Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Hard palate carcinoma stage IV, อ้างอิง, knowledge_20111118101313, unnamed…

- - - - ทำให้ฟันผุเกิดการอักเสบเป็นแผล
    - - กัดเยื่อบุในปากเกิดแผล
    - - ทำให้ระคายเคืองเยื่อบุช่องปาก
    - - ทำให้เยื่อบุช่องปากหนาเป็นฝ้าขาว
  - - - 1) เป็นเนื้อที่หนาขึ้น (Exophytic)
      - 2) เป็นแผลที่มีเลือดออกได้ง่าย (Ulceration)
      - 3) เป็นแผลตื้นและขยายเข้าไปใต้ชั้นกล้ามเนื้อของช่องปากและคอ (Infiltration)
      - 4) เป็นเหมือนหูด นูนขึ้นแต่ไม่ลุกลามหรือกระจายไปที่อื่น (Verrucous)
- - - - Pain score น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 คะแนน
    - - ประเมินความปวดโดยใช้แบบประเมินระดับความรุนแรงโดยให้ค่าคะแนน (Numerical rating scales; NRS)
      - จัดการกับความเจ็บปวดโดยไม่ใช้ยา เบี่ยงเบนความสนใจโดยการพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน, สูดหายใจเข้าออกลึกๆ, ฟังเพลง เพื่อลดความปวด
      - ประเมินวัดสัญญาณชีพ ก่อนให้ยา Morphine เพื่อประเมินการกดการหายใจเปรียบเทียบหลังจากให้ยา Morphine แล้ว
      - จัดการความเจ็บปวดโดยใช้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์โดยใช้ Morphine 10 mg รับประทาน ทุก 8 ชั่วโมง (06.00น., 14.00น., 22.00น.) และ Morphine syrup รับประทาน 1 ช้อนชา ทุก 2 ชั่วโมงเมื่อมีอาการปวด เพื่อบรรเทาความปวด
      - ประเมินวัดสัญญาณชีพ หลังให้ยา Morphine ทุก 15 นาทีเป็นเวลา 1 ชั่วโมงและหลังจากนั้นทุก 1 ชั่วโมง 2 ครั้ง เพื่อประเมินการกดการหายใจ
      - สังเกตุผลข้างเคียงของยา Morphine ได้แก่ ท้องผูก, มึนงง, ระงับประสาท, คลื่นไส้/อาเจียน, ซึม และเคลิ้มฝัน ถ้า overdose ผู้ป่วยจะมีอาการง่วงซึม ปลุกไม่ตื่น, หายใจช้า, Shock, หัวใจหยุดเต้น เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
      - 5.1. รายงานแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการต่อไปนี้ เพื่อเฝ้าระวังการกดการหายใจและให้ปลอดภัยจากผลข้างเคียงของยา
        
        pupil < 2 min
        
        ให้ยาแล้ว 1 ชั่วโมงยังไม่ทุเลาอาการปวด
        
        RR < 12 ครั้ง/นาที
        
        BP < 90/60 mmHg
        
        PR < 60 ครั้ง/นาที
      - ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Gabapentin 300 mg รับประทานก่อนนอน เพื่อลดปวดรักษาปลายประสาทอักเสบ
      - สังเกตุผลข้างเคียงของยา Gabapentin ได้เเก่ รู้สึกมึนงง, มีการกรอกตาที่ผิดปกติ, ตาพร่ามัว, เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว, วิตกกังวล, ซึมเศร้า เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
      - ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Senokot 2 เม็ด รับประทานก่อนนอน เพื่อกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและป้องกันอาการท้องผูกจากการได้รับยา Morphine
      - สังเกตุผลข้างเคียงของยา Senokot ได้เเก่ คลื่นไส้, อาเจียน, อ่อนเพลีย, ปวดท้อง, ท้องเสียรุนแรง เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
    - - การส่งสัญญาณประสาทความปวดจะส่งผ่านไปตามเส้นใยประสาท 2 ชนิด
        
        เอเดลต้า (A delta fibers: A)
        
        ขนาดใหญ่และมีปลอกไมอิลินหุ้ม
        
        ทําให้ความปวดเกิดอย่างรวดเร็ว (fast pain)
        
        พบบริเวณผิวหนังและกล้ามเนื้อ
        
        ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดจี๊ด (sharp pain) ปวดแปล๊บ และสามารถบอกตําแหน่งที่เจ็บได้ชัดเจน
        
        ใยประสาทซี (C fibers)
        
        ขนาดเล็กและไม่มีปลอกไมอีลินหุ้ม
        
        ทําให้รับรู้ความปวดช้า (slow pain)
        
        พบในกล้ามเนื้ออวัยวะภายใน และเยื่อหุ้มกระดูก
        
        รับความปวดจากตัวกระตุ้นจากอุณหภูมิ สารเคมี
        
        1 more item...
        
        ซึ่งผู้ป่วยรายนี้มีประวัติความปวดเป็นลักษณะการเจ็บปวดแบบของแหลมแทง เจ็บจี๊ด เจ็บตลอดเวลา
        
        เกิดจากใยประสาทเอที่มีขนาดใหญ่และมีปลอกไมอิลินหุ้ม
        
        จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดจี๊ด (sharp pain) ปวดแปล๊บ โดยสามารถบอกตําแหน่งที่เจ็บได้ชัดเจน
        
        เกิดจากก้อนมะเร็งไปกดทับ หรือการแพร่กระจายเข้าไปในเส้นประสาท
        
        จึงทำให้ผู้ป่วยเหมือนเข็มแทง และเจ็บตลอดเวลา
      - การรับรู้ความปวดเเตกต่างกันตามประสบการณ์ส่วนบุคคล
        
        ความอดทนต่อความปวด (pain tolerance)
        
        จุดสูงสุดของความสามารถทนทานต่อความปวด
        
        ระดับกั้นความปวด (pain threshold)
        
        ระดับต่ำสุดที่รับรู้ต่อการกระตุ้นความปวด
        
        อาการปวดจากโรคมะเร็ง
        
        แบ่งตามพยาธิสภาพ ออกเป็น 2 ชนิด
        
        อาการปวดจากเส้นประสาท (neuropathic pain)
        
        เกิดจากก้อนมะเร็งไปทําลายระบบประสาท
        
        ก้อนมะเร็งไปกดทับเส้นประสาท
        
        มะเร็งการแพร่กระจายเข้าไปในเส้นประสาท
        
        ลักษณะการปวด จะเป็นแบบ dysesthesia allodynia หรือ hyperalgesia โดยมีลักษณะการปวดเหมือนไฟลวก เข็มแทงหรือไฟฟ้าช็อต เป็นต้น
        
        อาการปวดจากการบาดเจ็บ (nociceptive pain)
        
        เกิดจากการกระตุ้นตัวรับความรู้สึกปวด (nociceptor)
        
        ที่
        
        2 more items...
        
        เกิดจากการทําลายของเนื้อเยื่อจากมะเร็ง
        
        ปวดร้าว (aching)
        
        สามารถบอกตําแหน่งได้ชัดเจน
        
        ปวดจะเป็นแบบตื้อ (dult)
        
        ตุ๊บๆ (throbbing)
    - - ไม่มีความเจ็บปวดหรือความเจ็บปวดลดลง
    - - S:
        
        ซักประวัติการปวดเพิ่มเติม ผู้ป่วยบอกว่ามีลักษณะการเจ็บปวดแบบของ แหลมแทง เจ็บจี๊ด ๆ เจ็บตลอดเวลา
      - O:
        
        Pain score 7 คะแนน
  - - - ไม่มีภาวะซีดหรือซีดลดลง
    - - Hb ค่าปกติ M13 - 18 gm% F12 - 16 gm%
      - Hct ค่าปกติ M40 – 50 %, F37 - 47 %
      - ไม่มีหรือลดอาการและอาการแสดงภาวะซีด ได้แก่ อาการง่วงซึม อ่อนเพลีย ซีดตามปลายมือปลายเท้า เล็บซีด ผิวหนังซีด เยื่อบุตาซีด
    - - ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
        
        ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สําคัญของฮีโมโกลบิน (Hb) ในเม็ดเลือดแดง
        
        ขาดธาตุเหล็กก็จะมีผลทําให้เม็ดเลือดแดงขาดความสมบูรณ์
      - ธาตุเหล็ก
        
        ถูกขับออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ
        
        ดูดซึมได้ดีในกระเพาะอาหาร ลําไส้เล็กส่วนต้นและส่วนกลาง
      - ปริมาณการสูญเสียธาตุเหล็กในแต่ละวันมากกว่าปริมาณที่รับเข้าในร่างกาย
        
        ทำให้
        
        เกิดภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
      - ผู้ป่วยรายนี้มีภาวะซีด
        
        ขาดธาตุเหล็กจากการรับประทานอาหารได้น้อย
        
        มีพยาธิสภาพที่เพดานแข็งปากอีกทั้งมีอาการปวด
        
        ลำบากต่อการเคี้ยวและกลืนจึงทำให้รับประทานอาหารได้น้อย
        
        ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ
        
        เกิดภาวะซีด
        
        2 more items...
        
        มีการสูญเสียเลือด
        
        เลือดซึมที่เพดานแข็งที่ช่องปาก
      - การสูญเสียเลือด
        
        ผู้ป่วยมีภาวะซีด
        
        เม็ดเลือดแดงลดลง
    - - ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ ferrous sulfate 1เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร เพื่อป้องกันและรักษาภาวะเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก
      - สังเกตผลข้างเคียงของยา ferrous sulfate ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเกร็งท้อง ท้องผูก ท้องเสียเพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
      - สังเกตุอาการแพ้เลือดของผู้ป่วย ได้แก่ เช่น หนาวสั่น ปวดหลัง มีผื่น ปวดหัว มีไข้ หายใจลำบาก มีอาการเขียว เพื่อเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังจากให้เลือด
      - ให้ผู้ป่วยพักผ่อนลดกิจกรรมเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
      - ดูแลการให้เลือด LPRC 2 unit เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของเลือด
      - ช่วยผู้ป่วยทำกิจกรรมช้าๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
      - ประเมินภาวะซีดและภาวะพร่องออกซิเจนของผู้ป่วย ได้แก่ อ่อนเพลีย เยื่อบุตาซีด ริมฝีปากซีด เล็บซีด ง่วงซึม สับสน
      - ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินภาวะซีด
      - แนะนำเเละกระตุ้นให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ ไข่เเดง ตับ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว เพื่อเพิ่มธาตุเหล็กในร่างกายและรักษาภาวะซีด
    - - S: -
      - O:
        
        Hb 7.6 gm%
        
        มีเลือดออกซึมตลอดที่แผลเพดานแข็งในช่องปาก
        
        Hct 23 %
  - - - เพื่อให้อิเล็กโตรไลต์ในร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ
    - - Sodium ค่าปกติ 136 - 145 mmol/L
      - Chloride ค่าปกติ 98 - 107 mmol/L
      - Potassium ค่าปกติ 3.5 - 4.5 mmol/L
    - - Electrolyte
        
        มีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย
        
        โดยมีค่าปกติ
        
        K มีค่าปกติ 3.5 – 4.5 mmol/L
        
        Cl มีค่าปกติ 98 – 107 mmol/L
        
        Mg มีค่าปกติ 1.6 – 2.6 mg/dl
        
        Ca มีค่าปกติ 9.0 – 11.0 mg/dl
        
        Na มีค่าปกติ 136 – 145 mg/dl
        
        ช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
      - Electrolyte Imbalance
        
        เป็นภาวะที่อิเล็กโทรไลต์ใน
        ร่างกายไม่สมดุล
        
        เกิดอาการ
        
        หัวใจเต้นผิดปกติ
        
        เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
        
        เวียนศีรษะ มึนงง
        
        กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว ชัก
        
        เกิดจากปริมาณของอิเล็กโทรไลต์ที่มากหรือน้อยจนเกินไป
        
        ได้เเก่
        
        ภาวะโซเดียมในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ
        
        ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ
        
        ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ
        
        ภาวะแมกนีเซียมในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ
        
        ภาวะคลอไรด์ในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ
        
        เกิดได้จากหลายสาเหตุ
        
        กลุ่มโรคการกินผิดปกติ
        
        ภาวะตับแข็ง หัวใจวาย
        
        โรคมะเร็ง โรคไต โรคเบาหวาน โรคพิษสุรา
        
        การใช้ยาขับปัสสาวะ
        
        อาเจียน
        
        ยาปฏิชีวนะ หรือยาเคมีบำบัด
        
        แผลไหม้อย่างรุนแรง
        
        รับประทานอาหารไม่เพียงพอ
        
        การใช้ยาระบาย ท้องร่วง
        
        กลุ่มโรคการกินผิดปกติ
      - ซึ่งผู้ป่วยรายนี้มี มีภาวะเกลือเเร่ในร่างกายไม่สมดุล
        
        จากการรับประทานอาหารน้อย
        
        ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และมีภาวะเกลือเเร่ในร่างกายไม่สมดุล
        
        ส่งผลเกิด
        
        Potassium ต่ำ มีค่า 2.9 mmol/L
        
        Sodium 119 mmol/L
        
        Chloride ต่ำ มีค่า 83.4 mmol/L
        
        ผู้ป่วยมีพยาธิสภาพที่เพดานเเข็ง มักอาการปวดทำให้เคี้ยวและกลืนลำบาก
        
        มีการใช้ยาระบาย Senokot
        
        อาจทำให้ท้องเสียสูญเสียอิเล็กโทรไลต์ออกจากร่างกาย
        
        Potassium ต่ำ มีค่า 2.9 mmol/L
        
        Sodium 119 mmol/L
        
        Chloride ต่ำ มีค่า 83.4 mmol/L
    - - สังเกตผลข้างเคียงของ KCL ได้แก่ คลื่นไส้ หัวใจเต้นช้าหรือเต้นผิดจังหวะ อ่อนเพลีย เคลื่อนไหวร่างกายลำบากเพื่อเฝ้าระวังภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหัวใจเต้นผิดปกติ
      - แนะนำและกระตุ้นให้รับประทานอาหารที่มีเลือโซเดียม ได้เเก่ เกลือเเร่ ไข่เค็ม ปลาเค็ม หมูหยอง หรือเติมเกลือในอาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อให้ร่างกายมีความสมดุลของโซเดียมมากขึ้น โดยให้รับประทานครั้งละน้อยๆ เเต่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้อาเจียน
      - วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหัวใจเต้นผิดปกติ
      - แนะนำและกระตุ้นให้รับประทานอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง ได้แก่ ส้ม กล้วย น้ำมะเขือเทศ ถั่ว ปลา เพื่อให้ร่างกายมีความสมดุลของโซเดียมมากขึ้น
      - ดูแลให้ได้รับสารน้ำและอิเล็กโตรไลต์ทดเเทนตามเเผนการรักษาของเเพทย์ คือ 0.9 % Normal saline + KCL 40 mEq/L ทางหลอดเลือดดำ หยดในอัตรา 100 มิลลิลิตร/ชั่วโมง เพื่อรักษาโซเดียม, คลอไรด์ต่ำและโพเเทสเซียมต่ำ
      - ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ Potassium, Sodium และ Chloride เพื่อประเมินความสมดุลของภาวะเกลือเเร่ในร่างกาย
      - ประเมินอาการเเละอาการเเสดงของโพเเทสเซียมต่ำ ได้เเก่ กล้ามเนื้ออ่อนเเรง อ่อนเพลีย เป็นตะคริว ท้องผูก หัวใจเต้นผิดปกติ เพื่อเฝ้าระวังโพเเทสเซียมต่ำ
      - ประเมินอาการเเละอาการเเสดงของโซเดียมและคลอไรด์ต่ำ ได้เเก่ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ มึนงง เพื่อเฝ้าระวังโซเดียมและคลอไรด์ต่ำ
      - บันทึกสารน้ำเข้า - ออก และบันทึกลักษณะ ปริมาณปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะโซเดียมต่ำและร่างกายขาดน้ำ
    - - S : -
      - O :
        
        Sodium 119 mmol/L
        
        Chloride 83.4 mmol/L
        
        Potassium 2.9 mmol/L
  - - - ไม่มีภาวะติดเชื้อหรือภาวะติดเชื้อลดลง
    - - Neutrophil ค่าปกติ 40 - 70 %
      - Lynphocyte ค่าปกติ 20 - 50 %
      - WBC ค่าปกติ 5,000 – 10,000 cell/mm3
      - T = 36.5 - 37.4 องศาเซลเซียส
    - - ผิวหนังและเยื่อบุต่างๆเป็นด่านเเรกในป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหรือเเบคทีเรียจากภายนอกเข้าไปในร่างกาย
        
        มีกลไกที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมในเเต่ละเเห่งในร่างกาย
        
        ในผู้ป่วยมะเร็งกลไกการป้องกันเสียหายจากการเป็นโรคมะเร็งเองโดยมีแผลหรือการบาดเจ็บเยื่อบุของเยื่อบุต่างๆ
        
        เเบคทีเรียเเทรกซึมเข้ามาทางแผลนั้นจึงการติดเชื้อและเเพร่กระจายไปทั่วร่างกายในเวลาต่อมา
        
        การหลั่งกรดและเอ็นไซม์ต่างๆ ในทางเดินอาหาร
        
        มีกรดไขมันและการหลั่งอิมมูโนโกลบูลินออกมาจากเซลล์บุผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ
        
        มีขนเเละการขับเมือกออกมาทางเดินหายใจ
      - เม็ดเลือดขาวชนิดเเกรนูโลชัยต์ โมโนชัยต์เเละมาโครฟาจ
        
        ต่อสู้แบคทีเรีย/เชื้อราที่เข้ามาในร่างกาย
        
        โดยมี
        
        Neutrophil มีค่าปกติ 40 - 70 %
        
        กําจัดจุลชีพหรือสิ่งแปลกปลอม
        
        Phagocytosisโดยการปล่อยน้ำย่อยต่างๆ ไปย่อยสิ่งแปลกปลอม
        
        Lymphocyte มีค่าปกติ 20 - 50 %
        
        เป็นเม็ดเลือดขาวในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อต้านเชื้อโรค
        
        สร้างแอนติบอดี้ที่มีความจำเพาะต่อเเอนติเจนที่มากระตุ้นร่างกาย
        
        WBC มีค่าปกติ 5,000 - 10,000 cell/mm3
        
        เป็นด่านแรกในการทําลายจุลชีพ โดยจะทําลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
      - ผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อ
        
        ทางที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
        
        แผลมะเร็งที่เพดานเเข็ง
        
        มีไข้เป็นอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ
        
        T = 38.7 องศาเซลเซียส
        
        ร่างกายมีภาวะติดเชื้อ
        
        Neutrophil 75.3 %
        
        Lymphocyte 17.2 %
        
        WBC 13,200 cell/mm3
    - - ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Ciprofloxacin 1 g IV q 6 hr และ Ciprofloxacin 500 mg รับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหารเพื่อรักษาภาวะติดเชื้อติดเชื้อ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
      - ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Vitamin B complex 1 เม็ดวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร เพื่อป้องกันลิ้นอักเสบ ริ้มฝีปากอักเสบ ช่วยให้เจริญอาหาร
      - สังเกตผลข้างเคียงของยา Ciprofloxacin ได้แก่ ท้องเสีย เวียนหัว คลื่นไส้ แสบร้อนทรวงอก นอนไม่หลับเพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
      - ประเมินวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังและติดตามภาวะติดเชื้อ
      - ช่วยผู้ป่วยดูแลทำความสะอาดช่องปากโดยใช้แปรงขนอ่อนนุ่มหรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลือเพื่อให้ปากสะอาดและลดการติดเชื้อ
      - ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ หายใจเร็ว เหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย เนื่องจากการติดเชื้อในช่องปาก เสี่ยงลุกลามลำคอ หลอดลม ปอด โดยติดตาม O2 sat เพื่อเฝ้าระวังภาวะพร่องออกซิเจน
      - จัดสิ่งแวดล้อมให้โล่งสะอาดเพื่อให้อากาศถ่ายเท ลดการติดเชื้อให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก
      - ประเมินภาวะติดเชื้อที่ช่องปากโดยเฉพาะเพดานเเข็ง ได้แก่ อาการบวม มีตุ่ม ก้อนเนื้อ หรือมีแผลเกิดขึ้น มีคราบสีขาวที่ลิ้น ภายในช่องปากแดง หรือเป็นแผล สิ่งคัดหลั่งซึม เช่น เลือดซึม มีกลิ่นเหม็น
      - ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินภาวะติดเชื้อ
      - สังเกตผลข้างเคียงของ Vitamin B complex โดยเกิดผลข้างเคียงน้อย อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย รู้สึกวูบวาบได้เล็กน้อยเพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
    - - S: -
      - O:
        
        Neutrophil 75.3 %
        
        Lymphocyte 17.2 %
        
        WBC 13,200 cell/mm3
        
        มีไข้ T = 38.7 องศาเซลเซียส
        
        Dx. Hard palate carcinoma stage IV
  - - - S : -
      - O :
        
        ประเมินระดับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง PPS = 50 %
        
        ช่วยเหลือตนเองได้น้อย ต้องการความช่วยเหลือ นั่งหรือนอนเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถทำงานได้ มีการลุกลามของโรค การทำกิจวัตรและการรับประทานอาหารประจำวันปกติหรือลดลง และระดับความรู้สึกตัวผู้ป่วยรู้สึกตัวดีหรืออาจสับสน
    - - ได้รับการตอบสนองกิจวัตรประจำวัน
    - - แนะนำและกระตุ้นทำ Active exercise เพื่อช่วยยืดกล้ามเนื้อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวมากขึ้น
      - ดูแลทำความสะอาดช่องปากเพื่อให้ช่องปากสะอาดและไม่มีกลิ่นเหม็น
      - ดูแลความสะอาดร่างกายโดย Partial bed bath เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายและร่างกายสะอาด
      - ดูแลให้ได้รับประทานอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
      - ประเมินระดับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง PPS
      - ุ6. ดูแลให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนไม่มีเสียงรบกวนเพื่อให้ร่างกายพักผ่อนอย่างเพียงพอ
      - จัดสิ่งเเวดล้อมข้างเตียงให้สะอาดและเป็นระเบียบเพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วย
    - - ช่องปากสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
      - ได้รับอาหารและน้ำเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
      - ร่างกายสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
      - ไม่มีกลิ่นเหม็นจากปัสสาวะอุจจาระ
    - - กิจวัตรประจําวัน คือ กิจกรรมปกติที่แต่ละบุคคลจะต้องทำเป็นประจำในการดูแลตนเอง
        
        ได้แก่
        
        การแต่งกาย
        
        การรับประทานอาหาร
        
        การอาบน้ำ
        
        การดูแลทำความสะอาดร่างกายของตนเอง
      - ซึ่งผู้ป่วยรายนี้มีความพร่องกิจวัตรประจำวัน
        
        ช่วยเหลือตนเองได้น้อย
        
        ประเมินระดับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง PPS = 50 %
        
        หมายถึง
        
        ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหว
        
        นั่ง หรือ นอน เป็นส่วนใหญ่
        
        การปฏิบัติกิจกรรมและการดำเนินโรค
        
        ไม่สามารถทำงานได้เลยและมีการลุกลามของโรค
        
        การทำกิจวัตรประจำวัน
        
        ต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น
        
        การรับประทานอาหาร
        
        ปกติหรือลดลง
        
        ระดับความรู้สึกตัว
        
        รู้สึกตัวดีหรือสับสน