อม ผู้ป่วยมีการเสียการได้ยินแบบประสาทเสียงเสียทําให้หูอื้อ ได้ยินไม่ชัดเจน แน่นในหูมีเสียงดังในหูและ อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุนบางครั้งอาจคลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกร่วมด้วย ทําให้ผู้ป่วยไม่สามารถทํากิจวัตรประจําวันได้ตามปกติต้องนอนพัก
พยาธิสภาพ
เกิดการคั่งของ endolymph จนทําให้ membranous labyrinth แตกออก ทําให้มีการลดลงของAuditory และ Vestibular neronal outflow ตามมา จึงทําให้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน การได้ยินลดลง
การรักษา
จํากัดความเค็ม เพราะความเค็มหรือโซเดียมที่มีมากในร่างกายจะทําให้มีน้ําคั่งในร่างกาย และน้ําในหูชั้นในมากขึ้น อาจทําให้อาการแย่ลง
การกินยาขยายหลอดเลือด ฮิสตามีน จะช่วยให้มีการไหลเวียนไปที่หูเพิ่มมากขึ้น
หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเรือ
ถ้าอาการดีขึ้นแล้วควรออกกําลังกายสม่ําเสมอ เพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่หูมากขึ้น
พยายามอย่ากินหรือดื่มหนัก
หลีกเลี่ยงชา คาเฟอีน บุหรี่ ความเครียดเพราะจะทําให้เลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นในลดลง
เมื่อมีอาการเวียนศีรษะควรหยุดเดินหรือนั่งพักถ้าฝืนจะเกิดอุบัติเหตุ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะ (vertigo)
การวินิจฉัยการพยาบาล
วิตกกังวลจากการมีเสียงดังรบกวนในหู การมีอาการหูอื้อและสูญเสียการได้ยินไป
นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จากอาการที่ปรากฏและความวิตกกังวล
เสี่ยงต่ออันตรายจากอุบัติเหตุ เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติจากการมีอาการเวียนศีรษะ
ขาดความรู้ในการปฏิบัติตนเมื่อมีอาการต่างๆ
การปฏิบัติพยาบาล
3.แนะนำให้ความรู้แก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะในเรื่องของโรคและการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ถ้าจำเป็นต้องมีอาการหูหนวกเกิดขึ้น รวมถึงการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยด้วย
4.การประเมินต่างๆของผู้ป่วยเป็นเรื่องจำเป็น เช่น อาการเวียนศีรษะ ความถี่ ความห่าง ช่วงเวลา ทั้งนี้เพื่อพยาบาลจะได้จัดกิจกรรมต่างๆมาช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมต่อไป ถ้าจำเป็นพยาบาลอาจต้องเป็นผู้ปฏิบัติการพยาบาลบางอย่างให้ เช่น ดูแลความสะอาดของร่างกาย การขับถ่าย ในขณะที่ผู้ป่วยกำลังมีอาการอยู่
2.ขณะมีอาการเวียนศีรษะควรนอนนิ่งๆบนเตียง เพื่อลดอาการเวียนศีรษะ แนะนำให้หลับตา สูดลมหายใจเข้าๆยาวๆลึกๆให้นอนอยู่ในท่าที่สบายที่สุด เมื่อลืมตาพยายามมองวัตถุนิ่งๆ และพยาบาลควรอธิบายเหตุผลให้ทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
5.การจัดสิ่งแวดล้อมต่างๆควรให้เหมาะสมและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพักผ่อนได้มากยิ่งขึ้น อุณหภูมิ แสง เสียง กลิ่น ควรดูแลอย่าให้เป็นการรบกวนการนอน ซึ่งถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยานอนหลับร่วมด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้มากขึ้น
1.ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยในเรื่องของการเคลื่อนไหว ควรเคลื่อนไหวช้าๆ ถ้าต้องลุกเดินพยาบาลควรดูแลพยุง และป้องกันไม่ไห้เกิดอุบัติเหตุจากการหกล้มหรือตกเตียง โดยอย่าลืมยกราวกั้นเตียงขึ้นด้วย และถ้าผู้ป่วยจะเดินอาจให้ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงไว้ก่อน
6.การให้คำแนะนำให้เรื่องการออกกำลังกาย ในขณะที่ยังไม่มีอาการให้ผู้ป่วยพยายามปฏิบัติกิจกรรมต่างๆเท่าที่ทำได้ แต่ไม่ควรทำงานที่หนักเกินไป และไม่เดินทางไปในที่ๆอาจเกิดอันตรายได้ เช่น การขึ้นที่สูง การไปดำน้ำ เป็นต้น
ประสาทหูเสื่อมฉับพลัน
(Idiopathic Sudden Hearing Loss)
สาเหตุ
ไม่ทราบชัดเจน
การอุดตันของเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน อาจเกิดจากความเครียดทําให้หลอดเลือดแดงหดตัวฉับพลัน หลอดเลือดที่เสื่อมตามวัยแล้วมีไขมันมาเกาะ เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง
การรั่วของของน้ําในหูชั้นใน เข้าไปในหูชั้นกลาง ซึ่งอาจเกิดมาจากการเบ่งถ่าย ไอ จามแรงๆ หรือความดันในสมองสูงทําให้ประสาทหูเสื่อมและมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน และเสียงดังในหู
การติดเชื้อไวรัส
ทราบสาเหตุ
การบาดเจ็บ
บาดเจ็บที่ศีรษะอาจทําให้เกิดการรั่วของน้ําในหูชั้นในหรือกระดูกบริเวณกกหูหัก ทําให้มีการบาดเจ็บของเส้นประสาทหูจากการผ่าตัด โดยเฉพาะการผ่าตัดที่หูชั้นกลาง หรือหูชั้นใน จากการเปลี่ยนแปลงความกดดันของหูชั้นใน เช่น กรดําน้ํา การขึ้นเครื่องบินและการได้ยินเสียงดังมากๆในระยะสั้น ๆ เช่น ประทัด เสียงปืน
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ การได้ยินลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่งอย่างฉับพบัน บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
การรักษา
ในกรณีที่ทราบสาเหตุ
รักษาตามสาเหตุ แต่อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาประสาทหูที่เสื่อมให้คืนกลับมาได้ ก็จะรักษาตามอาการ เช่น อาการเวียนศีรษะ, อาการมีเสียงดังในหู หรืออาจป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
ในกรณีไม่ทราบสาเหตุ
มักมีอาการหายได้เองสูง ส่วนใหญ่มุ่งรักษาเพื่อรักษาอาการอักเสบของประสาทหู และเซลล์ประสาทหู ถ้าไม่มีข้อห้ามนิยมให้ยาสเตียรอยด์ประมาณ 1 สัปดาห์ถ้าการได้ยินไม่ดีขึ้น อาจพิจารณาให้มีการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในหูชั้นกลางโดยผ่านเยื่อแก้วหูแล้วค่อยๆลดยาสเตียรอยด์รับประทานลง ในรายที่มีข้อห้ามในการใช้ยารับประทานสเตียรอยด์อาจพิจารณาฉีดยาตั้งแต่ต้น
ยาขยายหลอดเลือด จุดประสงค์เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่หูเพิ่มมากขึ้น
ยาลดอาการเวียนศีรษะ (ถ้ามีอาการ)
ยาวิตามิน บํารุงประสาทหูที่เสื่อม
การนอนพัก วัตถุประสงค์เพื่อลดการรั่วของน้ําในหูชั้นในเข้าไปในหูชั้นกลาง (ถ้ามี) แนะนําให้นอนยกศีรษะสูง 30 องศาจากพื้นราบเพื่อให้มีความดันในหูชั้นกลางให้น้อยที่สุด ไม่ควรทํางานหนักหรือออกกําลังกายหักโหม 1 – 2 สัปดาห์
เพื่อป้องกันประสาทหูเสื่อมเพิ่มขึ้น
ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ซีด เป็นต้น ต้องควบคุมอาการให้ดี
หลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อหู
หลีกเลี่ยงเสียงดัง
หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนที่หู
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่หู
ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มที่มีการกระตุ้นระบบประสาท
หูตึงเหตุจากสูงอายุ
(Presbycusis / age relate hearing loss)
สาเหตุ
อายุที่เพิ่มมากขึ้นเป็นปัจจัยส่งเสริม เช่น มีโรคที่ทําให่เลือดไปเลี้ยงหูชั้นในลดลง การใช่ยา การได่รับเสียงดัง การสูบบุหรี่
อาการและอาการแสดง
การได้ยินลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่าๆกันทั้งสองข้าง อาจมีเสียงดังใหูร่วมด้วย
พยาธิสภาพ
มีการลดลงของ Sensory cells และ Supporting cells ใน organ of Corti, Spiral ganglion cells มีAtrophy ของ stria vascularis หรือมีการแข็งตัวของ basilar membrane จากสาเหตุ Oxidation stress จากเสียงดัง, สารต้านอนุมูลอิสระยังทําลาย mitochondrial DNA ในหูชั้นใน ทําให้เกิด Mutation/deletionmtDNA และการทํางานของ mitochondrial ลดลง
การรักษา
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เครื่องช่วยฟังเป็นหลัก
การจํากัดแคลอรี่ช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย
จมูก
การได้กลิ่น (Smelling)
จมูกเป็นอวัยวะที่รับสัมผัส กลิ่น เช่น กลิ่นอาหาร และสารเคมีอื่นๆในโพรงจมูกจะมีเซลล์รับสัมผัสกลิ่นซึ่งเป็นสารเคมีอยู่ทางตอนท้ายของโพรงจมูกอยู่ถึง 7 ชนิด
กลไกการได้กลิ่น
โมเลกุลในอากาศ > ช่องโพรงจมูก > สัมผัสกับขนของเซลล์รับความรู้สึกในการดมกลิ่นซึ่งอยู่ที่เยื่อบุโพรงจมูกด้านบน > ไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทรับกลิ่น > ซึ่งจะเปลี่ยนกลิ่นเป็นกระแสประสาท > วิ่งไปตามเส้นประสาทคู่ที่ 1(Olfactory nerve) > Olfactor bulb > แปลผลที่ Temporal lope ของ Cerebrum (ศูนย์การดมกลิ่น)
โรคที่พบบ่อย
เลือดกำเดา (Epistaxis)
สาเหตุ
เป็นภาวะที่มีเลือดออกมาทางจมูกจากการฉีดขาดของหลอดเลือดที่เยื่อบุจมูกซึ่งอาจมาจากการได้รับบาดเจ็บ การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป และการมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งการติดเชื้อรวมไปถึงการมีเนื้องอกในช่องจมูกด้วย
อาการและอาการแสดง
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน้า
พบบริเวณที่เรียกว่า Kiesselbach's plexus or little area ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดที่มาเลี้ยงจมูกรวมอยู่มาก พบมากในเด็กและคนหนุ่มสาว
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหนัง
มักพบในผู้สูงอายุที่มีโรค HT หรือโรคในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดทำให้เลือดออกง่ายหยุดยาก
การรักษา
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน้า
การใช้สารเคมีหรือไฟฟ้าจี้กัดจุดที่มีเลือดออก
การใช้ Anterior nasal packing คือการใส่ผ้ากอซที่มียาปฏิชีวนะและสารพวก Gel foam (ใช้หล่อลื่นเวลานำออก) เพื่อไปอุดตำแหน่งเลือดออก
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหนัง
(เลือดออกมาและหยุดยาก)
Pterior nasal packing คือการอุดในช่องคอหลังโพรงจมูกโดยใช้ gauze tampon หรือใช้ balloon หรือสาย Foley's ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนกับผู้ป่วยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
Arterial ligation คือการผูกหลอดเลือดแดงเพื่อควบคุมภาวะเลือดออก
Laser Photocoagulation
Skin graft to nasal septum and leteral nasal wall
Arterial Embolization
การพยาบาลหลังการรักษา
ประเมินเลือดออกโดยสังเกตผ้ากอซว่ามีเลื่อนหลุดลงไปในลำคอหรือไม่ ถ้าเลื่อนต้องตัดให้สั้น แต่ห้ามดึงผ้ากอซออกเอง
อธิบายให้ทราบว่าอาจมีอาการหูอื้อได้ แต่จะหายเมื่อนำตัวกดห้ามเลือดออก ซึ่งจะเอาออกหลังใส่ 48-72 ชั่วโมงแต่รายที่มีเลือดออกมากอาจใส่นาน 7 วัน
ถ้ามีอาการบวมบริเวณจมูกมากให้ประคบเย็น และให้ยาแก้ปวดร่วมกับจัดท่านอนศีรษะสูง 45-60 องศาเพื่อลดอาการบวมและพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก เช่น การแคะขี้มูก การสั่งน้ำมูกแรงๆซึ่งห้ามทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ถ้าไอ จามให้เปิดปากด้วย
ห้ามสั่งน้ำมูกหรือแกะสะเก็ดแผล
ภายหลังการนำเอาตัวกดเลือดออกควรนอนพักนิ่งๆก่อน 2-3 ชม. ห้ามยกของหนัก การออกกำลังกายโดยใช้แรงมากๆอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์หลังมีเลือดออก
แนะนำให้อ้าปากเวลาไอจาม
ริดสีดวงจมูก (Nasal polyp)
สาเหตุ
มักมีสาเหตุจากการเป็นหวัดเรื้องรัง เช่น หวัดจากการแพ้ หรือการติดเชื้อของเยื่อจมูก
อาการ
มีอาการคันจมูก แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก พูดเสียงขึ้นจมูก ซึ่งเป็นเรื้อรังเป็นแรมเป็นปี บางครั้งอาจไม่มีความรู้สึกในการรับกลิ่น อาจมีน้ำมูกออกเป็นหนอง ถ้าติ่งเนื้อเมือกอุดกั้นรูเปิดของไซนัสก็อาจทำให้เกิดมีอาการปวดที่หัวคิ้วหรือโหนกอก้มเช่นเดียวกับไซนัสอักเสบ
มักไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นก้อนโตมากจะทำให้หายใจไม่สะดวกและเสียความรู้สึกในการรับกลิ่น
สิ่งตรวจพบ
ใช้ไฟฉายส่องดูรูจมูก มักพบมีติ่งเนื้อเมือกสีค่อนข้างใสอุดกั้นอยู่ในรูจมูก
อาการแทรกซ้อน
ส่วนมากทำให้มีอาการแน่นจมูกน่ารำคาญ บางรายอาจมีไซนัสอักเสบ
การรักษา
กำจัดริดสีดวงจมูกออกโดยทำ
Medical Polypectomy
เป็นการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ พ่นจมูกเพื่อทำให้่ยุบตัวลง
Surgical Polypectomy
Nasal poly
ทำผ่าตัด Polypectomy โดยใช้ Snaring (คือการใช้ลวดคล้องและดึงออก) หรือทำ ESS (Endoscopic Sinus Surgery)
Antrochonal poly
ทำผ่าตัด Caldwell-luc operation
การรักษาโรคที่เกิดร่วมและการป้องกันการเกิดซ้ำของริดสีดวง
ต้องแนะนำการทำความสะอาดโพรงจมูก โดยการล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อเองทุกวัน และมาพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ล้างโพรงจมูกทุกสัปดาห์ เพื่อให้โพรงจมูกทำงานได้ดีขึ้น
การให้ยาเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ ส่วนมากให้ยาเพรดนิโซโลนนาน 5-7 วันโดยให้หลังผ่าตัดแล้ว 1-2 สัปดาห์ร่วมกับให้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกด้วยซึ่งอาจพ่นไปนานถึง 3 เดือน
สาเหตุของริดสีดวงจมูกมีจากหลายประการ แพทย์ต้องหาสาเหตุให้พบไม่เช่นนั้นจะต้องทำการผ่าตัดซ้ำหรือรักษาซ้ำๆได้
Sinusitis
ไซนัส
หมายถึง
โพรงหรือช่องอากาศที่อยู่ในกระดูกของหน้ามีทางติดต่อกับช่องจมูกเรียกว่า รูเปิดของไซนัส
มี 4 คู่
Frontal sinus
อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าในบางรายพบว่ามีเพียงช่องเดียวหรือไม่มีเลย บางรายก็มีถึง 3 ช่อง
Ethmoidal sinus
อยู่ที่ซอกตาระหว่างกระบอกตา และจมูกเป็นช่องเล็กๆติดต่อกันอยู่มีข้างละประมาณ 2-10 ช่อง
Maxillary sinus
มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่แก้มทั้ง 2 ข้าง
Sphenoidal sinus
อยู่ที่หลังจมูกด้านบนสุดติดกับฐานของสมอง
สาเหตุชนิดเฉียบพลัน
2.สภาพของจมูก
เเช่น การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูก แผ่นกั้นช่องจมูกคด
3.สาเหตุโดยตรง
ได้แก่ โรคที่มีอาการนำทางจมูก ฟันผุและการถอยฟัน การสั่งน้ำมูกแรงๆ จามมากๆอย่างรุนแรง การดำน้ำ
1.สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยไม่ดี
เช่น ภูมิต้านทานต่ำ เป็นโรคเลือด เบาหวาน ภาวะที่ร่างกายตรากตรำมากเกินไป นอนไม่หลับ การกระทบกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะความเย็นจัด ถูกฝุ่นละออง และควันบุหรี่จำนวนมาก
อาการชนิดเฉียบพลัน
มีอาการปวดกดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูก
คัดจมูก
มีของเหลวเป็นหนองไหลออกจากช่องจมูก
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยกลายเป็นภาวะโพรงอากาศข้างจมูกอักเสบเรื้อรัง
การรักษาชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยที่ปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำและรับประทานยาสม่ำเสมอมักหาได้ง่าย
ในระยะนี้ยาที่ใช้ส่วนใหญ่คือยาปฏิชีวนะและยาที่รักษาตามอาการ
ส่วนมากเป็นการรักษาด้วยยารับประทาน ไม่นิยมให้ยาหยอดจมูก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เกิดภาวะการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีภาวะช่องจมูกบวมหรืออุดตัน
เกิดความเจ็บปวดในการผ่าตัดช่องจมูก
เสี่ยงต่อภาวะพร่องของสารน้ำและสารอาหาร เนื่องจากความไม่สมดุลของสารน้ำร่างกายและการเสียเลือดออกทางช่องจมูก
เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากมีของเหลวคั่งค้างในจมูก
การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ต่างๆ เช้น การมองเห็นเปลี่ยนไปเนื่องจากอันตรายจากการกระทบกระเทือนจ่อระบบต่างๆในการผ่าตัดบริเวณจมูก
การพยาบาลหลังผ่าตัด
1.จัดท่านอนในท่าศีรษะสูง 40-45 องศาเพื่อลดอาการบวมบริเวณจมูกและแก้มเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
2.ประคบบริเวณจมูกด้วยความเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวด (ใน 48 ชั่วโมงแรกไม่ควรประคบร้อนเพราะจะกระตุ้นให้มีเลือดออกได้)
3.การป้องกันการติดเชื้อ ควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทำความสะอาดช่องปากโดยบ้วนปากด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อบ่อยๆ ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณแผล
4.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การยกของ หรือทำงานหนักภายใน 10-14 วันแรกหลังผ่าตัด
5.ไม่ควรไอจามแรงๆ ถ้าจะจามให้ทำแบบเปิดปากด้วยเพื่อลดแรงดันที่จะเข้าสู่โพรงอากาศข้างจมูก ซึ่งทำให้แผลผ่าตัดในช่องปากแยกได้
ช่องปากและลำคอ
Tonsillis + Adenoiditis
สาเหตุ
Beta-hemolytic streptococci or Staphylococi พบได้มากถึง 30% และเป็นพวกแบคทีเรียตัวอื่น รวมทั้งไวรัสด้วย
ส่วนการอักเสบเรื้อรังนั้นอาจเกิดได้จากการเป็นโรคอื่นๆมาก่อน เช่น มีภาวะภูมิแพ้ หอบหืด และโพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ
ต่อมอดีนอยด์อักเสบ มักพบว่าเป็นจากการเกิดต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันมาก่อน โดยเชื้อที่พบมากคือ Streptococci group A ซึ่งบางทีเรียกว่า โรค Adenoid Hypertrophy
อาการและอาการแสดง
ไข้ ไอ เจ็บคอ กลืนลำบาก
รายที่ต่อมอีนอยด์อักเสบด้วยจะพบอาการที่เป็นผลมาจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่เกิดขึ้นดังนี้
1.อาการหายใจทางปากและหายใจเสียงดัง
บางครั้งมีอาการนอนกรน เป็นผลมาจากภาวะที่ต่อมอีนอยด์บวมโตไปขวางการหายใจ
2.อาการของช่องหูชั้นกลางอักเสบ
บางรายอาจมีแก้วหูทะลุ สูญเสียการได้ยินถาวรได้ และบางรายมีมาสตอยด์อักเสบร่วมด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากที่ท่อยูสเตเชียนเกิดการบวมและอุดตัน ทำให้เกิดมีหนองคั่งค้างในหูชั้นกลาง
3.การพูดเสียงขึ้นจมูก
เกิดจากภาวการณ์อุดตันในช่องจมูกและการหายใจทางปากแทนภาวะปกติ
การผ่าตัด
3.มีการเกิดฝีรอบทอนซิลและรักษาจนหายอักเสบแล้วอย่างน้อย 6 สัปดาห์จะต้องทำเพื่อรักษาโรคนี้ให้หายขาด
4.มีอาการกลืนลำบาก
2.มีการกลับเป็นซ้ำของภาวะทอนซิลอักเสบประมาณ 4-5 ครั้ง/ปี
5.มีภาวะบวมโตของต่อมทั้ง 2 นี้จนขัดขวางการหายใจ
1.รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้
6.มีอาการอื่นๆร่วมด้วยภายหลังต่อมนี้บวมโต เช่น มีภาวการณ์อักเสบของช่องหูชั้นกลาง สูญเสียการได้ยิน และไข้รูมาติด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
3.เสี่ยงต่อภาวะเสียเลือด เนื่องจากมีแผลเปิดในคอหรือทางเดินหายใจไม่โล่งจากการลำสักเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งอื่นลงไป
4.เสี่ยงภาวะการอักเสบติดเชื้อของแผลในลำคอ เนื่องจากขาดความรู้การดูแลแผล
2.เกิดภาวะพร่องสารน้ำและสารอาหารในร่างกายจากการได้รับอาหารและน้ำในปริมาณไม่เพียงพอ เพราะเจ็บคอเวลากลืน
5.เสี่ยงต่ออันตรายจาภาวะแทรกซ้อนภายหลังกลับบ้าน เนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
1.ปวดแผลบริเวณที่ทำการผ่าตัด
การพยาบาลหลังการผ่าตัด
อธิบายหลังผ่าตัดอาจมีอาการเจ็บคอ คอแข็ง อาเจียนภายใน 24 ชม.แรกรวมถึงมีอาการเจ็บคอ ปวดหูนาน 7-10 วันหลังผ่าตัด
แนะนำงดการใช้เสียงการทำงานหรือกิจกรรมใดๆที่ต้องออกแรงมากๆอย่างน้อย 7 วันเพื่อรอแผลหาย
ควรหลีกเลี่ยงอาหารหลังผ่าตีด ควรไม่มีรสเปรี้ยวเผ็ดหรือร้อนเพราะจะระคายเคืองแผลในลำคอทำให้มีเลือดออก
หลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัดป้องกันการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
แนะนำให้รับประทานของเย้น เช่น ไอศกรีม น้ำเย็น หรือการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยลดการบวมในลำคอ และทำให้กล้ามเนื้อคลายอาการเกร็งตัวจะบรรเทาอาการปวดได้ แต่ห้ามเรื่องจำนวนไอศกรีมอย่าให้กินมากเกินไป เพราะจะทำให้มีเสมหะเหนียว