Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยามารดาในระยะหลังคลอด - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยามารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงในทางลดลง (Retrogressive Change)
การกลับคืนสู่สภาพเดิมของอวัยวะ
มดลูก (Uterus)
หลังคลอด : ลดลงทันทีที่ทารกและรกคลอด
ภายหลังคลอดทันทีจะอยู่ระหว่างสะดือกับหัวเหน่าและมีน้้าหนักประมาณ1,000 กรัม
2 กระบวนการ
2.การขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูก
เกิดจากการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกซึ่งถูกควบคุมโดย Oxytocin
เส้นเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูกถูกบีบจำนวนเลือดมาเลี้ยงมดลูกลดลง
1.การย่อยสลายตัวเอง
H.Estrogen และ H.Progesterone ลดลงทำให้ภายหลังคลอดขนาดของเซลล์มดลูกจะลดลงไม่เท่าเดิม
1ชั่วโมงหลังคลอดมดลูกจะลอยตัวสูงขึ้นมาอยู่ระดับสะดือ
2 วันหลังคลอดมดลูกจะหดรัดตัวและลดขนาดลงวันละ ½ - 1 นิ้วหรือประมาณ 1 fingerbreadth
6 สัปดาห์หลังคลอดมดลูกจะมีน้้าหนักเท่ากับระยะก่อนตั้งครรภ์คือประมาณ 50 กรัม
Afterpains
มารดาครรภ์ที่ 2 ขึ้นไป
มารดาที่มีการยืดขนาดของมดลูกมาก
มารดาที่เลี้ยงบุตรด้วยนมตนเอง จะมีการหลั่ง H. Oxytocin
เยื่อบุมดลูก
Decidua basalis
เกิดกระบวนการ Exfoliation 6 Wk. ร่องรอยเดิมจึงจะหายสนิท
Decidual spongiosa
น้ำคาวปลาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
Lochia rubra ในระยะ 1 – 3 วันแรกหลังคลอด มีสีแดงเข้ม มีส่วนประกอบเป็นน้ำเลือด เยื่อบุมดลูก เมือกไข ขนอ่อน และขี้เทาทารก
Lochia serosa ในระยะ 4 – 9 วันหลังคลอด มีสีแดงจางๆหรือสีชมพู จนเป็นสีน้ำตาลมีส่วนประกอบเป็นWBC เยื่อบุมดลูก เมือกRBC และแบคทีเรีย
Lochia alba ในวันที่ 10 - 14 วัน มีสีเหลืองจางๆหรือสีขาวมีส่วนประกอบเป็นWBCเยื่อบุมดลูก เมือก และแบคทีเรีย
ช่องคลอด(Vagina)
รอยย่น (Rugae)
H.Estrogen น้อยลงจากการลดลงของและเริ่มสร้างใหม่ ในสัปดาห์ที่ 3
เยื่อพรหมจารีย์ (Hymen)
จะขาดกะรุ่งกะริ่งเป็นติ่งเนื้อเล็กๆเรียกว่า Carunculae myrtiformes
ปากมดลูก (Cervix)
Internal os
บอบช้ำ มีการฉีกขาด 1 Wk.
ปากมดลูกจะหดรัดตัวเกิดเป็นช่องทางปากมดลูก Cervical canal ขึ้นใหม่
External os
จะไม่กลมเหมือนระยะก่อนคลอดแต่จะเหมือนรอยตะเข็บ/รอยแยก (Silt like or Stellate or Star-shaped)
ฝีเย็บ (Perineum)
จะมีอาการปวดบริเวณฝีเย็บ
บวมและอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนังจากการที่หลอดเลือดฝอยฉีกขาด
Labia minora และ labia majera เหี่ยวและอ่อนนุ่มมากขึ้น
มารดาที่ได้รับการตัดฝีเย็บและได้รับการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
procidentia uteri
อวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อนลงไปในช่องทางคลอด
rectocele
ลำไส้ตรงหย่อน
Cystocele
กระเพาะปัสสาวะหย่อน
การเปลี่ยนแปลงในทางสร้างเสริม
การมีประจำเดือน
มารดาที่ไม่ได้เลี้ยงทารก
มีประจำเดือนใหม่ภายใน 7 – 9 wk.หลังคลอด
มารดาที่เลี้ยงทารกด้วยนมตนเอง
มีประจำเดือนใหม่ภายในเดือนที่ 9 wk.หลังคลอด
ทารกดูดนม
กระตุ้นHypothalamus
กดไม่ให้มีการหลั่งFSHและLH
ทำให้ไม่มีการตกไข่
ไม่มีประจำเดือน
การหลั่งน้ำนม (Lactation)
เต้านม
H.Estrogen
ทำให้หัวนม ลานนมขยายและมีสีเข้มขึ้น
ทำให้ต่อมไขมันบริเวณลานหัวนม หลอดน้ำเหลืองและหลอดเลือดขยายใหญ่ขึ้น ท่อน้ำนมเจริญเต็มที่
H.Progesterone
ทำให้ถุงผลิตน้ำนม (Alveoli) และเซลล์ผลิตน้ำนม(Acini cells) เจริญเต็มที่ เตรียมสร้างน้ำนม
หัวน้ำนม (colostrum)
2-3วันแรกหลังคลอด มีสีเหลืองข้นซึ่งเกิดจากสารเบตาแคโรทีนที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นวิตามินเอได้
น้ำนมแม่ (mature milk)
จะเริ่มประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดไปแล้วมีส่วนประกอบของน้ำมากถึงร้อยละ87
น้ำนมระยะปรับเปลี่ยน (transitional milk)
เป็นน้ำนมที่ออกมาในช่วงระหว่างหัวน้ำนมจนเป็นน้ำนมแม่ซึ่งระยะปรับเปลี่ยนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 – 10 หลังคลอดไปจนถึง 2สัปดาห์หลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ
ระบบผิวหนัง
H.Estrogen และ H.Progesterone ลดลง
ฝ้าบริเวณใบหน้า (Chloasma gravidarum) จะหายไป
เส้นกลางหน้าท้อง (Linea nigra) และรอยแตกของผิวหนังบริเวณผนังหน้าท้อง(Striae gravidarum) จะจางลงภายใน 6 wksหลังคลอด
เส้นผมร่วงเป็นหย่อมๆ(alopecia)ในช่วง 4 - 20 สัปดาห์
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
ระหว่างคลอดศีรษะทารกจะกดท่อและกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะโป่งพองและปัสสาวะได้ไม่หมด
มีอาการบวม ความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะลดลงทำให้มีความจุมากขึ้น
การทำงานของไต(Renal function)
ไตทำงานเพิ่มขึ้นในการปรับสมดุลน้ำและปริมาณเลือด ทำให้ปัสสาวะบ่อย
กรวยไตและหลอดไตที่ขยายตัวจะกลับคืนปกติใน 8 - 12 สัปดาห์
ระดับ Creatinine และ Urea Nitrogen จะเป็นปกติใน 6 สัปดาห์
อาจพบน้ำตาลแลคโตส อะซีโตน และโปรตีนในปัสสาวะได้เล็กน้อย จะเป็นปกติใน 3 วัน
ระบบทางเดินอาหาร
ท้องผูก
การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง ผลจาก H.Progesterone
น้ำหนักลด
น้ำหนักมารดาจะลดลงประมาณ 5-6 kg.
สัปดาห์แรกหลังคลอดจะลดลงอีก 2-4 kg
6 สัปดาห์หลังคลอดน้ำหนักจะคงที่เหมือนก่อนตั้งครรภ์
ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
กล้ามเนื้อหน้าท้องแยก (diastasis recti abdominis)
บางรายอาจเกิดขึ้น
ก่อนการตั้งครรภ์กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง
ตั้งครรภ์แฝดที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
ตั้งครรภ์ตั้งแต่ 5 ครั้งขึ้นไป
อาจทำให้เกิดภาวะท้องย้อย (pendulus abdomen)
ปวดหลังทารกอยู่ในท่าผิดปกติและไม่มีแรงเบ่งขณะคลอด
โครงกระดูก
H.Relaxin จะลดลง
ข้อต่อจะแข็งแรงมั่นคงจนเข้าสู่สภาพปกติต้องใช้เวลาประมาณ 6 – 8 สัปดาห์หลังคลอด
หลังคลอดมารดายังคงเจ็บบริเวณสะโพกและข้อต่อกระดูกสันหลังและกระดูกหัวเหน่า
ฮอร์โมน
ต่อมใต้สมอง
FSH และ LH จะต่ำใน 10-12 วัน ไม่ว่าให้ทารกดูดนมหรือไม่ แล้วจะเพิ่มขึ้นจนทำให้ไข่ตกได้
Prolactin
ในมารดาที่ไม่ได้ให้นมบุตรจะลดลงใน 2wk
ในมารดาที่ให้นมบุตร จะหลั่งมากขึ้นทำให้นมคัดและน้ำนมไหล
รก
Human chorionic gonadotropin
ลดลงจนกระทั่งมีการตกไข่
Estrogen
ลดลงใน 3 ชม.หลังรกคลอดกลับคืนสู่ภาวะปกติในระยะ follicular phase
Progesterone
ลดลงใน 3 วันหลังคลอดจะผลิตอีกครั้งในระยะตกไข่
ระบบไหลเวียนเลือด
ปริมาณเลือด (blood volume)หลังคลอดทันที จะเพิ่มขึ้น
3 วันแรก ค่า Hct. อาจเพิ่มขึ้น
clotting factor มีค่าสูง จะลดลงภายใน 2-3 วัน
WBC จะเพิ่มสูง อาจสูงถึง 30,000 cells/cu.mm. เนื่องจากร่างกายสร้างกลไกป้องกันการติดเชื้อ
สัญญาณชีพ
อุณหภูมิ
Reactionary Fever
เกิดจากการขาดน้ำเสียพลังงานในการคลอด
อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อยโดยประมาณไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส ลดลงสู่ปกติใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
Milk Fever
เกิดจากนมคัด (Breast engorement)
จะพบในวันที่ 3 – 4 หลังคลอด
อุณหภูมิจะสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส และจะหายใน 24 ชั่วโมงหรือเมื่อลดการคัดตึงของเต้านม
Febile Fever
เกิดจากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายมารดา
อุณหภูมิจะสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2 วัน
หรือมากกว่า (ไม่นับ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด)
ชีพจร
ช้าลง
ชีพอยู่ที่ประมาณ 60-70 ครั้ง/นาที
ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงรกหยุดชะงักทันที เลือดไหลเวียนไปร่างกายเพิ่มขึ้น เพื่อรักษา cardiac output ให้คงเดิม
กลับคืนปกติเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์แรกหลังคลอด
ความดันโลหิต
ความดันสูงกว่า 140/90 mmHg อาจแสดงถึงความดันโลหิตสูงที่เป็นอันตราย หรือ cerebrovascular accident
ความดันต่ำกว่า 90/60 mmHg ประกอบกับ PRเบาเร็ว หน้าซีด ใจสั่น อาจช็อกหรือเสียเลือดได้
ระบบประสาท
อาการบวม ปวดข้อนิ้วมือ จะหายไป