Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยศัลยกรรม, image, image, image, image, image, image, image,…
การพยาบาลผู้ป่วยศัลยกรรม
ความหมาย
การพยาบาลศัลยกรรมหมายถึง การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด
:red_flag:1. การดูแลระยะก่อนผ่าตัด (preoperative care)
การเตรียมทางด้านจิตใจ :<3:
พยาบาลมีบทบาทหน้าที่
อธิบาย ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความคุ้นเคยกับพยาบาล อบอุ่นใจ ไว้วางใจ เชื่อมั่นในทีมที่จะให้การรักษา ให้ญาติมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญ
การเตรียมด้านร่างกาย :<3:
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับน้ำและอาหารที่พอเหมาะ
ภาวะสารน้ำและอิเลคโตรลัยด์ สารน้ำและอิเลคโตรลัยด์
คำแนะนำและข้อมูลต่างๆที่ผู้ป่วยควรทราบ ในระยะก่อนผ่าตัดควรแนะนำและให้ข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องทราบ และการปฏิบัติตนหลังผ่าตัด
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
การเตรียมผู้ป่วยในวันก่อนการผ่าตัดหรือวันที่จะผ่าตัด :<3:
1.อาหารและน้ำดื่ม โดยทั่วไปวิธีการผ่าาตัด โดยทำ ให้หมดความรู้สึกโดยการดมยาสลบ กระเพาะอาหารจะต้องว่างเพื่อป้องกันการอาเจียนแล้วสำลักเศษอาหารเข้าในปอดขณะ ดมยา ดังนั้นนจึง ต้องงดอาหารก่อนผ่าตัด อย่างน้อย 8 ช่ัวโมง
3.การขับถ่าย การเตรียมระบบขับถ่ายปัสสาวะ และทางเดินอาหารโดยเฉพาะลำไส ้ เพื่อให้ลำไส้สะอาด ป้องกันไม่่ให้อุจจาระไหลออกมาขณะผ่าตัด เนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดคลายตัวในขณะดมยาสลบ
2.การเตรียมเฉพาะที่ เนื่องจากผิวหนังเป็นแหล่งที่มีเชื้อจุลนินทรีย์มาก ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมผิวหนังบริเวณ ที่จะผ่าตัดให้สะอาดและลดจา นวนจุลนินทรีย์ การเตรียมผิวหนังควรเตรียมใกล้เวลาผ่าตัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการเจริญเติบโตใหม่ของเชื้อ โรค
การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด :<3:
โดยทั่วไปให้ผู้ป่วยนอนรถเข็นนอน (Stretcher) ถ้าจำเป็นไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยก็ให้นอนบนเตียง ห่มผ้าให้เรียบร้อย เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและปลอดภัย ดึงเหล็กกั้นเตียงขึ้น เข็นรถด้วยความนุ่มนวล ระมัดระวัง อย่าเข็นเร็วเกินไปผู้ป่วยอาจเวียนศีรษะ อาเจียนได้ ควรมีพยาบาลหรือคนที่ผู้ป่วยคุ้นเคยตามไปห้องผ่าตัดด้วย ควรอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลาจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดมารับเข้าห้องผ่าตัด เพราะการอยู่คนเดียวในที่แปลกๆอาจทำให้ผู้ป่วยกลัวได้
:red_flag:การพยาบาลระยะผ่าตัด
การให้ยาก่อนระงับความรู้สึก :<3:
แพทย์ หรือ แพทย์วิสัญญีเป็นผู้พิจารณาให้ ขึ้นกับผู้ป่วย เพศ อายุ สภาพร่างกายและจิตใจ มักจะให้ล่วงหน้าในคืนก่อนผ่าตัด มีทั้งยาฉีดและยารับประทาน ให้เพื่อ ลดความกลัว ความวิตก กังวลก่อนผ่าตัด
การให้ยาระงับความรู้สึก :<3:
ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย :star:
โดยการสูดดมเอาแก๊ส หรือของเหลวระเหยเร็ว (Inhalation anesthesia) เป็นการสูดดมเอาไอระเหยของยาสลบ โดยเริ่มจากการฉีด เข้าทางหลอดเลือดดำก่อนเพื่อให้หมดความรู้สึกจากนั้นจึงดมยาสลบทาง หน้ากาก (mask) หรือท่อหลอดลมคอ (endotracheal tube)
โดยการฉีดเข้าทางหลดเลือดดำ
(Intravenous anesthesia)
ทำให้ผู้ป่วยหมดสติไม่รู้สึกตัว สามารถให้ได้กับผู้ป่วยทุกประเภท และการผ่าตัดทุกชนิด แพทย์ดมยาสามารถควบคุมการทำงานของระบบหายใจ และระบบไหลเวียนเลือดได้ ข้อเสีย คือ กดการหายใจ
ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ :star:
การฉีดพ่นบนผิวหนัง (Local anesthesia) เป็นการฉีดยาชาลงบริเวณ
ที่จะทำผ่าตัด ใช้ในการผ่าตัดเล็กๆเช่น ฉีดยาชาเพื่อถอนฟัน
การฉีดเข้าไปที่ไขสันหลัง (Spinal anesthesia) ฉีดเข้าน้ าไขสันหลัง (subarachnoid space) บริเวณกระดูกสันหลังตอนเอวระหว่างท่อนที่ 3-4 มีผลให้ ตั้งแต่กระบังลมลงมาหมดความรู้สึก ใช้กับการผ่าตัดที่เกี่ยวกับอวัยวะใต้กระบังลม
การฉีดบริเวณรอบๆ กลุ่มประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณที่จะท าผ่าตัด (Nerve block) เช่นการผ่าตัดบริเวณลำคอ ต่อมไทรอยด์ ใช้วิธี Cervical plexus block การผ่าตัดบริเวณแขนและมือ ใช้วิธี Brachial plexus block
การฉีดเข้าเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอก (Epidural space) ท าให้หมด ความรู้สึกบริเวณลำตัวถึงปลายเท้า ต่ำกว่าระดับที่ฉีดยาชาลงมา
การ หยอด ทา พ่น ยาชาลงเฉพาะที่ (Topical anesthesia) บริเวณ
เยื่อเมือก ยาที่พ่นจะมีความเย็น สามารถลดความเจ็บปวดได้
การดูแลหลังได้รับ
Spinal /Epidural
:star:
การพยาบาลผู้ป่วยหลังได้รับยาชาทางไขสันหลัง
ผู้ป่วยควรได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตลอดเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
spinal ให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-12 ชั่วโมง
Epidural ให้ผู้ป่วยนอนราบ 4-6 ชั่วโมง
ผู้ป่วยอาจมีคลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากการมีความดันโลหิตต่ำลงจากฤทธิ์ยาที่ใช
หนุนหมอนได้ แต่ห้ามลุกนั่ง
การจัดท่านอน :<3:
ท่านอนหงาย(Supine Position)
ท่าศีรษะต่ำปลายเท้าสูง (Trendelenburg positition)
ท่าศีรษะสูงปลายเท้าต่ำ (Reverse Trendelenburg positition)
ท่านอนกึ่งคว่ำ (Semi-fowler's position).
ท่านั่ง(Sitting position)
ท่านอนหงายชันเข่า (lithotomy position)
ท่านอนคว่ำ (Prone position)
(Jack-knife position)
ท่าเข่าชิดอก (Knee-Chest position )
(Kidney position)
ท่านอนตะแคง (Lateral position)
ระยะหลังผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดระยะแรก :<3:
สัญญาณชีพ
หมั่นวัดสัญญาณชีพซึ่งจะบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้ เช่น
การตกเลือด การหยุดหายใจ
ผิวหนัง สีเล็บ ริมฝีปาก
ลักษณะของผิวหนัง เช่น ชื้น แห้ง อุ่นหรือเย็น
สภาพของแผลผ่าตัด ผ้าปิดแผล ท่อระบายต่างๆ ตำแหน่งการทำหน้าที่ของท่อระบายจำนวนและลักษณะของสิ่งระบายที่ออกมา
การขับถ่ายปัสสาวะได้เอง หรือมีสายสวนหรือหน้าท้องบริเวณหัวเหน่าโป่งตึงหรือไม่
บันทึกเวลาที่รับผู้ป่วยไว้
ปฏิกิริยาโต้ตอบ การกระพริบตา การไอ การกลืน
การดูแลหลังผ่าตัดในระยะ 24 ชั่วโมง :<3:
การบริหารการหายใจ
การกระตุ้นการเคลื่อนไหวร่างกายหลังการผ่าตัด
ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด พยาบาลจะต้อง ประเมินอาการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทราบอาการต่างๆ หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะถูกนำมายัง ห้องพักฟื้น (Recovery Room ) เพื่อประเมินอาการหลังผ่าตัด เมื่ออาการดีขึ้นจึงจะนำไปส่งยังหอผู้ป่วย
การไออย่างมีประสิทธิภาพ
การเตรียมเพื่อรับผู้ป่วยกลับจากห้องผ่าตัด :<3:
ต้องเตรียมสถานที่ เตียง สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ดังนี้ เตรียมตำแหน่งเตียงให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม เตรียมบริเวณสำหรับวางเครื่องมือแพทย์ ที่คาดว่าจะใช้ หลังการผ่าตัด เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องนับหยดสารละลาย
เตรียมเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็นเครื่องช่วยหายใจ เสาแขวนน้ าเกลือ เครื่องดูดเสมหะ อุปกรณ์ให้ ออกซิเจน เตรียมเครื่องมือ
เครื่องใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ยาฉุกเฉิน
การดูแลหลังผ่าตัดระยะหลังโดยทั่วไป :<3:
ระบบไหลเวียนเลือด
ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวหลังผ่าตัดโดยเร็ว กระตุ้นการออกกำลังแขนขา กระตุ้นการทำกิจวัตรประจำวัน ลุก นั่ง เดิน ไม่ควรให้ผู้ป่วยนั่งห้อยเท้านาน ๆ เพราะจะทำให้เลือดคั่งที่ปลายเท้า
การฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังผ่าตัด
แนะนำให้ผู้ป่วยลุกจากเตียงให้เร็วที่สุด โดยทั่วไปถ้าไม่มีข้อห้ามผู้ป่วยจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นจึงให้เดินรอบ ๆเตียง
สอนให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆ และไอเป็นครั้งคราว ซึ่งจะช่วยให้ปอดขยาย ได้เต็มที่ พยาบาลต้องอธิบายวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติให้ผู้ป่วยรับทราบ และเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญและให้ความร่วมมือเพื่อดูแลตนเอง
ระบบทางเดินหายใจ
พบบ่อยคือ หลอดลมอักเสบ ปอดแฟบ (Atelectasis) การดูแล ป้องกันการสำลักน้ำ น้ำลาย อาเจียน เข้าไปในปอด พลิกตัวผู้ป่วยบ่อยๆ ให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว หรือลุกจากเตียงให้เร็วที่สุด ให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆ และไอ
วิธีการสอนให้ผู้ป่วยฝึกการหายใจ
:<3:
จัดท่านอนหงายศีรษะสูง
วางมือบนหน้าอกส่วนล่าง แล้วให้กำมือหลวมๆ ให้เล็บมือสัมผัสกับหน้าอก เพื่อจะได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปอด
ให้ผู้ป่วยค่อยๆหายใจออกยาวๆให้เต็มที่ กระดูกซี่โครงจะลดต่ำลง
ให้หายใจยาวๆลึกๆ ทั้งทางจมูกและปาก เพื่อปอดจะขยายได้เต็มที่ กลั้นหายใจไว้ ให้ผู้ป่วยนับ 1-5 แล้วจึงค่อยปล่อยลมหายใจออกทั้งทางจมูกและปาก
ทำซ้ำประมาณ 15 ครั้ง ในขณะที่ฝึกให้พักเป็นช่วง ๆ เป็นระยะ ๆ หลังจากที่ฝึกหายใจ 5 ครั้งติดต่อกัน ให้ฝึกวันละ 2 ครั้งก่อนผ่าตัด
วิธีการสอนให้ผู้ป่วยฝึกการไอ :<3:
ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย
ให้ผู้ป่วยประสานมือทั้ง 2 ข้าง และกดเบาๆ เหนือบริเวณที่คาดว่าจะมีแผลผ่าตัด ทั้งนี้เพื่อช่วยทำให้แผลอยู่นิ่งระหว่างการไอ เพื่อลดอาการเจ็บขณะที่ไอ
ให้ผู้ป่วยหายใจเข้า ออก ตามวิธีที่ฝึกข้างต้นก่อน
ให้หายใจเข้าเต็มที่ อ้าปากเล็กน้อย
ให้ผู้ป่วยไอ 3-4 ครั้ง
ให้ผู้ป่วยอ้าปาก หายใจลึกๆ และไอแรงๆ อย่างเร็ว 1-2 ครั้ง เสมหะที่มีอยู่ในปอดออกมาได้
:red_flag:ปัญหาทางการพยาบาลที่พบบ่อยในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ปัญหาที่ 3 ระบบประสาท :<3:
ปัญหาที่ 4 ความสมดุลของสารน้ำและอิเลคโตรลัยด์ :<3:
ปัญหาที่ 2 ระบบหัวใจและหลอดเลือด :<3:
ปัญหาที่ 1 ระบบทางเดินหายใจ ภาวะขาดออกซิเจนเป็นปัญหาที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุและเป็นสาเหตุที่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งเกิดจาก :<3:
ปัญหาที่ 5 ระบบทางเดินอาหาร :<3:
ปัญหาที่ 6 ระบบทางเดินปัสสาวะ :<3:
ปัญหาที่ 8 ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด/และการสอดใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก :<3:
ปัญหาที่ 7 ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อที่แผลผ่าตัดเนื่องจากผิวหนังถูกทำลาย :<3:
ปัญหาที่ 9 มีโอกาสเกิดภาวะอุณหภูมิกายต่ำ :<3: