การพยาบาล
ผู้ป่วยศัลยกรรม
การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด
พยาบาลมีบทบาทหน้าที่
- อธิบาย ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพียงพอ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความคุ้นเคยกับพยาบาล อบอุ่นใจ ไว้วางใจ เชื่อมั่นในทีมที่จะให้การรักษา
- ให้ญาติมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญ
การเตรียมผู้ป่วยด้านจิตใจก่อนการผ่าตัด
- การเตรียมผู้ป่วยด้านจิตใจจะต้องมีระยะเวลานานพอจึงจะทราบความคิด
ทัศนคติ ความกังวลใจ ผู้ป่วยบางคนอาจวิตกกังวลเกินความเป็นจริง - การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความคุ้นเคย
อบอุ่นใจ ไว้วางใจ และเชื่อมั่นในทีมที่จะให้การรักษา - นอกจากนั้นยังต้องให้ญาติมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่ผู้ป่วย
จะต้องเผชิญ
การเตรียมผู้ป่วยด้านร่างกายก่อนการผ่าตัด
- การเตรียมด้านร่างกาย ได้เเก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ ความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับน้ำ
และอาหารที่พอเหมาะ ภาวะสารน้ำและอิเลคโตรลัยด์ สารน้ำและอิเลคโตรลัยด์ การพักผ่อนและการออกกำลังกาย คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ - การเตรียมร่างกายอื่นๆ ได้เเก่ อาหารและน้ำดื่ม โดยทั่วไปวิธีการผ่าตัดโดยทำให้หมดความรู้สึกโดยการดมยาสลบกระเพาะอาหารจะต้องว่าง เพื่อป้องกันการอาเจียนแล้วสำลักเศษอาหารเข้าในปอดขณะดมยา ดังนั้นจึงต้องงดอาหารก่อนผ่าตัด อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- การขับถ่าย การเตรียมระบบขับถ่ายปัสสาวะ และทางเดินอาหารโดยเฉพาะลำไส้ เพื่อให้ลำไส้สะอาด ป้องกันไม่ให้อุจจาระไหลออกมาขณะผ่าตัดเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดคลายตัวในขณะดมยาสลบ อาจทำให้
เกิดการติดเชื้อของแผล - การเตรียมผิวหนัง เนื่องจากผิวหนังเป็นแหล่งที่มีเชื้อจุลินทรีย์มาก ดังนั้น
จึงต้องมีการเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัดให้สะอาดและลดจำนวนจุลินทรีย์ การเตรียมผิวหนังควรเตรียมใกล้เวลาผ่าตัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการเจริญเติบโตใหม่ของเชื้อโรค และการงอกของขน
การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
- โดยทั่วไปให้ผู้ป่วยนอนรถเข็นนอน (Stretcher) ถ้าจำเป็นไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย ก็ให้นอนบนเตียง ห่มผ้าให้เรียบร้อย
เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและปลอดภัย ดึงเหล็กกั้นเตียงขึ้น เข็นรถ
ด้วยความนุ่มนวล ระมัดระวัง อย่าเข็นเร็ว เกินไปผู้ป่วยอาจเวียนศีรษะ อาเจียนได้ ควรมีพยาบาลหรือคนที่ผู้ป่วยคุ้นเคยตามไปห้องผ่าตัดด้วย
ควรอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลาจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดมารับ
เข้าห้องผ่าตัด เพราะการอยู่คนเดียวในที่แปลกๆอาจทำให้ผู้ป่วยกลัว
การพยาบาลระยะผ่าตัด
ยาระงับความรู้สึก
- ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย (General anesthesia)
- ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ (Regional or Local anesthesia )
การให้ยาก่อนระงับความรู้สึก
- แพทย์ หรือ แพทย์วิสัญญีเป็นผู้พิจารณาให้
ขึ้นกับผู้ป่วย เพศ อายุสภาพร่างกายและจิตใจ - มักจะให้ล่วงหน้าในคืนก่อนผ่าตัด มีทั้งยาฉีดและ
ยารับประทาน ให้เพื่อ ลดความกลัว ความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด ลดน้ำหลั่งจากต่อมน้ำลาย เยื่อเมือก
ปาก คอ ป้องกัน reflex ต่างๆ ที่เป็นอันตรายในระหว่างผ่าตัด ช่วยเสริมฤทธิ์ยาดมสลบ ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
การให้ยาระงับความรู้สึก
- ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย (General anesthesia) ทำให้ผู้ป่วยหมดสติไม่รู้สึกตัว
- ข้อเสีย คือ กดการหายใจ กดการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด อาจมีเสมหะ และน้ำลายมาก ต้องระวังการ
อุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ
- โดยการสูดดมเอาแก๊ส หรือของเหลวระเหยเร็ว
โดยเริ่มจากการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำก่อนเพื่อ
ให้หมดความรู้สึกจากนั้นจึงดม ยาสลบทางหน้ากาก
(mask) หรือท่อหลอดลมคอ (endotracheal tube) - โดยการฉีดเข้าทางหลดเลือดดำ
ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่
- การฉีดพ่นบนผิวหนัง (Local anesthesia) เป็นการฉีดยาชาลงบริเวณ
ที่จะทำผ่าตัด ใช้ในการผ่าตัดเล็กๆเช่น ฉีดยาชาเพื่อถอนฟัน - การ หยอด ทา พ่น ยาชาลงเฉพาะที่ (Topical anesthesia) บริเวณ
เยื่อเมือก ยาที่พ่นจะมีความเย็นสามารถลดความเจ็บปวดได้ใช้ใน
การผ่าฝี ใช้ในการตรวจตา ทวารหนัก ช่องคลอด - การฉีดบริเวณรอบๆ กลุ่มประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณที่จะทำผ่าตัด
เช่น การผ่าตัดบริเวณลำคอ ต่อมไทรอยด์ ใช้วิธี Cervical plexus block - การฉีดเข้าไปที่ไขสันหลัง บริเวณกระดูกสันหลังตอนเอวระหว่าง
ท่อนที่ 3-4 มีผลให้ตั้งแต่กระบังลมลงมาหมดความรู้สึก ใช้กับการผ่าตัด
ที่เกี่ยวกับอวัยวะใต้กระบังลมลงไป เช่น ผ่าตัดมดลูก ผ่าตัดไส้ติ่ง - การฉีดเข้าเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอกทำให้หมดความรู้สึกบริเวณลำตัว
ถึงปลายเท้า ต่ำกว่าระดับที่ฉีดยาชาลงมา
การพยาบาลผู้ป่วยหลังได้รับยาชาทางไขสันหลัง
1.Epidural ให้ผู้ป่วยนอนราบ 4-6 ชั่วโมง
2.spinal ให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-12 ชั่วโมง
3.หนุนหมอนได้ แต่ห้ามลุกนั่ง
- ผู้ป่วยควรได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตลอดเวลาอย่าง
น้อย 4 ชั่วโมงหลังผ่าตัด - ป้องกันอันตรายจากกระเป๋าน้ำร้อน การประคบร้อน เย็น
- ผู้ป่วยอาจมีคลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากการมีความดันโลหิต
ต่ำลงจากฤทธิ์ยาที่ใช้
ระยะผ่าตัด
1.การดูแลหลังผ่าตัดในระยะ 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด พยาบาลจะต้องประเมินอาการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทราบอาการต่างๆ หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะถูกนำมายังห้องพักฟื้น เพื่อประเมินอาการหลังผ่าตัด เมื่ออาการดีขึ้นจึงจะนำไปส่งยังหอผู้ป่วย
การพยาบาลระยะหลังผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดระยะแรก
- บันทึกเวลาที่รับผู้ป่วยไว้
- ทางเดินหายใจโล่งสะดวกหรือไม่ มีท่อช่วยหายใจชนิดใดอยู่
- ระดับความรู้สึกตัว
- สัญญาณชีพ
- ผิวหนัง สีเล็บ ริมฝีปาก
- ลักษณะของผิวหนัง เช่น ชื้น แห้ง อุ่นหรือเย็น
- ปฏิกิริยาโต้ตอบ การกระพริบตา การไอ การกลืน
- การให้ออกซิเจนตามความต้องการของผู้ป่วย ชนิด และการไหลของออกซิเจน
- การขับถ่ายปัสสาวะได้เอง หรือมีสายสวน
การดูแลหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงขึ้นไป
- อาการแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ
ที่พบบ่อยคือ หลอดลมอักเสบปอดแฟบ - อาการแทรกซ้อนในระบบไหลเวียนเลือด อาจพบได้ เช่นหลอดเลือดดำอักเสบ
หลอดเลือดดำอุดตัน - อาการสะอึก มักพบในผู้ป่วยที่ทำผ่าตัดช่องท้อง ที่มีอาการท้องอืดการอาเจียนต่อเนื่อง
จะทำให้ระคายเคืองถึงเส้นประสาทเฟร็นนิค - แผลติดเชื้อ มักจะมีการอักเสบให้เห็นก่อนภายใน 36-48 ชั่วโมง แรกหลังการผ่าตัด
มีอาการ แดง ร้อน รอบๆแผลผ่าตัด - แผลแยก อาจพบในรายที่แผลมีการติดเชื้อ การเย็บแผลไม่แน่นพอ อ้วนมากรายที่ผ่าตัดหน้าท้อง
ระยะหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก
- พยาบาลจะต้องเตรียมสถานที่ เตียง สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ
- เตรียมเตียง ปูเตียงแบบอีเธอร์ เปลี่ยนผ้าปู ปลอกหมอน ปูผ้าขวางเตียง
- เตรียมเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็นเครื่องช่วยหายใจ เสาแขวนน้ำเกลือ เครื่องดูดเสมหะ อุปกรณ์ให้ออกซิเจน
การฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังผ่าตัด
- สอนให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆ และไอเป็นครั้งคราว
ซึ่งจะช่วยให้ปอดขยายได้เต็มที่ - จัดท่านอนหงายศีรษะสูง
- วางมือบนหน้าอกส่วนล่าง แล้วให้กำมือหลวมๆ ให้เล็บมือสัมผัสกับหน้าอก
เพื่อจะได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปอด - ให้ผู้ป่วยค่อยๆหายใจออกยาวๆให้เต็มที่
- ให้หายใจยาวๆลึกๆ ทั้งทางจมูกและปาก
เพื่อปอดจะขยายได้เต็มที่ กลั้นหายใจไว้ ให้ผู้ป่วยนับ 1-5 แล้วจึงค่อยปล่อยลมหายใจออกทั้ง
ทางจมูกและปาก - ทำซ้ำประมาณ 15 ครั้ง
- วิธีการสอนให้ผู้ป่วยฝึกการไอ ให้ผู้ป่วยอยู่ใน
ท่านั่งเอนไปข้างหน้าเล็กน้อยให้ผู้ป่วยประสานมือทั้ง 2 ข้าง และกดเบาๆ เหนือบริเวณที่คาดว่าจะ
มีแผลผ่าตัด ทั้งนี้เพื่อช่วยทำให้แผลอยู่นิ่งระหว่าง
การไอ ให้หายใจเข้าเต็มที่ อ้าปากเล็กน้อย
ให้ผู้ป่วยไอ 3-4 ครั้ง ให้ผู้ป่วยอ้าปาก
หายใจลึกๆ และไอแรงๆ อย่างเร็ว
1-2 ครั้ง เสมหะที่มีอยู่ในปอดออกมาได้
ปัญหาทางการพยาบาลที่พบ
บ่อยในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ระบบทางเดินหายใจ ภาวะขาดออกซิเจนเป็น
ปัญหาที่พบบ่อย
- การประเมินทางการพยาบาล 1.ประเมินความแรงของการหายใจ 2.สังเกตการเคลื่อนไหวของผนังทรวงอก ว่ามีการขยายเท่ากันทั้งสองข้างหรือไม่ 3.ฟังเสียงการหายใจว่าลดลงหรือเงียบหายไปหรือไม่ หรือมีเสียงดังผิดปกติ
- การพยาบาล ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- การประเมินทางการพยาบาล สัญญาณชีพ
ต้องวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที จนกว่าจะคงที่ใน
1-2 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด , สังเกตลักษณะของสีผิว
ความชุ่มชื้น อุณหภูมิ - ควรรายงานเมื่อมีอาการดังนี้ Systolic Blood pressure < 90 หรือ > 160 mmHg. , Pulse < 60 หรือ > 120 ครั้ง/นาที , จังหวะการเต้นของหัวใจ
ไม่สม่ำเสมอ - การพยาบาล ดูแลอย่างใกล้ชิดวัดสัญญาณชีพ , ดูแลให้ได้รับสารน้ำทดแทนให้เพียงพอตามแผน
การรักษา , สังเกตสี จำนวน สิ่งที่ระบายออกมา
รวมทั้งขอบท่อระบายว่ามีการซึมออกมารอบ ๆหรือไม่ , บันทึกและสังเกตอาการที่บ่งบอกว่าได้รับสารน้ำ
เกินความต้องการ
ระบบประสาท
- การประเมินทางการพยาบาล ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย
โดยเรียกชื่อ สัมผัส เขย่าตัว การใช้เสียง
การใช้ความเจ็บปวด - การพยาบาล สังเกตระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย , สังเกตการแสดงออก พฤติกรรมของผู้ป่วย , สังเกตกิจกรรมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ความสมดุลของสารน้ำและอิเลคโตรลัยด์ เช่น อาการบวม จากโซเดียมและน้ำคั่ง การขับถ่ายปัสสาวะลดลง ภาวะโปตัสเซียมในเลือดต่ำ - การพยาบาล ดูแลให้ได้รับสารน้ำทดแทนคามแผนการรักษา
ระบบทางเดินอาหาร - การพยาบาล จัดท่านอนให้เหมาะสมกับระดับความรู้สึกตัว
เพื่อป้องกันการสำลัก
ระบบทางเดินปัสสาวะ - การพยาบาล ประเมินความต้องการการขับถ่ายปัสสาวะ
ของผู้ป่วย , กรณีที่ผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะไว้แล้ว ควรมีปัสสาวะ
ออกไม่น้อยกว่า 30 cc. /ชั่วโมง
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อที่แผลผ่าตัด
เนื่องจากผิวหนังถูกทำลาย - การพยาบาล ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อที่
แผลผ่าตัด , ดูแลทำความสะอาดแผลให้ถูกต้องแห้งสะอาด และ
ดูแลท่อระบาย , ดูแลให้ได้รับยาต้านจุลชีพตามแผนการรักษา
ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด/และการสอดใส่ท่อ
ช่วยหายใจทางปาก - การพยาบาล ประเมินความปวดโดยใช้ Pain scale , ประเมินสัญญาณชีพ , ประเมินแผลผ่าตัดว่ามีเลือดออกมาก หรือมีก้อนเลือด
มีโอกาสเกิดภาวะอุณหภูมิกายต่ำ - ประเมินภาวะอุณหภูมิกายต่ำ ได้แก่ การมีอุณหภูมิกายต่ำกว่า 36 ◦c
ตัวเย็นขนลุก หนาวสั่น กล้ามเนื้อใบหน้า แขน
ขา เกร็งกระตุก กัดฟัน , อบอุ่นร่างกายของผู้ป่วย , เฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากอุณหภูมิกายต่ำ