การพยาบาลผู้สูงอายุในระยะท้ายของชีวิต

การดูแลในระยะท้ายของชีวิต

รูปแบบบริการการดูแลผู้สูงอายุระยะสุดท้าย

  1. การดูแลผู้ป่วยใน (In-Patient Unit) เป็นการดูแลตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยระยะสุดท้ายภายในโรงพยาบาล โดยจะเป็นการบรรเทาอาการเจ็บป่วยมากกว่าการรักษาพยาบาลและบริการนี้จะให้การดูแลในระยะสั้นๆ
  1. การดูแลที่บ้าน/การดูแลโดยชุมชน (Home-based/Community-based Care) เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เป็นบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนและสอดคล้องกับวิถีชุมชนโดยมีเป้าหมายเพื่อให้การดูแลอย่างมีคุณภาพและเหมาะสม
  1. รูปแบบสถานพยาบาลกึ่งบ้าน (Hospice Care) เป็นสถานที่พำนักและให้บริบาลผู้ที่เจ็บป่วยอยู่ในระยะท้าย ผู้มีชีวิตอยู่ได้ในเวลาจำกัด อาจเป็นสถานที่ที่จัดขึ้นไว้โดยเฉพาะ
  1. การควบคุมอาการเจ็บป่วยด้วยทีมสุขภาพ (Symptom Control Team) เป็นทีมที่มีแพทย์เป็นผู้ควบคุมดูแลและรับผิดชอบผู้ป่วยทั้งภายในโรงพยาบาลและภายในชุมชน
  1. บริการให้คำปรึกษาและแนะนำแก่ครอบครัวของผู้ป่วยสูงอายุ บางครั้งครอบครัวอยู่ในอาการตกใจ และไม่สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น นักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาจะเป็นผู้ทำหน้าที่นี้
  1. การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care) เป็นรูปแบบการดูแลสุขภาพในผู้ที่ต้องทุกข์ทรมานด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถเผชิญความเจ็บป่วยที่มีอยู่ได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
  1. การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (End of life care) เป็นการดูแลผู้ป่วยที่รู้ ว่ามี ระยะเวลาเหลือจำกัด ส่วนใหญ่จะนับระยะเวลาประมาณ 6 เดือนก่อนเสียชีวิต
  1. การดูแลผู้ป่วยช่วงใกล้เสียชีวิต (Terminal care) เป็นการดูแลผู้ป่วยช่วงใกล้เสียชีวิต คือ ประมาณ 1 สัปดาห์สุดท้ายหรือเรียกช่วงนี้ว่าระยะใกล้ตาย (Dying)

ความแตกต่างของ Hospice care กับ Palliative care

Hospice care คือ การให้การดูแลประคับประคองอาการในช่วงสุดท้ายของโรค ซึ่งรักษาไม่ได้เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสุขสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ คำนึงถึงคุณภาพชีวิตในชีวิตที่เหลืออยู่มากกว่าและจะมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพชีวิตเป็นหลัก

Palliative care มีเป้าหมายเช่นเดียวกับ Hospice คือเป็นการดูแลประคับประคองอาการ แต่จะต่างกันตรงที่ระยะเวลาในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของผู้ป่วย กล่าวคือ Hospice care ส่วนใหญ่จะทำในผู้ป่วยที่พยากรณ์โรค
แล้วน่าจะมี ชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่สำหรับ Palliative care นั้นจะเริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยมีภาวะหรือโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตเหลืออยู่อีกนานเท่าไร

ความหมายของผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ผู้ป่วยระยะสุดท้าย หมายถึง ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ได้รับการวินิจฉัยการ
เจ็บป่วยถึงขั้นสูญเสียชีวิตภายใต้การรักษาด้วยยา การดูแลอย่างใกล้ชิด และพยากรณ์โรคว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน หรือน้อยกว่า

ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือผู้ที่หมดหวัง หมายถึง ผู้ป่วยที่แพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ และไม่มีโอกาสที่จะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้อีก

ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือผู้ป่วยใกล้ตาย หมายถึง ผู้ป่วยที่หมดหวังจะหายจากโรค เป็นความเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการใดๆอาการจะทรุดลงเรื่อยๆ และเสียชีวิตในที่สุด

แนวคิดของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

องค์ประกอบที่สำคัญของ Palliative care

การควบคุมอาการไม่สุขสบาย (Symptom control)

การรักษาโรค (Disease management)

เป็นการดูแลแบบประคับประคอง เริ่มต้นตั้งแต่การวินิจฉัยโรคและดำเนินไป ควบคู่กับการรักษาหลักไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตมุ่งให้ ความสุขสบายแก่ผู้ป่วย ช่วยลดความปวดและความทุกข์ทรมาน ครอบคลุมถึงจิตวิญญาณและตระหนักถึงการตายอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

การดูแลด้านจิตสังคมและจิตวิญญาณ (Psychological and spiritual care)

การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุในระยะสุดท้ายใกล้ตาย

บทบาทของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุระยะสุดท้ายใกล้ตาย

พยาบาลต้องสามารถสร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้ สึกที่อุ่นใจแก่ผู้ป่วยและทีมสุขภาพ โดยยึดหลักการพยาบาลแบบองค์รวม้ วิธีการดูแลที่มีประสิทธิภาพอย่างเอาใจใส่ ใกล้ชิด คำนึงถึงความต้องการศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ทราบปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยและญาติ เข้าใจปฏิกิริยาของผู้ป่วยและญาติหลังทราบความจริงของโรค ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีจิตใจสบายขึ้น สามารถผ่านวาระสุดท้ายได้สงบ สมศักดิ์ศรี

การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะใกล้ตาย

การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ

การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม

การเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิญญาณ

วัตถุประสงค์ของการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุระยะสุดท้ายใกล้ตาย

  1. บรรเทาอาการทุกข์ทรมาน
  1. สนองความต้องการในด้านต่างๆ
  1. ดูแลให้ผู้ป่วยได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
  1. ประคับประคองให้ครอบครัวของผู้ป่วยสามารถปรับตัวรับสถานการณ์ใน
    ขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะสุดท้ายใกล้ตายและในขณะผู้ป่วยเสียชีวิต

การพยาบาลด้านร่างกาย

  1. ปัญหาสุขภาพช่องปาก
  1. อาการอ่อนล้า (Fatigue)
  1. เบื่ออาหาร
  1. คลื่นไส้ อาเจียน (Nausea and vomiting)
  1. ภาวะขาดน้ำ (dehydration)
  1. การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary incontinence)
  1. การดูแลแผลกดทับ
  1. ภาวะหายใจลำบากในผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Dyspnea and death rattle)
  1. ความปวด
  1. อาการท้องผูก
  1. การดูแลความสะอาดจมูกและตา

การพยาบาลด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ

  1. การประเมินความต้องการและปัญหาของผู้ป่วย
  1. พยาบาลควรมีบทบาทในการให้ข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ทุกคน
  1. การติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วยสูงอายุระยะสุดท้ายใกล้ตาย
  1. จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นสัดส่วน สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อความสงบ ควรเป็นห้องพักที่ไม่พลุกพล่าน
  1. ควรให้ผู้ป่วยตระหนักในคุณค่าชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง
  1. ช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม
  1. ช่วยให้ผู้ป่วยปล่อยวางสิ่งต่างๆ
  1. กล่าวคำอำลา

ความต้องการของญาติในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

  1. ความต้องการด้านข้อมูล
  1. ความต้องการด้านการดูแลผู้ป่วย
  1. ความต้องการเข้าถึงบุคลากรสุขภาพได้ง่าย
  1. ความต้องการด้านการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
  1. ความต้องการสนับสนุนทางอารมณ์
  1. ความต้องการด้านอื่นๆ

บทบาทของพยาบาลในการดูแลประคับประคองจิตใจญาติผู้ป่วย

  1. ประชุมปรึกษาหารือกับแพทย์
  1. อธิบายให้ญาติและครอบครัวผู้ป่วยได้รับรู้ข้อมูล
  1. เปิดโอกาสให้ซักถาม
  1. ประเมินสภาพจิตใจของผู้ดูแลผู้ป่วย
  1. เปิดโอกาสให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการประเมินอาการผู้ป่วย
  1. อนุญาตให้ครอบครัวได้เข้าเยี่ยมผู้ป่วยตามความต้องการ
  1. ควรปล่อยให้ญาติได้อยู่กับผู้ป่วยด้วยความเงียบสงบ
  1. แนะนำการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
  1. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยหรือญาติได้เลือกสถานที่ที่ต้องการอยู่เมื่อถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต
  1. อนุญาตให้ญาติแสดงความรู้สึกเศร้าโศก เสียใจ แสดงความรัก พยาบาลควรปลอบโยนแสดงความเข้าใจ เพื่อให้ญาติผู้ป่วยยอมรับ
  1. แสดงความเห็นอกเห็นใจแก่ครอบครัวในกรณีผู้ป่วยถึงแก่กรรม
  1. ภายหลังผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว พยาบาลควรสร้างการมีส่วนร่วมกับญาติในการปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างสมเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

การพยาบาลภายหลังผู้ป่วยสูงอายุเสียชีวิต

ระยะหลังความตาย (family bereavement care) เป็นการดูแลใน
เรื่องภาวะจิตใจของญาติและผู้ดูแลหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นการเยียวยา
สภาวะจิตใจของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากการสูญเสียมีสภาพจิตใจที่ยังไม่
เข้มแข็ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงของการเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพจิตบางคนมี
ความรักความผูกพันกับผู้ที่จากไปมาก การยอมรับการสูญเสียจึงเป็นเรื่องี่ทุกข์ทรมาน ทีมสุขภาพสามารถเข้าไปให้กำลังใจ ปลอบโยน และหา
วิธีการถ่ายโอนความเศร้าให้เป็นความหวังและมีกำลังใจในการดำรงชีวิต
อยู่

การเตรียมรับวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

ความหมายของความตาย

เป็นการสิ้นสุดการทำหน้าที่ทางชีวภาพอันคงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์สามัญที่นำมาซึ่งความตาย ได้แก่ โรคชรา การถูกล่า ทุพโภชนาการ โรคภัย อัตวินิบาตกรรม สรุปการตาย คือ ภาวะสมองและก้านสมองขาดเลือด ทำให้สมองหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง และนำไปสู่การหยุดทำงานของหัวใจในที่สุด

หนังสือแสดงเจตนา

หนังสือซึ่งบุคคลแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าว่าไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตนหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย

ความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต (Living Will) หรือการทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษา

เพื่อให้การรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตเป็นไปตามความ
ต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ 2550 เรื่องหนังสือแสดงเจตนาเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (Living Will)

สิทธิการตาย

❑ ผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต สามารถแสดงความประสงค์ที่จะไม่รับบริการทางการแพทย

❑ บุคคลทั่วไปหรือผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะดี สามารถทำหนังสือแสดงเจตนาตามมาตรา 12 ได้ด้วยตนเอง แต่ควรปรึกษาหารือกับแพทย์ พยาบาล ที่มีความเข้าใจเรื่องนี้

❑ ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาควรแจ้งให้คนในครอบครัว ญาติมิตร คนใกล้ ชิดรับทราบเรื่องการทำหนังสือดังกล่าว

❑ แพทย์ พยาบาล ที่ดูแลผู้ป่วยตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายเพราะทำด้วยเจตนาดี ตามความประสงค์ของผู้ป่วยและกฎหมายสุขภาพแห่งชาติให้ความคุ้มครองไว้

❑ แพทย์ พยาบาลควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหรือสภาพของผู้ป่วยแก่ผู้ป่วยหรือญาติตามความเป็นจริง ไม่ควรปิดบังข้อมูลใดๆ

❑ สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลควรจัดทำแบบฟอร์มหนังสือแสดงเจตนา เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องการทำหนังสือแสดงเจตนา

❑ แพทย์ พยาบาลควรอธิบายขั้นตอนการทำหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวให้ผู้ป่วยหรือญาติทราบ

วิธีการทำหนังสือแสดงเจตนา

  1. เพื่อให้หนังสือแสดงเจตนา มีความชัดเจน ควรมีข้อมูลให้สามารถสื่อความหมายได้ดังนี้
    ❑รายการที่แสดงข้อมูลของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา (เช่น ชื่อ สกุล อายุ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้)
    ❑ วัน เดือน ปีที่ทำหนังสือแสดงเจตนา
    ❑ ชื่อพยานและคุณสมบัติของพยานที่รับรองสติสัมปชัญญะของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา (ถ้ามีใบรับรองแพทย์ให้แนบไว้กับหนังสือแสดงเจตนา)
    ❑ ระบุประเภทของบริการสาธารณสุขที่ไม่ต้องการจะได้รับ และกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพให้บริการไปก่อนหน้าแล้ว ก็ให้ระบุข้อความว่า ให้ระงับการให้บริการนั้นได้
    ❑ กรณีที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา มิได้เขียนหนังสือแสดงเจตนาด้วยตนเอง ให้ระบุชื่อผู้เขียนหรือผู้พิมพ์หนังสือแสดงเจตนาไว้ด้วย
    ❑ ลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา ลายมือชื่อของพยาน และผู้เขียนหรือผู้พิมพ์
  1. หนังสือแสดงเจตนาอาจระบุชื่อบุคคลใกล้ชิดที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาให้ความไว้วางใจ ซึ่งต้องเป็นผู้มีความสามารถสมบูรณ์ตามกฎหมายไว้ด้วยเพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจตามความประสงค์ที่แท้จริงของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา
  1. ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอาจเปลี่ยนแปลงหนังสือแสดงเจตนาได้ตลอดเวลา ในกรณีมีหนังสือแสดงเจตนาหลายฉบับ ให้ถือฉบับที่ทำครั้งสุดท้ายเป็นฉบับที่มีผลบังคับ

หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา

  1. ผู้เก็บรักษาหนังสือแสดงเจตนาของผู้ใดไว้ เมื่อผู้แสดงเจตนาเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลใด ให้แสดงหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วย
  1. ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะดีพอที่จะสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามปกติให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาผู้ป่วย ทำความเข้าใจโดยอธิบายภาวะและความเป็นไปของโรคของผู้ป่วยให้ผู้ป่วยทราบ
  1. กรณีที่มีปัญหาการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาผู้ป่วยควรปรึกษาหารือกับบุคคลใกล้ชิดหรือญาติผู้ป่วยเพื่อกำหนดแนวทางการดูแลรักษาต่อไป
  1. ในกรณีที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ให้หนังสือแสดงเจตนามีผลก็ต่อเมื่อผู้นั้นพ้นจากสภาพการตั้งครรภ์

ประโยชน์ในการทำหนังสือแสดงเจตนา

  1. ทำให้ผู้ป่วยหรือผู้ทำหนังสือสามารถแจ้งความประสงค์ของตนให้แพทย์ ญาติคนใกล้ชิดทราบ และช่วยลดข้อขัดแย้งระหว่างแพทย์และญาติในการวางแผนการรักษา เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถแสดงเจตนาได้ด้วยตนเอง
  1. ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่ต้องทุกข์ทรมานจากการใช้เครื่องกู้ชีพต่างๆ
  1. ทำให้ผู้ป่วย ญาติ คนในครอบครัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการรักษาที่ไม่จำเป็นจนทำให้ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยบางรายถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว ต้องขายทรัพย์สินเงินทองมาเป็นค่ารักษา
  1. ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสสื่อสาร ล่ำลาคนในครอบครัว ญาติมิตรได้ในขณะมีสติสัมปชัญญะ ได้รับการเยียวยาช่วยเหลือทางจิตใจแก่ผู้ตาย

วิธีการจัดการวาระสุดท้ายของชีวิต

แนวคิดเรื่องการเตรียมตัวเกี่ยวกับความตาย

การยอมรับความตายคือเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องเผชิญ และเป็นการสร้างความตระหนักว่าความตายเป็นโอกาสสุดท้ายที่สำคัญที่จะทำให้บุคคลดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย และบรรลุผลสำเร็จตามที่ตนพอใจในเวลาที่เหลือ

รูปแบบการจัดการเผชิญความตายหรือการเตรียมตัวก่อนตาย

การเตรียมตัวด้านร่างกาย (Physical preparation)

❑ การเลือกวิธีการรักษาทางการแพทย์

❑ การเลือกสถานที่สำหรับพักรักษาตัว

❑ การเลือกสถานที่ตาย

❑ การบริจาคอวัยวะของร่างกาย

❑ การวางแผนเกี่ยวกับการจัดงานศพของตน

การเตรียมตัวด้านจิตใจ (Psychological preparation)

❑ การตระหนักว่าความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ การประเมินความรู้สึกของตนเองว่ากลัวตายหรือไม่ และประเมินว่าตนเองได้ให้ความหมายของความตายว่าเป็นอย่างไร

❑ การเลือกผู้ให้การดูแลตนเองในภาวะใกล้ตาย เช่น บุตร หลาน ทีมสุขภาพ เป็นต้น

❑ การพร้อมที่จะรับทราบความจริงจากแพทย์ถ้าตนเองอยู่ในภาวะใกล้ตาย

❑ การไปเยี่ยมเยียนและปลอบโยนผู้ที่อยู่ในภาวะใกล้ตายและสนทนาถึงปรัชญาและความพร้อมในการเผชิญความตาย

❑ การพูดคุยกับญาติหรือเพื่อนของผู้ที่อยู่ในภาวะใกล้ตาย

❑ การเข้าร่วมพิธีศพของผู้อื่นด้วยตระหนักรู้ อยู่เสมอว่าความตายเป็น
ธรรมชาติของชีวิตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

❑ การปลอบโยนและให้กำลังใจแก่ผู้ที่มีความเศร้าโศกเนื่องจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

การเตรียมตัวด้านจิตวิญญาณ (Spiritual preparation)

❑ การขออโหสิกรรมและการให้อภัย โดยมีสิ่งยึดเหนี่ยวของจิตใจ

❑ การเดินทางไปยังสถานที่ที่มีความสำคัญต่อตน

❑ การตั้งความหวังไว้ว่าตนจะพบกับความตายที่ปราศจากความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน การตั้งความหวังไว้ว่าตนจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานตามที่ตนปรารถนา

❑ การเล่าเรื่องราวในอดีตให้คนอื่นฟัง การเขียนอัตชีวประวัติเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ในชีวิตของตนเองให้ผู้อื่น

❑ การสนทนากับสมาชิกในครอบครัวเกี่ยวกับการจัดพิธีศพที่ตนเองต้องการ

❑ การมอบสิ่งของที่เป็นของรักของตนให้ผู้อื่น

การเตรียมตัวด้านสังคม (Social preparation)

❑ การสนทนาเรื่องสุขภาพของตนและความตายของตนที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตกับสมาชิกในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดอย่างเปิดเผย

❑ ควรมีการสนับสนุนให้เกิดสัมพันธภาพในสังคมกับบุคคลอื่นและสิ่งอื่น

❑ มีการเสริมสร้างสัมพันธภาพของตนและครอบครัวหรือบุคคลอันเป็นที่รักให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

❑ การสนทนากับสมาชิกในครอบครัวเรื่องชีวิตและความหมายของความ
ตาย

❑ การพบปะสังสรรค์กับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน

❑ การจัดการธุรกิจที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบรู้ อยู่และการมอบหมายงานให้
ผู้อื่นเป็นผู้รับผิดชอบ

❑ การทำพินัยกรรม การทำประกันชีวิต การจัดการเรื่องการเงิน การ
ไตร่ตรองเรื่องผลกระทบของการตายของตนต่อบุตรหลาน